ความเดิมคือเราเดินทางจากนอร์เวย์มาเฮลซิงกิ…
ลงสนามบินเฮลซิงกินี่งง แค่ 4 ทุ่ม เงียบยังกะเป่าสาก ร้านรวงปิดเชียบ พวกเราไม่ต้องตรวจพาสปอร์ต เพราะยังอยู่ใน EU และไม่ต้องชำเลืองดูบอร์ดเลขสายพานเลย…เพราะมีแค่ไฟล์ทเรา
รับเป๋า เดินลอยๆ ออกมายืนรอรถบัส Finnair เข้า central railway station…ไม่มีมนุษย์อื่นมารอร่วมเลย คนที่นั่งไฟล์ทเดียวกะเรามาหายไปไหนหมด? นั่งรถไฟกันเข้าเมืองหรือไง? หรือแท็กซี่? ไม่มีใครใช้บริการบัสเลยเหรอ
บูตรวจตารางเดินรถบัสครั้งแล้วครั้งเล่า ให้แน่ใจว่าไม่มีตรงไหนของป้ายที่บอกให้รู้ว่า เออ…เลิกให้บริการแล้วนะเพราะคนน้อย โดยเฉพาะการที่รถมาสาย 4 นาที ทำให้ใจคอไม่เข้าไปใหญ่ ว่ามันจะถูกแคนเซิลรึเปล่า ปรากฏยังมีคนนั่งจากเทอร์มินัลอื่นมาราวสัก 10 คนได้ (โล่ง)
ใช้เวลาเดินทาง 30 นาทีเข้าเมือง ค่าตั๋วไปกลับคนละ 12.20 ยูโร (ถูกกว่าไปกลับจาก Oslo ครึ่งๆ!)
ก่อนมาบูอ่านพบว่า ไวไฟฟรีในเฮลซิงกิมีเยอะและเร็วด้วย พิสูจน์ได้จริงจากบนบัส เพราะติดเร็ว วิ่งแรงแซงโค้งจริงๆ ใครมีdata ที่เหลือมาจากนอร์เวย์ ก็ใช้ต่อได้เลย
พอรถมาถึงปลายทาง ทุกคนก็กรูกันลงหายไปคนละทิศคนละทางในพริบตา นี่มันอะไรกัลล
ที่ Helsinki เราก็ยังจองที่พักผ่าน airbnb ขึ้นแทรม 3 ป้ายก็ถึง ยืนรอสักนาทีนึงโฮสต์ก็มาพาไปบ้าน แนะนำอะไรต่ออะไรเสร็จแล้ว ตัวเองก็หอบกระเป๋าใบยักษ์ออกไปนอนบ้านคนอื่น 555555
เอ็นดู…แต่เราก็เป็นรายได้พิเศษเค้าอ่ะนะ
ห้องเป็นห้องสตูดิโอเล็กๆ มีของใช้แค่ที่จำเป็น ตอนแรกนึกว่าไม่มีผ้าเช็ดตัว เกือบจ๊าก(เพราะไม่ได้เอามา) ตอนแรกกลัวเหมือนกันว่าห้องผู้ชายจะสยองไหม แต่การที่ผู้ชายเตรียมลาเวนเดอร์ออยล์ไว้ให้หยดบนหมอนเนี่ยเราว่ามันก็เหนือคาดหมายและล่ะ ไม่พอมีกาแฟและเบียร์เตรียมไว้ในตู้เย็นให้บูด้วย นี่มันคิดเยอะนะเด็กน้อยคนนี้
เป้าหมายสำคัญของการมาฟินแลนด์ของเรามีสองอย่างคือ Moomin World กับ Marimekko ฮ่าๆๆ บูเลยเจียด 3 วันติ่งท้ายของทริปมาฟินแลนด์ให้ ทั้งที่มันก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่หรอก วันนี้ขะเจ้าจึงตื่นเต้น จะได้ไป Moomin World แล้ววววว ที่นี่เรียกกันว่า Muumimaailma
เราเดินทางไปกันด้วยรถไฟ เอ้าจดไว้! ว่าถ้าซื้อตั๋วแทรมจากเครื่องที่สถานี 2.9 แต่ถ้าซื้อบนแทรมคือ 3.2 เลยนะ ในประเทศที่อะไรก็แพงแบบนี้ อะไรประหยัดได้ก็ประหยัดเนาะ
ที่สถานีรถไฟมีร้านสะดวกและร้านกาแฟหลายร้านอยู่ รถไฟมาจอดก่อนเวลา และออกตรงมาก อิฉันเอนหลังได้ก็ตื่นๆ หลับๆ เป็นพักๆ มีคุณน้ามาขายกาแฟชา ราคา 2.5 น้ำอัดลม 3 ดื่มเสร็จก็โงกเงกต่อ เพราะตื่นตั้งแต่ ตี 5.45!
