
เปิด 9.00 – 20.00 น.
ค่าตั๋ว 15 ยูโร/คน
Metro: ลงสถานี Sagrada Familia exit L5 and L2
จองตั๋วล่วงหน้า: http://visit.sagradafamilia.cat/?lang=en#tickets
สถานที่ท่องเที่ยวอันดับ 1 ในบาร์เซโลน่า
นี่คือสถานที่ท่องเที่ยวอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวทุกคนที่มา Barcelona เลย
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจ ที่พอขึ้นจากสถานี Metro แล้ว จะพบนักท่องเที่ยวจำนวนมากกกกกกกกก
ยิ่งเราไปตรงกับวันแรงงาน (ก็มันหยุดทั่วโลกนิ) คนเลยหลามเป็นพิเศษ
และนี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนยืนรอคิวขึ้นรถบัสแบบ 2 ชั้นยาวมากกกกกกกก …. ฉันถึงกะผวาคนจนตัวสั่นเลยจุดนี้
เทคนิคการซื้อตั๋วเข้าโบสถ์ Sagrada Família
ถ้ามีเวลาน้อย แค่มาถ่ายรูปจากด้านนอก และเดินชมความสวยงามรอบๆ โบสถ์ก็จัดว่าฟินได้นะ
แต่สถาปัตยกรรมด้านในเขาก็แปลกน่าดูมาก มีลักษณะผิดแผกจากโบสถ์ทั่วไปในโลกานี้หลายอย่าง
เช่นมีทางเดินระหว่างม้านั่ง 2 ทาง และแท่นพิธีเขาก็จัดพระเยซูในแบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหน
และการแหงนหน้ามองจากด้านใน จะได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่และสวยงามของโบสถ์อย่างลึกซึ้ง
ได้พิจารณาเรื่องราวของพระเยซูเหนือบานประตูอย่างใกล้ชิด ไม่ต้องเพ่งจากระยะไกล
ตอนเราไปถึงมัน 11 โมงนิดๆ แต่ตั๋วเวลาถัดไปที่เข้าได้คือทุ่มครึ่ง!
ที่เขากำหนดให้เป็นรอบ ก็เพื่อจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในแต่ละช่วงเวลาไม่ให้เยอะเกินไป (แต่ก็จัดว่าแยะอยู่ดี)
ซึ่งเป็นไอเดียที่ดีมาก เพราะถ้าถึงรอบเรา เราก็คงไม่อยากเบียดเสียด ยื้อแย่ง ทั้งที่เราก็เสียค่าตั๋วเข้ามาเหมือนกัน
ดังนั้นจึงจองตั๋วรอบทุ่มครึ่งแบบไม่เสียเวลาคิด ตั้งใจว่าจะไปเที่ยวที่อื่นก่อนแล้วค่อยย้อนมา
(มีบัตร 3 day pass ซะอย่าง จะขึ้นกี่รอบก็ได้รถไฟอ่ะ หว้ะฮ่ะฮ่ะ!)
แต่ถ้าไม่อยากไป 2 รอบ และอยากกำหนดเวลาเที่ยวให้เป๊ะ ให้จองทางออนไลน์ก่อนไป
สะดวก รวดเร็ว ว่องไวกว่าการเข้าแถวซื้อที่โบสถ์เองมากๆ
จองตั๋วล่วงหน้า: http://visit.sagradafamilia.cat/?lang=en#tickets
ระวังมิจฉาชีพ
และ….เนื่องจากแถวนี้นักท่องเที่ยวแยะมาก โปรดระวังมิจฉาชีพให้ดี
เหุตการณ์นี้เกิดกับตัวเองเลยนะ ระหว่างเราต่อแถว คนข้างหลังสะกิดอกว่าเป้เธอเปิดแน่ะ
พอหันไปดู แว้กกก! เป้เปิดไปครึ่งใบค่าาาาาา มั่นใจมีมือดีมารูดซิปอย่างแน่นอน
โชคดีที่เราเอาเสื้อสเวตเตอร์ยัดโปะๆ ไว้ด้านบน ส่วนกระเป๋าสตางค์ซุกอยู่ซอกในอย่างลึกเลยมองไม่เห็น
