
ก่อนซื้อตั๋วเข้าไปชมบ้านด้านใน เรานิคเนมบ้านหลังนี้ว่าเป็น “บ้านเหล็ก” เพราะระเบียงด้านนอกเป็นเหล็กดัดเกลียวๆ พอได้เข้าไปฟังไกด์บรรยายแล้วถึงรู้ว่าเราเรียกผิดมาตลอด เพราะเหล็กพลิ้วๆ ด้านหน้าจริงๆ มันได้แรงบันดาลใจมาจาก “สาหร่าย” ต่างหาก ปู้ดดดด เงิบกันไป
ข้อมูลจาก wikipedia
Provença, 261-265, 08008 Barcelona, Spain
สร้างเสร็จในเดือนธันวาคม 1910
เปิดทุกวัน 9.00-20.00 และ 21.00-23.00 น.
รูปแบบสถาปัตยกรรม – โมเดิร์นนิสต้า
สถาปนิก – อันตอนี เกาดี้ และโซเซฟ มาเรีย จูโจล
เว็บไซต์ www.lapedrera.com/ca/home

ราว 35 ยูโร/คน เพราะเค้ามีมัลติมีเดียเฉพาะตอนกลางคืนอย่างเดียวด้านล่าง และบนดาดฟ้า (สวยเลยนะ บนดาดฟ้าเนี่ย นั่งดูไปเห็นวิวเป็น Sagrada Família ไปด้วย) แถมปิดท้ายทัวร์ยังมีแชมเปญแจกก่อนแยกย้ายกลับบ้าน (เด็กๆ มีน้ำส้มสปาร์คกิ้ง ซึ่งไม่อร่อยมาก! อย่าเลือก!)
เรื่องราวตอนสร้างของบ้านหลังนี้สนุก ดราม่ามาก แรกเริ่มคือคุณมิลล่าซึ่งเป็นเจ้าของเนี่ย ไปถูกใจงานของคุณเกาดี้จากบ้านกระดูก (Casa Batlló) ซึ่งอยู่ห่างกันออกไปแค่ 100 ก้าว เลยจ้างวานให้เขามาออกแบบบ้านให้ด้วย ตามประสาผู้มีอันจะกิน ต้องการอะไรเริดๆ ให้ตัวเองเสมอ
แต่ปัญหาคือ…พื้นที่ของบ้านหลังนี้ใหญ่มว้ากกกกกกกกก ชั้นนึงมีพื้นที่เป็นพันกว่าตารางเมตร คุณเกาดี้เค้าก็อุตส่าห์เป็นห่วง เลยออกแบบให้โครงสร้างหลักรับ นน. ทั้งหมดได้ เผื่ออีกหน่อยเปลี่ยนใจ อยากทุบผนังทำเป็น รร จะได้ไม่มีปัญหาตึกถล่ม
คะนี้ตรงทางเข้า คุณเกาดี้เค้าตั้งใจให้ศิลปินคนสนิทมาเพนท์ลายให้ แต่อยู่ๆ ก่อนวันเพนท์ไม่นาน คุณมิลล่าดันเอาศิลปินที่ดังกว่ามาสวมแทนซะงั้น ดังนั้นคุณเกาดี้เลยชักไม่ถูกชะตาละ แต่ก็ยังทำงานต่อไป ด้วยจิตใจที่ขัดๆ เคืองๆ จิกๆ กัดๆ กันเป็นระยะ อันจะกล่าวต่อไป
โครงสร้างตรงกลางบ้านเป็นสวนขนาดใหญ่ ให้แสงสว่างเข้าอย่างทั่วถึงตามทฤษฎีการออกแบบบ้านสมัยก่อน โดยมีอาคารล้อมรอบ คนอาศัยในตึกใช้ลิฟท์เก่าแก่ซึ่งทำด้วยไม้ ในการขึ้นลง ขณะที่สาวใช้จะใช้บันได (รูปด้านล่าง) ซึ่งทำเป็นบันไดวน หลังคาออกแบบให้คล้ายใบไม้…พวกเราดูไปก็อิจฉาสาวใช้นะ ว่ามีโอกาสใช้ของสวยเริดแบบนี้อยู่คนเดียว เจ้าของบ้านก็ขึ้นลิฟท์ทึมๆ กันไป
