
เรานิคเนมบ้านหลังนี้ว่า “บ้านกระดูก” จากความที่ออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกระดูกจริงๆ ซึ่งครั้งนึงเมื่อหลายๆ ปีก่อนตอนบูพยายามชักชวนเรามาเที่ยวสเปนให้ได้ ก็หยิบยกเอาสถาปัตยกรรมค่อนไปทางแนวพิลึกของ “บ้านกระดูก” หลังนี้มาหลอกล่อ แต่ไม่สำเร็จอะ ตอนนั้นเรายังโลกทัศน์แคบ และรู้สึกมีอีกหลายแห่งที่ยังอยากไป เลยมองข้ามมันไปจนกระทั่งวันนี้…ที่รู้ตัวว่าหล่อนพลาดของดีซะแระ ยัยเมียเคลื่อนที่!!!
Casa Batlló เป็นสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับต้นๆ ของบาร์เซโลน่า เคียงบ่าเคียงไหล่มากับ Sagrada Família และ Park Güell เลยทีเดียว เป็นผลงานการออกแบบของคุณเกาดี้เหมือนกัน เดินผ่านจะเห็นว่า คนยืนออกันมองตัวบ้านจากด้านนอก หรือไม่ก็ยืนต่อคิวซื้อตั๋วและรอเข้าไปชมในตัวบ้าน เห็นคนเยอะๆ ต่อคิวซื้อตั๋วราวๆ 15-30 นาที
ข้อมูลจาก Wikipedia
ที่อยู่: Passeig de Gràcia, 43, 08007 Barcelona, Spain
เริ่มก่อสร้าง ค.ศ. 1905
เวลาเปิดทำการ 9.00 – 21.00 น.
เจ้าของ: ครอบครัว Bernat
สถาปัตยกรรม : Modern architecture, Modernisme, Expressionist architecture
สถาปนิก: Antoni Gaudí, Josep Maria Jujol, Joan Rubió
เว็บไซต์: www.casabatllo.es/en/
ค่าเข้าชม: 21.50 ยูโร

ที่นี่เป็น “การค้า” มากที่สุดในบรรดาบ้านที่เปิดให้เข้าดูทั้งหมด แต่…สิ่งที่แลกมากับความเป็นการค้า คือระบบการเข้าชมที่เป็นแบบแผน จำกัดคนประมาณนึงไม่ให้แน่นเกินไป ทุกคนจะได้รับแจกแทบเล็ต audio guide + 3D visual โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ซึ่งจะทำให้เห็นสภาพในสมัยก่อนตอนคนอยู่จริงๆ ทำให้…เวลาเข้าไปไม่ค่อยล้งเล้ง เพราะทุกคนตั้งใจฟังไกด์ และสนุกกกับการแอบส่องภาพความเป็นอยู่ในสมัยก่อนผ่านแทบเล็ต ทำให้เหมือนห้องโล่ง(ในแทบเล็ต) แต่ในความจริงคือคนแน่นพอควร
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ที่นี่ดังคือ คอนเซ็ปต์ความเป็นบ้านกระดูกนั่นแหละ แต่ชื่อบ้านเป็นชื่อเจ้าของนะ อย่างที่สรรเสริญเสมอ ว่าการเข้าชมบ้านแต่ละแห่ง ถ้ามีบรรยายให้ฟังล่ะจะแจ่ม ได้ความรู้มากมาย (แต่บางทีก็ขี้เกียจเสียเวลา) อย่างเช่นชั้นล่างที่ดูทึบนั่น เค้าทำให้เหมือนเป็นถ้ำใต้ทะเล มีช่องแสงเป็นรูปกระดองเต่า (กรี๊ด จริงด้วย ภาพบนซ้ายนั่นไง) ราวจับบันไดก็ทำเป็นแนวโค้งให้ความรู้สึกเหมือนคลื่นทะเล แถมมีสัมผัสที่เรียบลื่นพอดีฝ่ามือ จับแล้วรู้สึกสบาย
บ้านหลังนี้ คุณเกากี้ยังคงคอนเซ็ปต์บ้านสนุก (บวกประหลาด) กับฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้จริง เน้นเรื่อง “ช่องแสง” “การกั้นห้องแบบยืดหยุ่นได้” “สิ่งที่ใช้งานสะดวก” เช่นมือจับสำหรับคนถนัดทั้งซ้ายและขวา” รวมถึงราวบันไดที่เน้นความนุ่มลื่นพอดีฝ่ามือ บานเกล็ดที่เหมือนจะออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจ จากครีบปลา เป็นต้น
ตรงช่องแสงที่ประตูแบบนี้ ไอเดียของเค้าคือทำให้แสงผ่านเข้ามาในตัวบ้านด้านในๆ ได้ ขณะเดียวกันก็เล่นลวดลายที่จะเห็นเมื่อมีแสง ให้คนในบ้านได้เห็นความสวยงามนั้นด้วย แต่ถ้ามองจากด้านอกจะไม่ค่อยเห็น