(เวลาปกติหยิบมาจ่ายสตางค์อะไรก็ย๊ากยาก เพิ่งมาซาบซึ้งข้อดีของการซุกเป๋าตังไว้ลึกๆ ก็ตอนนี้เอง)


ความเป็นมาของ Sagrada Família (เรียบเรียงจาก Wikipedia)
อันที่จริงโบสถ์แห่งนี้เริ่มก่อสร้างในปีค.ศ.1882 โดยสถาปนิกอีกคนซึ่งออกแบบให้เป็นโบสถ์สามัญทั่วไป
ไม่มีท้อปแหลม แพทเทิร์นหวือหวา ศิลปะแบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau) อย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้เลยสักนิด
แต่แล้วพอปีค.ศ.1883 (1 ปีต่อมา) คุณ Antoni Gaudi สถาปนิกอัจฉริยะของโลก ก็เข้ามาบอกว่า
(คำพูดนี้อิฉันมโนเอง) “เออแน่ะ ผมอยากลองออกแบบโบสถ์บ้าง ขอทำละกันนะ”
ในเมื่อสถาปนิกเอกเอ่ยปากเองแบบนี้ มีรึใครจะไม่ยอม!! ว่าแล้วคุณเกาดี้ (Gaudi) ก็จัดการ “ชุบโฉม”
โบสถ์เพลนๆ ซะใหม่ให้กลายเป็นแบบที่แกวาดฝันไว้ด้วยความสามารถทางสถาปนิกและวิศวกรรมชั้นครู
ทำให้มันกลายเป็นโบสถ์สไตล์โกธิค คาตาลันโมเดิร์นนิสต์อาร์คิเทค ที่ผสมผสานกับอาร์ตนูโวเสียสวยงาม
มีการลงรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องราวการถือกำเนิดของพระเยซูและ 3 wise men ให้ศึกษาด้านหน้าเหนือบานประตู
การก่อสร้างเป็นไปอย่างเต่าคลานมาก เพราะใช้ทุนส่วนตัวและทุนจากภาคเอกชนเพียวๆ เลย
ประกอบกับมีสงครามกลางเมืองในบางช่วง (รวมถึงตอนที่คุณนายพลฟรังโก้มารุกรานนั่นด้วย!)
บางช่วงมีการหยุดสร้าง เพราะสถาปนิกรุ่นใหม่ที่มาสานต่องานตีความแปลนดั้งเดิมแบบเพี้ยนๆ
และใส่ไอเดียตัวเองลงไปปะปน ทำให้บางคนคัดค้านเนื่องจากอยากให้งานเหมือนแปลนเดิมที่คุณเกาดี้เขียนไว้มากที่สุด
ประกอบกับโบสถ์นี้มีดีไซน์ที่ลึกล้ำอลังการงานสร้าง ไม่ใช่เส้นตรงมุมฉากเหมือนที่อื่นๆ
แต่เน้นฟอร์ม เส้นโค้ง มุมแหลม และสารพัดสารเพที่จะนึกได้ เพราะคุณเกาดี้เขาได้อินสะไปร์มาจากเส้นสายในธรรมชาติ
โดยเฉพาะส่วนยอดสูงนั่นมันเล็กมาก ติดไปแล้วอยู่ๆ อาจหลุดลงมา ทำให้ขีดจำกัดของการก่อสร้างค่อนข้างมาก
เพราะสมัยก่อนที่เครื่องไม้เครื่องมือก็ไม่ทันสมัยเท่านี้ (แต่ถึงตอนนี้เครื่องมือจะดีขึ้นมาก ก็ยังสร้างได้ช้า…
เพราะว่าเทคนิคต่างๆ มันล้ำลึกจนต้องหาทางก่อสร้างให้ได้ตามแบบ ประหนึ่งการแก้โจทย์คณิตศาสตร์เลยทีเดียว)
แม้ตอนที่คุณเกาดี้เองเสียชีวิตเมื่อปีค.ศ. 1926 (เพราะถูกรถแทรมชน! ตอนนั้นคนเสียใจกันทั้งเมืองบอกเลย)
ตัวโบสถ์เพิ่งสร้างเสร็จไปแค่ 25% เท่านั้น (แม้จะก่อสร้างมาแล้วถึง 43 ปี!) หลังคาก็ยังโหว่ๆ ไม่มีอะไรบัง
จนกระทั่งปี 2010 โบสถ์ถึงสร้างสำเร็จ 50% จากที่คุณเกาดี้ออกแบบไว้ (สร้างมา 117 ปีแล้วนะ!
