
ความสนุกอย่างหนึ่งของการเที่ยวบาร์เซโลน่า ก็คือการซื้อตั๋วเข้าไปชมสถาปัตยกรรมอาร์ตนูโวตามบ้านหลังต่างๆ ที่ตกแต่งมีเอกลักษณ์ได้โล่ ทั้งมีสไตล์ น่ารัก มุ้งมิ้ง หลุดโลก หวือหวา บ้าบิ่น คิดได้ไง! คือมีครบหมดอะ เลือกที่ตัวเองคิดว่าชอบแล้วจัดสักหลังได้เลย
สำหรับเราแล้ว Casa Lleó Morera คือบ้านที่มีรายละเอียดมุ้งมิ้งหวานๆ เยอะมากกกกก โดยเฉพาะลายดอกกระจุ๋มกระจิ๋มทั้งหลาย เขาจัดให้อย่างหนักหน่วงทุกมุมบ้าน คนชอบกระเบื้องโบราณหวานๆ ที่นี่เขามีห้องที่ปูกระเบื้องหลายๆ ลายมารวมกันได้อย่างลงตัวให้ดู
ข้อดีอีกอย่างของการเข้าชมบ้านนี้ ก็คือคนไม่เยอะ ไม่ต้องต่อคิว ไม่ต้องรอ ชิลล์มากกก เป็นอีกบ้านนอกกระแส ทั้งที่อยู่ถัดจากบ้านกระดูกอันโด่งดัง คนรอคิวยาวปรื้ด (Casa Batlló) แค่เดินไม่กี่ก้าวเอง อ่านรายละเอียดที่เว็บเค้าก่อนไปได้เลย www.casalleomorera.com/en
อย่างที่ได้เขียนบล็อก “ถ้ามาบาร์เซโลน่า ต้องรู้จักเกาดี้และคุณหลุยส์” เพราะสองคนนี้มีบทบาทกับสถาปัตยกรรมในเมืองนี้อย่างมาก กระทั่ง Casa Lleó Morera นี้ก็เป็นผลงานหนึ่งที่คุณหลุยส์เขาออกแบบไว้ คือถ้าจะให้สรุปง่ายๆ ได้ใจความคือ คุณเกาดี้เขาจะออกแบบอิงธรรมชาติ เน้นเส้นสายพลิ้วไหว โครงสร้างไม่ธรรมดา แต่ประโยชน์ใช้สอยต้องมา แต่คุณหลุยส์เขาจะเน้นแนวเรียบกว่า แต่ลวดลายหวานกว่า มีกระจกโค้งแปะข้างอาคารเป็นจุดขาย (ประโยชน์ใช้สอยก็อักโขเช่นกัน ไม่เสียเปล่าเลย)
ส่วนตัวเราชอบดูงานของทั้งสองคนเลย เพราะดูคนนึงก็ได้จุดประกายความบ้าบิ่นในตัว นึกดีใจที่โลกมีคนแบบนี้มาสร้างงานดีๆ ให้ดู อีกคนนึงก็จะให้อารมณ์หวานๆ ละมุนละไม
นี่เป็นบ้านที่เราดูแบบมีไกด์ทัวร์ภาษาอังกฤษ ซึ่งไกด์ภาษาอังกฤษจะมีทุกวันยกเว้นวันจันทร์ จองตั๋วคลิกที่นี่ ราคาตั๋ว 15 ยูโร เวลาบรรยายราว 1 ชม

ตัวบ้านเปิดให้ดูเฉพาะชั้น 1 ซึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าของจริงๆ (ตามชื่อบ้าน) เจ้าของคนแรกเป็นเถ้าแก่เนี้ยโรงงานน้ำตาล คนรวยๆ สมัยก่อนจะปลูกบ้านกันบนถนนเส้นนี้เพื่อแสดงศักดินา เอาไว้ให้ตัวเองอยู่ซะชั้นนึง ที่เหลือชั้นอื่นๆ ก็ปล่อยเช่าหรือขายไป