นอกจากนั้นแล้ว Casa Mila ยังพิเศษตรงที่ “มีที่จอดรถใต้ดินเป็นแห่งแรกในบาร์เซโลน่า” ประตูทางเข้าถึงได้ยิ่งใหญ่อลังการมาก แถมออกแบบให้ลวดลายคล้ายฟองคลื่น ตามคอนเซ็ปต์ใต้ท้องทะเลของบ้านหลังนี้เขาด้วย
อย่างที่เกริ่น ว่าตลอดระยะเวลาที่สร้างบ้านมีปัญหาวุ่นวายตลอด เช่น ภรรยาคุณมิลล่าไม่ให้มีการติดรูปเทวดานางฟ้า และงานปูนปลาสเตอร์ทางศาสนาบนเสาเป็นอันขาด ขณะที่คุณเกาดี้นั้นเป็นพวกเคร่งศาสนา! ก็อยากจะให้มีอะเนาะ
ขณะที่เฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบไว้เฉพาะบ้าน Casa Mila คนในบ้านก็ไม่ชอบ เพราะยังติดภาพกับเฟอร์ฯสมัยก่อนมากกว่า ก็เป็นอะไรที่ถกเถียงกันไปมาภายในไม่จบสิ้น

ไม่พอยังมีสงครามจากภายนอก คือระหว่างก่อสร้างก็มีปัญหาเรื่องตึกกินพื้นที่ฟุตบาธ แจ้งไว้ว่าจะสร้าง 2 ชั้นแต่จริงๆ ปาไป 6 ชั้นแถมมีดาดฟ้าอีก! (ทำไงได้อะ!!) กว่าจะสร้างเสร็จคุณมิลล่าก็เกือบสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะค่าก่อสร้างบานปลาย แถมเจอค่าปรับอีกไม่รู้เท่าไร เครียดจนผมหงอก และสุดท้ายก็มีฟางเส้นสุดท้ายมาทำให้แตกหักกันจนได้ โดยคุณเกาดี้ทิ้งงานที่ยังค้างคาบนดาดฟ้าไว้เล็กน้อย (อาจจะเป็นช่วงที่แกเสียชีวิตด้วย) แล้วก็สวมคอนเวิร์ส ทางใครทางมัน แต่ก็ถือได้ว่า บ้านหลังนี้มีกลิ่นอายของคุณเกาดี้อยู่มาก แถมตอนนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็น “World Heritage” แล้วด้วย
รายละเอียดการตกแต่งภายในบ้าน ต้องยกนิ้วให้อย่างแน่นอนที่สุด กรอบและบานประตู ออกแบบลวดลายม้วนเกลียว มีเท็กซเจอร์ ไม่มีปล่อยทิ้งไว้แบนๆ เบๆ ให้เสียชื่อเกาดี้เขาหรอก มือจับก็ออกแบบพิเศษเฉพาะบ้าน เป็นกลมๆ นูนๆ คล้ายกระดูกปลาอยู่นะ
ในอดีตชั้นสองของอาคารเป็นบ้านของคุณมิลล่า ที่เหลือแบ่งเป็น 4 ห้อง (จาก 1000 กว่าตรม.) สำหรับแบ่งขาย 4 ครอบครัว การที่ตึกนี้ถูกประกาศเป็น world heritage ไปแล้ว จึงอนุญาตให้คนที่อาศัยอยู่ อยู่ต่อได้อีกแค่ 2 เจเนเรชั่นเท่านั้น และตอนนี้ก็เป็นเจนฯที่ 2 แล้ว ดังนั้นถ้าเสียชีวิตเมื่อไร ลูกหลานก็ต้องย้ายออกไปให้หมด (ตอนนี้ยังเหลืออีก 3 ครอบครัว ที่ยังอาศัยอยู่ที่นี่)
เราว่าเค้าน่าจะมีปัญหาเรื่องค่าชดเชยอยู่บ้าง (เอ๊ะ หรือนี่คือสาเหตุที่ทำให้เก็บค่าตั๋วแพง?) เพราะค่าบ้านแถวนี้คงแพงกระฉูดตูดขาด ทำเลเริดได้โล่ จะชดเชยยังไงถึงจะสาสมล่ะ บ้านก็ใหญ่โคตคือห้องละราว 300 กว่าตรม!