ถ้านับถึงทุกวันนี้ก็ 122 ปีแล้ว และยังมีเครนหลายตัวปักอยู่บนหัวโบสถ์ต่อไป) และเริ่มเปิดให้คนเข้าชมด้านในเป็นครั้งแรก
ชิ้นงานภายนอกบางส่วนที่สร้างเสร็จตั้งแต่สมัยแรกๆ เริ่มสีคล้ำจากการกรำแดดกรำฝนมานาน
แต่ส่วนที่สร้างใหม่ซึ่งอยู่ติดกันยังขาวจั๊วะน่าเจี๊ยะอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็ทำเหมือนและน่าทึ่งมากนะ
เอาเป็นว่าอย่างน้อยตอนนี้หลังคาโบสถ์ถูกปิดเรียบร้อย
พวกเราสามารถเข้าไปเดินชมความงามของด้านในได้อย่างสบายใจ ค่าชมที่เก็บไปเขาก็จะเอาไปก่อสร้างต่อเรื่อยๆ
หลังจากได้เงินบริจาคจากนักท่องเที่ยวระหว่าง Olympics ที่บาร์เซโลน่าในปี 1992 ทำให้คาดการณ์กันว่า
โบสถ์น่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 2026 ซึ่งครบรอบ 100 ปีหลังจากที่คุณเกาดี้เสียชีวิต (แต่หลายคนก็บอกว่าไม่มีกำหนดแน่นอนหรอก คงอีกนานนนนนนนนน)


เสาและเพดานโบสถ์
เสาและเพดานโบสถ์ได้แรงบันดาลใจจากต้นไม้และใบไม้ ฟอร์มเลยแตกต่างจากโบสถ์อื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
ความน่าทึ่งของมันคือการใช้โครงสร้างแบบบเสาแฉก เพื่อกระจายน้ำหนักของหลังคาโบสถ์ที่สูงลิบลิ่วไปยังเสาต้นต่างๆ
ในขั้นตอนการออกแบบโครงสร้างเสาที่ว่า คุณเกาดี้เขาเริ่มต้นด้วยการเอาด้ายมาผูกบนคานก่อน แล้วเอาถุงทรายมาถ่วงน้ำหนัก
จนกระทั่งสองด้านเท่ากัน จากนั้นจึงวางโครงสร้างเสาตาม …เป็นวิธีการแบบเทพๆ ที่เราเห็นแล้วยังทึ่ง

ความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับโบสถ์ Sagrada Familia
คือมองจากรูป จะไม่รู้สึกถึงความใหญ่โตอลังการงานสร้างของมันนัก
มองจากระยะไกล ยังคิดเลยว่าโบสถ์สีน้ำตาลแบบนี้ดูทะมึนแอนน่ากลัว
แต่พอเข้าไปดูใกล้ๆ พบว่าตามยอดต่างๆ ประดับด้วยลูกกลมๆ สีสันน่ารัก แถมใช้ฟอนต์โมเดิร์น
สมกับเป็นสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์นจริงๆ
ตอนแรกเรากะจะดูเฉพาะข้างนอกแล้วล่ะ เพราะเห็นคนแยะ แถมดูข้างนอกก็รับรู้ความอลังการของมันได้พอสมควร
แต่ตะหงิดๆ ว่าคุณบูอยากดูมาก แต่ทำปากแข็งบอกว่าถ้าเราไม่อยากดูก็ไม่ต้องเข้าหรอก (น้ำเสียงสั่นเครือ)
ก็เลยตัดสินใจจองบัตรแล้วไปเที่ยวที่อื่นกันต่อ ค่ำๆ ค่อยกลับมา
โชคดีที่เราไปตอนพค. ซึ่งเวลากลางวันยาวนาน พระอาทิตย์ตกดินตอน 3-4 ทุ่ม
ทำให้ถึงเข้าไปดูตอนทุ่มครึ่งก็ยังเห็นความสวยงามภายนอกได้ชัดเจน
จากที่ไม่ค่อยสนใจ แต่สุดท้ายเราใช้เวลาอยู่ในนั้นนานถึง 1 ชม.ครึ่ง!!!!
คือเข้าตอนทุ่มครึ่ง ออกตอนโบสถ์ปิดตอน 3 ทุ่มเลยค่าา
เข้าไปได้ก็แหงนหน้าคอตั้งบ่ามองความสวยงามของเสาและเพดานสูงลิบลิ่วอยู่ได้เป็นนานไม่ยักเมื่อย
(แต่พอกลับรร.ปุ๊บ บูจ๋า…นวดไหล่ให้ที!!!)
เพราะทั้งเสาและเพดาน คุณเกาดี้เขาได้แรงบันดาลใจมาจากต้นไม้และใบไม้!!