ดังเห็นได้ว่าบล็อกเดียวกันนี้ก็เป็นที่ตั้งของบ้านกระดูก (Casa Batlló ) และ Casa Mila (เรานิคเนมว่าบ้านสาหร่าย เพราะลูกกรงช่างพริ้วเหมือนสาหร่าย) ส่วนชั้นล่างสุดเป็นที่ตั้งของร้าน Loewe (คุณไกด์แอบเคือง ที่ยอมให้เปิดร้านในอาคารหลังนี้) ชั้นบนๆ เป็นออฟฟิศ Swarovski ที่ปัจจุบันยังอยู่กันจริง (ถ้าฉันได้ทำงานในอาคารแบบนี้ทุกวันจะเป็นยังไงนะ แต่เค้าไม่ตกแต่งมุ้งมิ้งทั้งหลังหรอก เปลืองอะเนาะ)

สมัยที่สร้าง อาคารหลังนี้เป็นแห่งแรก ที่ใช้กระจกกรุแทนผนังทั้งแผงอย่างอาจหาญ กระจกก็เป็นลูกเล่นสเตนกลาสบานใหญ่มาก ซึ่งทั้ง 4 ชั้นเพนท์เป็นรูปไม่เหมือนกัน! ชั้นล่างเป็นรูปสัตว์ ขณะที่ชั้นบนเป็นต้นเชอร์รี่บ้าง ต้นฯลฯบ้าง(จำไม่ได้) จากห้องโค้งกรุกระจกเพนท์ จะมองออกมาเห็น courtyard ด้านหลัง ที่สมัยก่อนเอาไว้ให้คนใช้ได้ซักผ้า ตากผ้า มากกว่าจะออกมาปิ้งบาร์บีคิวกัน (น่าเสียดาย แต่สมัยก่อนคงไม่งามแจ่มเหมือนตอนนี้หรอก)
ตรงใกล้ๆ กระจกส่วนใหญ่เป็นห้องอ่านหนังสือ เพราะอาศัยว่ามีแสงเข้ามาก
ตรงระเบียงหน้าห้อง เจ้าของเขาให้ศิลปินปูนปลาสเตอร์ชื่อดังในยุคนั้น มาปั้นเรื่องราวความเป็นมาของตระกูลแปะไว้ (เหมือนเขียนหนังสือประวัติตระกูล ในรูปแบบศิลปะปลาสเตอร์แสนคลาสสิก) เวลามีแขกมาแทนที่จะชี้ชวนเปิดหนังสือ ก็จะพากันเดินไปที่ระเบียงหน้าห้อง ใช้เป็นหัวข้อสนทนาปาจิงโกะได้ ปัญหาคือเขาปั้นไม่ค่อยเรียงลำดับด้วยตามเวลาด้วย ถ้าไม่มีไกด์อธิบาย เราจะไม่มีวันรู้เลยว่ามันคือเรื่องราวของคนในบ้าน (คิดว่าเป็นแค่ศิลปะสวยๆไง) ว่าเด็กเกิดมาแล้ว ญาติเป็นยังไง พ่อแม่ปู่ย่า ฯลฯ จนบางทีก็อดนึกไม่ได้ว่า ศิลปินเขาต้องสรุปความเก่งมาก ถึงขมวดเรื่องราวยาวเหยียดเหล่านั้น มาเป็นรูปปั้นบนเสาไม่กี่ต้นได้
บูสะกิด….บอกว่าเรื่องที่ไกด์เล่า มันไม่ได้จริงทุกสิ่งนะเธอ (คงเห็นตาฉันวาว) เขาผสมความเป็นเทพนิยายลงไปด้วย เอาเถอะ…แค่คิดว่ามันเป็นอาร์ตปูนปลาสเตอร์ที่เราชอบ เพราะมีความสมัยใหม่ สวย ชัด เป๊ะ ที่บอกเล่าแบบเก่า ศิลปินคนปั้นเซ็นลายเซ็นไว้ที่ผลงานด้วย ซึ่งเป็นคนแรกๆ ในสมัยนั้น ที่ทำแบบนั้น