พอรถไฟถึงเมือง Turku ต้องเดินจากสถานีรถไฟไป town square เพื่อต่อบัสสาย 6,7 ไปเมือง Naatali จนสุดสายใช้เวลาเดินทางบนบัส 30-40 นาที ลงบัสที่ท่ารถ ลงรถแล้วให้เดินตามป้าย Muumimaailma ไปก็จะถึงทางเข้าเกาะมูมิน
สิริรวมการเดินทาง
รถไฟ 2 ชม.
เดินไปทาวน์แสควร์ 15 นาที
บัสไป Naantali 40 นาที
เดินไปเกาะมูมิน 15 นาที
3.10 ชม.จ้าาาาาา
ไปกลับก็ 6.20 ชม.!!!!!! นี่พวกเราเดินกันแบบเร็วๆ แล้วนะ
บูจึงพูดไม่ผิดที่บอกว่านี่เป็นการ “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” เพราะเราใช้เวลาในมูมินเวิลด์แค่ 2 ชม.
แต่ก็ฟินละน่า เนาะๆๆๆๆๆ
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่มักขับรถกันมาพักในเมืองนี้กันก่อนคืนนึง พอเช้าวันถัดไปค่อยเที่ยวมูมินเวิลด์จะได้กันไปแบบเต็มๆ แต่ด้วยความที่พวกเราเวลาไม่ลงตัว เลยยอมลำบากแบบนี้ไปแหละ ยังดีไปถึงตั้งแต่ 10 โมงนิดๆ เด็กไม่เยอะ เดินสบาย แถมวันที่ไปก็ฟ้าใสม๊ากกกกกกก อากาศดีมากกกกกก แฮปปี้มาก
เข้ามูมินเวิลด์ได้อิฉันนี่แทบจะลืมบู มันน่ารักไปทุกสิ่งอย่างอะ เหมือนเราเข้าไปในหนังสือมูมินจริงๆ เลย นอกจากบ้านช่องห้องหอของแต่ละคนจะถูกสร้างขึ้นมาจริง ยังมีตัวละครต่างๆ เดินเล่นไปมา ทำกิจกรรมปะปนกับพวกเรา ประหนึ่งว่าเค้ามีชีวิตกันในนั้นจริงๆ ใครเข้าไปคุยด้วยก็ได้
อิฉันใช้เวลาแอ็คถ่ายรูปหน้าบ้านมูมินประมาณ20 แอ็ค (เพิ่งมาดูตอนกลับถึงบ้าน ว่าถ่ายรูปไปเยอะมาก)
บ้านแต่ละหลังตกแต่งจริง เข้าไปเดินเล่นได้ นั่งเก้าอี้ได้ เดินขึ้นบันไดไปได้ทุกซอกมุม ตอนไปนั่นเจ้าหมียังอยู่ในพุง ถ้าเค้าได้ไปตอนนี้รู้เลยว่าต้องสนุกมาก ดีเทลมันเยอะจริงๆ มันเหมือนได้เข้าไปเล่นใน soft play แบบไม่มีวันหมด พ่อแม่ที่คิดจะพาลูกมา อย่าได้ลังเล เพราะเค้าเตรียมอะไรต่ออะไรให้เด็กได้ปล่อยพลัง บ่อทรายก็ยังมี รับรองว่าเจ้าตัวเล็กหมดแรงกลับบ้านแน่นอน
เหลือบไปเห็นมูมินมาม่าเดินออกจากบ้านมาทักทายเด็กๆ พอออกรั้วบ้านได้ก็ปิดล็อกรั้วบ้านด้วยนะ อิฉันก็ยืนรอจนเด็กๆ ซาลงนิดนึงถึงขอไปถ่ายรูปด้วย โอ๊ย…(สองขาซอยยิกในใจ)
ที่นี่มีขายโปสการ์ด สแตมป์ และมีจุดให้ส่งโปสการ์ดได้เลย ส่งจากที่นี่เค้าจะปั๊มพิเศษให้ด้วยนะ (สองขาซอยยิกอีกครั้ง)
ปิดท้ายวันด้วยการกินกลางวันที่ร้านอาหารบุฟเฟต์ mamacafe ราคาไม่แพง อร่อย น่ารักทุกสิ่ง ใครอยากทำเวลาเค้ามีร้านอาหารเร็วๆ หลายร้านให้เลือก นั่งเอาท์ดอร์
ร้านของที่ระลึกโอเค ขายของราคาถูกกว่าร้านในเมือง จึงได้ของมาจำนวนหนึ่ง ตอนเราไปซื้อของครบ 100 ยูโร ได้แถมผ้าเช็ดตัวมูมินด้วย กรี๊ดดด
ตอนหลังกลับมาถึงเห็นข่าวว่าที่ญี่ปุ่นเปิด Moomin world 2019 (เราไปฟินแลนด์ตอน 2017 แต่เขียนบล็อกตอน 2020 โอเคนะ 55555) เข้าไปดูเว็บเค้าแล้วก็พบว่าเซ็ตติ้งไม่เหมือนกันนะ เราว่าที่ฟินแลนด์มันจะออแกนิกกว่า บรรจงอะไรน้อยกว่าเพราะฉากหลังมันได้ของมันอยู่แล้ว เดินๆ อยู่ได้ยินคนพูดภาษาฟินแลนด์ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่มูมินแลนด์ประมาณนึง 555กระนั้น…ถ้าอิฉันมีโอกาส ก็อยากพาเจ้าหมีไป moomin valley ที่ญี่ปุ่นเหมือนกัน (เอาลูกมาอ้าง?)