ไอเดียนึงที่สมัยก่อนไม่มีใครใช้ ก็คือการจัดสรรเนื้อที่บ้านให้กว้าง หรือแคบได้ตามใจเรา เช่นห้องรับแขกและกินข้าว ปกติจะเชื่อมต่อกัน แต่ถ้าต้องการความเป็นส่วนตัว ก็สามารถลากประตูมากั้นจากกันได้ (ความรู้เหล่านี้ได้มาจากการฟังไกด์บรรยาย และเราก็ยืนขวางประตูเขาตลอดเว)
ห้องน้ำใหญ่เป็นของฝั่งคุณภรรยา สีเลยพาสเทลสดใสมุ้งมิ้งน่ารัก ดูชักโครกแบบว่าสูงมาก
ห้องคุณผู้ชายจะแต่งแนวทึมๆ ขรึมๆ สลัวๆ น่ากลัวนิดๆ ห้องน้ำเล็กกว่านิดหน่อย
แน่นอนว่าต้องมีห้องสาวใช้ และห้องเย็บปักถักร้อย ซึ่งเป็นห้องที่ดูดีกว่าชีวิตสมัยเพิ่งเริ่มทำงานของอิฉันเป็นอย่างยิ่ง T^T
ไม่ลืมห้องครัว ที่คิดว่า…ธรรมดากว่าที่คิด คือเน้นใช้งานมากกว่าจะสวยงาม เพราะน่าจะเป็นคนใช้นั่นแหละที่ได้ใช้เยอะที่สุด แต่รายละเอียดเค้าค่อนข้างเยอะ เพราะเฟอร์นิเจอร์ยังอยู่ซะส่วนใหญ่ เราเลยเดินรั้งท้ายชาวบ้านเขา คอยเก็บตกถ่ายรูป ดูรายละเอียดฯลฯ ไป
สิ่งนึงที่ชอบและถือเป็นซิกเนเจอร์ของคุณเกาดี้ ก็คือเพดานที่ไม่ธรรมด๊า ไม่ธรรมดาเอาซะจริงๆ ถ้าไม่เล่นกับวัสดุ ก็เล่นกับแสงเงาไม่น่าเบื่อ
ความโดดเด่นอีกอย่างก็คือห้องใต้หลังคา ที่มีโครงสร้างรูปโค้ง ที่ใช้แรงบันดาลใจจากกระดูกงูมาทำ เพื่อให้แต่ละโค้งรับน้ำหนักของตัวมันเองได้ แถมยังสวยเหมือนอยู่ในถ้ำ แต่…ก็เป็นที่ให้สาวใช้ขึ้นมาซักผ้าค่า! (สมัยก่อนยังไม่มีไอเดียของการปิ้งบาร์บีคิวหรือดื่มไวน์ชมวิวบนดาดฟ้า เพราะที่แห่งนี้เป็นของสาวใช้มากกว่าผู้ใดทั้งหมด น่าอิจฉาแท้) สังเกตเสาบ้านสิคะ ใหญ่บะเลิ่มเฮิ่ม เพราะอย่างที่บอกตอนแรกว่า เค้าทำโครงสร้างให้อาคารรับน้ำหนักตัวมันเองได้ เผื่ออีกหน่อยอยากทุบกำแพงบางจุดออก ตึกจะได้ไม่ถล่มลงมา
พอขึ้นมาที่ดาดฟ้า ถึงเข้าใจว่าโดมทั้งหลายมีเหตุผลของมัน เช่นโดมนี้คือสำหรับประตูเข้าออกดาดฟ้า โดมนี้เป็นชิมนีย์ โดมนี้คือช่องระบายควาร้อนเตาผิง คุณเกาดี้เขาแปลงไอเดียปล่องต่างๆ ทีน่าเบื่อ มาทำเป็นโดมโด่งสูงๆ ต่ำๆ หรือสัตว์ประหลาด หรือเสาทรงแปลกๆ น่าดูไปอีกแบบ แถมต้องทำระเบียงเป็นปีกเพื่อบังเสาเหล่านี้ด้วยนะ 5555 ขำอ่ะ อีกอย่างคือเสาพวกนี้จริงๆ ตั้งใจทำเป็นอาร์ตนูโวตามสมัยแหละ แต่ดันทะเลาะกันตอนจบซะก่อน งานก็เลยยังไม่เสร็จ ส่วนหนึ่งเพราะคุณเกาดี้แกเสียชีวิตด้วย
ส่วนตัวคิดว่า ที่นี่เหมาะมากสำหรับคนชอบสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์นนิสต้า เพราะว่าการออกแบบอาคารและตกแต่งภายในที่ใส่ใจรายละเอียด มีให้ดูแบบจัดเต็มล้นปรี่เกือบ 2 ชม.ที่อยู่ในนั้นเลย ไกด์พูดภาษาอังกฤษชัดมาก บางคำไม่เข้าใจก็กระซิบถามบูเอา บางทีมัวแต่ถ่ายรูปก็ไล่มาขอให้บูฟังทีหลัง แฮ่ๆ แต่การมีไกด์มันดีแบบนี้จริงๆ เราได้รู้ลึกกว่าที่แค่ตาเห็น ดังนั้นถ้ามีเวลาก็จองทัวร์กับไกด์ดูนะ
ติดตามกันต่อได้ทางเฟสบุ๊ก http://www.facebook.com/adaytripdiary
IG: aenoi_adaytrip
ปล.ก่อนจบ ใครที่เดินผ่านมาแถวบ้าน Casa Mila อย่าลืมแวะร้าน Vincon เพราะมีของไลฟ์สไตล์เก๋ๆ เยอะมากกกกกกกกกกก ร้านใหญ่บะเลิ่มเทิ่ม เดินไม่หวาดไม่ไหว และที่สำคัญ ร้านขายของที่ระลึกของ Casa Mila เองก็มีของน่ารักๆ ให้ชอปเยอะเหมือนกันนะ
2 thoughts