ซิกเนเจอร์ของคุณเกาดี้นี่ขาดไม่ได้ ก็คือ “เส้นสายพลิ้วไหว จากแรงบันดาลใจธรรมชาติ” ปรากฏให้เห็นทั้งบนเพดาน ผนังห้อง ซึ่งไม่มีหรอกที่จะเป็นเส้นตรงเชยๆ ง่ายๆ แบบใครอื่นเขาทำกัน กระทั่งกรอบหน้าต่าง บานประตู ดูซิดูว่าลงแรงกับมันแค่ไหน ถ้าลองจิ้นกันให้ลึกๆ ก็จะพบว่ามันโปนออกมาเหมือนกระดูกหรือไขข้อคนอยู่บ้างนะ ฮ่าๆ สมแล้วจริงๆ ที่เป็นสถาปนิกเอก จนทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของบาร์เซโลน่า ใจนึงก็คิดว่า ดีเนาะบ้านนี้เด็กอยู่ได้ปลอดภัย ไม่มีเหลี่ยมมุมใดๆ ที่เป็นอันตราย
บ้านนี้ก็มีช่องแสงตรงกลางบ้านเหมือนหลังอื่นๆ ที่เราเห็นมา ก็สมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าใช้อะเนาะ ถ้าทางไหนจะทำให้มีแสงได้มากที่สุด เขาก็ต้องทำกันละ บานประตูหน้าต่างทรงโค้งก็เอาหัวใจเราไปแล้ว นี่เขายังแต่งด้วยโมเสกและกระเบื้องธีมสีฟ้าสวย เหมือนยามแสงต้องประกายกับพื้นน้ำใต้ท้องทะเลด้วย ยืนมองเพลินมาก
ด้วยความที่ที่นี่ใช้ทุนส่วนตัวในการบูรณะบ้าน (ลักษณะบ้านแบบดั้งเดิมอาจจะแทบไม่เหลือแล้ว นอกจากโครงสร้างหลักๆ เนื่องจากผ่านกาลเวลาและสงครามกลางเมืองมา) ดังนั้นค่าเข้าถึงค่อนข้างสูง แต่ก็คุ้มเพราะเป็นบ้านที่มีคาแรคเตอร์และเอกลักษณ์อย่างแรงกล้า ถ้าไม่มีเวลาและไม่อยากเปลืองมาก ให้เลือกเข้าแค่หลังเดียว เราก็เชียร์ที่นี่นะ เพราะค่อนข้างมีซิกเนเจอร์ครบทั้งน่ากลัว (กระดูก) เส้นสายพลิ้วไหว และสิ่งกระจุ๋มกระจิ๋ม เพราะห้องใต้หลังคาเขาปูด้วยกระเบื้องลายดอกไม้ (เห็นเมืองไทยมีลายแบบนี้ขายด้วย แต่เป็นสี ที่นี่เขาเป็นขาวดำ) และใช้โคร้งสร้างทรงกระดูกงูมารับน้ำหนักของดาดฟ้า
จากบนดาดฟ้า มองลงมาจะเห็นลานหลังบ้านของ Casa Lleó Morera ที่อยู่ใกล้ๆ กันด้วย บนหลังคาเขาออกแบบให้เป็นมังการ เวลาเข้าออกจากประตู เหมือนเราลอดเข้าท้องมังกร และเช่นเดียวกับบ้านสาหร่าย Casa Milà ที่โดมทั้งหลายบนหลังคา ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อความสวยงาม แต่มันเป็นโดมครอบประตูทางออกดาดฟ้าบ้าง โดมระบายควันจากเตาผิงบ้าง โดมเอาความร้อนออกจากเตาบ้างอะไรบ้าง คือไม่มีศิลปะที่เกินเลยความจำเป็น
ส่วนด้านหลังบ้าน ซึ่งอดีตเคยเป็นที่ซักล้าง ตากผ้า ก็มีการเอาโมเสกมาทำเป็นลวดลายต่างๆ งดงาม รวมถึงกระเบื้องปูพื้นที่หลากหลายและกลมกลืน
ตอนแรกเห็นคนเยอะแล้วเกือบตัดสินใจไม่เข้า เพราะไม่อยากเสียเวลาต่อคิว ตอนไปเที่ยวบาร์เซโลน่าเนี่ย รู้สึกว่ามีเวลาสัก 2 อาทิตย์ก็เที่ยวได้สบายๆ เพราะมีอะไรให้ดู ให้รู้ ให้เห็นเยอะมาก เลยทำได้แค่ดูของตามกระแสหลัก แวะกินตามร้านที่เพื่อนและเจ้านายคุณบูแนะนำมา ดังนั้นถ้าไม่ได้เข้าบ้านนี้คงเสียดายมาก อีกอย่างเหมือนเขาเพิ่งบูรณะเสร็จ และเปิดให้คนเข้าชมไม่นานมานี้เอง
ขณะที่บ้านข้างๆ ก็เป็นอีกหนึ่งบ้านดัง แต่จะเข้าไปได้ต้องไปกับไกด์ทัวร์เท่านั้น มีเป็นรอบๆ วันละราว 6 รอบ ภาษาอังกฤษ 2 รอบราว 11 โมงกับบ่าย 3 โมง ที่เหลือเป็นภาษาคาตาลันกับสเปน รอบนึงใช้เวลาราว 1 ชม. จุดเด่นของบ้านเหลืองนี้คือยังมีเฟอร์นิเจอร์เดิมที่ติดกับตัวบ้านครบครัน
ติดตามกันได้ทางเฟสบุ๊ก http://www.facebook.com/adaytripdiay
IG: aenoi_adaytrip
One thought