กลับมาถึงเมือง 4.30 น. ตรงเวลาเด๊ะ
การมา Helsinki ทำให้รู้เลยว่าถ้าใครชอบมูมินจริงๆ ที่นี่คือ bucket list เพราะมันคือมูมินแลนด์ชัดๆ กระทั่งแผนที่แนะนำแหล่งท่องเที่ยวที่เค้าทำแจกยังเป็นมูมิน!! เดินเข้าไปใน tourist info มีการแนะนำคาเฟ่มูมินเปิดใหม่ มิวเซียมไหนตอนนี้กำลังมีอีเวนต์น่าสนใจ และ…public sauna ที่ไหนมีบ้าง
คนฟินแลนด์ชอบซาวน่ามาก มีประชากร 5 ล้านคน มีซาวน่า 3.5 ล้านเครื่อง เออ เอากะเขาดิ
ไม่น่าเชื่อว่า หลังจากสะบักสะบอมมาจากมูมินเวิลด์ พวกเรายังไปต่อกันที่ National gallery / Ateneum เพราะบูกล่าวว่า กลับที่พักไปก็คงไม่สนุก (นี่แหละข้อดีของการเที่ยวหน้าร้อน พระอาทิตย์ตกดึก) งานประจำเค้าเป็นงานเก่าๆ ของศิลปินฟินแลนด์ ที่จัดรวมธีม และมีการจัดแสดงรูปภาพด้วยสีสันและรูปแบบเลย์เอาท์ไม่เหมือนที่อื่นอย่างในลอนดอน หรือนิวยอร์กเลย น่าสนใจดี มีฟินนิชดีไซน์ให้ดูเยอะแยะ
ส่วนงานหมุนเวียน ตอนนี้มีของ Alvar Aalto ซึ่งเป็นเจ้าพ่อคนนึงของฟินแลนด์ งานเค้าที่เราเคยผ่านตามีเยอะมาก แต่เพิ่งรู้ก็ตอนนี้แหละ บ้านและออฟฟิศเค้าก็เปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้ด้วย เยี่ยมเลยอ่า นอกจากงานสถาปัตย์ พาวิลเลียน โซฟา เก้าอี้ แล้วเค้ายังออกแบบชิ้นงาน รวมถึงภรรยาเค้าด้วย ที่สำคัญ! Museum shop นี่มีมูมนิแมกเน็ตเยอะมาก ราคาถูกกว่าที่ moomin world
จากนั้นไป Art museum ตรงใกล้ Post ซึ่งเป็นงานจัดแสดงพวกงาน modern art
ตัวอาคารเหมือนจะเก๋เดิ้น แต่อิฉันไม่ค่อยชอบ บอกเลยว่ามองบางอย่างเป็นสิ่งไร้สาระ
“เค้าคิดมากเกินไป” บูว่างั้น
เป็นมิวเซียมที่แทบจะอยากทิ้งตัวนอนกลิ้งๆ ลงมาที่ชั้น 1 เองเพราะขี้เกียจเดินดู 5555 (ขนาดชื่อยังไม่ได้จดมาเลยอะ)
ออกจากมิวเซียม ขึ้นแทรมไปกินข้าวเย็นที่ร้านอาหารสไตล์ฟินแลดน์ชื่อ Salur
เราสั่งแฮร์ริ่งทอด บูสั่งปลาราดซอสเคลย์ฟิชกะเห็ดชองเทอร์เรลล์
คือแฮร์ริ่งของเรานี่เซอร์ไพร์สมาก มาเป็นตัวเล็กๆ เหมือนซาร์ดีน ทอดกรอบนอกนุ่มใน กินได้กระทั่งหาง หรืออีกทีคือหางอร่อยมาก เหมือนหางปลาทูทอด! อยากเปลี่ยนมันบดเป็นข้าวสวยร้อนๆ กับน้ำปลาพริกบีบมะนาวสักถ้วย คงจะฟินถึงขีดสุด
ปิดท้ายวันด้วยการเดินกลับบ้าน แวะช้อปอาหารเช้า โยเกิร์ตและนมก่อนซูเปอร์ฯ ปิดแค่ 5 นาที วิ่งกันตูดแล่บ (วันนี้มันดวงต้องรีบร้อนหรือไงไม่รู้นิ)
โอยเหนื่อยมากวันนี้ เป็นวันที่ยาวนานจริงๆ
adaytrip diary 