ภายในบ้านไม่มีเฟอร์นิเจอร์ เพราะของเก่าไม่เหลือแล้ว หลัง Spanish civil war หรือสงครามกลางเมือง เจ้าของบ้านก็ตัดสินใจขายทั้งหมดไป (น่าจะขายรวมถึงตัวบ้านที่น่าจะพรุน เพราะถูกกระสุนปืนเจาะ กระทั่งส่วนยอดที่เป็นสัญลักษณ์ก็พังเสียหายด้วย) และยุคนั้นไม่มีใครสนใจศิลปะหรือ ความสวยงามอีก (เอาตัวให้รอดก่อนน่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด) ซึ่งน่าเสียดายจริงๆ เพราะมันคือเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบเพื่อบ้านหลังนี้โดยเฉพาะ แต่เหมือนสุดท้ายทางรัฐบาลรวบรวมกลับมาเพื่อถ่ายรูป เพื่อให้นทท.ระลึกชาติถึงสภาพในอดีต แต่ถ่ายเสร็จก็ขนเฟอร์ฯทั้งหลายกลับไป (เพราะมันมีเจ้าของใหม่ไปหมดแล้ว) เหลือทิ้งไว้เพียงห้องเปล่าๆ และรูปที่ถ่ายให้พอจิ้นออกเท่านั้น
อย่างที่บอกว่า เฟอร์ฯ หลายชิ้นออกแบบเพื่อบ้านนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นบางจุดพอเอาเฟอร์ฯ ออกไป งานศิลปะที่ตกแต่งเฉพาะจุดก็จะแหว่งตามไปด้วย เช่นภาพโมเสกในห้องอาคาร มีรอยแหว่งตามขนาดของตู้ที่ถูกขายไปแล้ว เป็นต้น
นอกจากเฟอร์ฯ ที่ออกแบบเฉพาะแล้ว กระเบื้องลายดอกไม้ตางๆ ก็ได้รับการออกแบบเพื่อบ้านหลังนี้โดยเฉพาะ ชอบตรงเค้าปูกระเบื้องไม่ต่ำกว่า 3 ลายภายในห้องเดียวกัน เป็นความมั่วที่ลงตัวมาก คงเพราะเป็นสีพาสเทลด้วย ทำให้ได้โทนกลมกลืน ไม่ลายตา
สมัยก่อนห้องนอนผู้หญิงจะต่อไปถึงส่วนห้องน้ำ ขณะที่ห้องนอนผู้ชายไม่ติดกับห้องน้ำ ทำให้รู้สองอย่างคือ…สามีพันยานอนแยกกัน และผู้ชายไม่อาบน้ำกันหรอก (บูบอก)
ด้านล่างคือภาพด้านนอก และด้านในของอาคาร ซึ่งตรงกลางเป็นช่องแสง ตามลักษณะของบ้านในสมัยก่อน ที่เน้นแสงธรรมชาติ ซึ่งทั้งเหล็กดัดและกระจกก็ออกแบบให้ต่างกันออกไปในแต่ละชั้น ดูกันมันส์เลยค่ะ
สรุปได้ว่า Casa Lleó Morera เป็นบ้านที่เราประทับใจมากเป็นอันดับต้นๆ เลย เพราะชอบดอกดวงอะไรพวกนี้เป็นทุนเดิม แม้ส่วนที่เปิดให้เข้าชมจะน้อย คือแค่ 1 ชั้น และส่วนซักล้างด้านหลัง แต่ถ้าได้ไปพร้อมไกด์ก็เป็นอะไรที่เข้าท่า เนื่องจากเขามีบรรยายรายละเอียดต่างๆ ให้รู้ ใช่ว่าแค่เดินดูผ่านไปเฉยๆ แต่น่าเสียดาย…เราแทบไม่ได้ถ่ายรูปตัวเองในบ้านหลังนี้เลยอะ ทำไม้!!!!!!!!!!!!!!!!!
One thought