มิน่าล่ะถึงได้สวยแปลกตามีเอกลักษณ์สุดๆ
ไม่ว่าจะเดินไปมุมไหน ศิลปะแบบอาร์ตนูโวก็เอาใจเราไปได้ทุกมุมที่ดูเหมือนจะออกแบบให้แตกต่างกันไปหมด
บนประตูด้านหน้าและหลังที่เขาสลักให้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์
มีรายละเอียดยุบยิบที่บูเล่าให้ฟังเป็นเรื่องเป็นราว
เช่นตรงกลางตรงทางเข้า จะเป็นเรื่องราวการกำเนิดพระเยซูในมุมมองของเซนต์…
มีนักบุญ มีแกะ มีหมา และ 3 กษ้ตริย์อะไรเสร็จสรรพ
(คนไทยอย่างอิฉันถ้าไปคนเดียวคงได้แต่ยืนดูเฉยๆ ไม่รู้เรื่องความเป็นมาหรอก
เราคนพุทธ เรียนเรื่องศาสนาคริสต์เพียงคร่าวๆ)
ส่วนกระจกสีด้านในก็เขียนชื่อเซนต์ต่างๆ ไว้ ขณะที่บนเพดานสูงสุดนั้น เขียนคำว่าพระเจ้าเป็นภาษากรีก Carlos
มันเป็นดีไซน์การออกแบบโบสถ์ที่ไม่เหมือนใคร และคงไม่มีใครทำได้เหมือน
รายละเอียดแต่ละด้าน แต่ละมุม เหมือนจะแตกต่างกันไปหมด
ที่สนุกคือดูโบสถ์อยู่ดีๆ แม่ชีกลุ่มใหญ่ที่เข้ามาทัศนศึกษา ก็พากันล้อมวงร้องเพลงประสานเสียงกันในนั้น
เสียงที่ดังก้อง บวกกับภาพบรรยากาศของโบสถ์ทำให้รู้สึกถึงพลังของมันอย่างมาก
ร้องจบคนช่วยกันปรบมือให้กำลังใจใหญ่เลย (ตอนแรกนึกว่าร้องเพลงเรี่ยไรเงินบริจาคนะนั่น)










ออร์แกน
ออร์แกนคือสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับโบสถ์ทุกแห่ง มีการติดตั้งขึ้นในปีค.ศ.2010 ประกอบด้วยท่อถึง 1,492 ท่อ
ด้วยขนาดโบสถ์ที่ใหญ่บึ้ม เขาคิดว่าออร์แกนตัวเดียวน่าจะเอาไม่อยู่ จึงทำการติดตั้งออร์แกนในจุดต่างๆ ตามที่เห็นสมควร
ซึ่งรวมๆ แล้วจะทำให้มีท่อออร์แกนทั้งหมดราว 8,000 ท่อเมื่อติดตั้งสำเร็จ



ด้านล่างของโบสถ์ Sagrada Família
ส่วนหนึ่งเปิดให้ใช้ทำพิธีในตอนเย็นจริงๆ และมีคนเข้าไปร่วมพิธีจำนวนมาก
ขณะที่อีกส่วนทำเป็นมิวเซียมเล็กๆ ที่บอกเล่าความเป็นมาของโครงการนี้ตั้งแต่ต้น
รวมถึงความคืบหน้า แบบจำลองโบสถ์ในสมัยก่อนโน้น ภาพในอดีต และห้องทำงานปัจจุบันของกลุ่มสถาปนิก
และคนงานที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาสร้างโบสถ์ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง





Sagrada Familia schools
ภาพด้านบนคือโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในบริเวณของ Sagrada Familia ในยุคเริ่มแรกที่นี่มีห้องเรียน 3 ห้อง
ภายในพื้นที่เพียง10×20 ม. เกาดี้ออกแบบให้ผนังเป็นลอนคลื่นและสร้างจากอิฐแบบเปลือย
หลังคาเองก็เช่นกัน ความโค้งเว้าที่เห็นนั้นเอง ทำให้อาคารอิฐที่ดูหนักและแข็ง ให้ความรู้สึกหลิ้วไหลและอ่อนลงได้ทั้งที่ความจริงมันแข็งแรงมาก
โรงเรียนเล็กๆ แห่งนี้ เป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ของสถาปนิกหลายๆ คนก็ว่าได้
เพราะมันมีความบาลานซ์ระหว่างโครงสร้างกับของที่นำมาตกแต่ง และระหว่างฟังก์ชั่นใช้งานกับความสวยงาม
ซึ่งถือเป็นตัวอย่างงานการออกแบบอันล้ำเลิศได้เป็นอย่างดี
4 thoughts