บล็อกนี้สืบเนื่องมาจากเพื่อนสาวแวะมาเที่ยวหาที่ฮ่องกง เลยเอา 4 วัน 3 คืนที่พวกเราไปเที่ยวกันมาเขียนซะเลย ว่าไปแอ่วไหนบ้าง
ปอลิง อันนี้แนะนำสำหรับสาว 30 ปลาย เพราะเน้นไหว้พระ หาของกินอร่อย ไม่ได้เน้นแลนด์มาร์ก คาเฟ่เก๋ๆ เท่าไรนะจ๊ะ
DAY 1 :
ไหว้แชกง (วัดกังหัน) / กินห่านพะโล้

บ่าย 3 โมง เจี๊ยบมาถึงบ้านเรา ด้วยอารมณ์หิว(เอง 555) เลยพาไปกินเส้นหมี่เนื้อตุ๋นใกล้บ้าน (อ่าวกั๊ม อ่าวหลำ) ร้านใกล้บ้านจะมีบะหมี่เนื้อแบบซุปมะเขือเทศ และรวมเอาเกี๊ยวใส่เข้าไปด้วยได้ ***แนะนำ*** ทีเด็ดของการกินบะหมี่เนื้อในฮ่องกง (สำหรับเรา) คือการสั่งหนังปลามากินแกล้มด้วย ให้อารมณ์กินเตี๋ยวเรือกับแคบหมู เครื่องดื่มต้องเป็นบ๊วยเค็มหรือเปรี้ยว ใส่ในเซเว่นอัพ มันใช่! มันคือฮ่องกง! (ภาพไม่มีเพราะ…กินบ่อยจนไม่ค่อยถ่ายกัน)
อยากจะบอกว่า ร้านนี้เป็นร้านเนื้อตุ๋นที่ดีเว่อวังมาก โดยเฉพาะเอ็นและไชเท้าตุ๋น ถึงขนาดเพื่อนอีกคนขอสั่งไชเท้าตุ๋นมากินโดยเฉพาะ (ลุงพนักงานชอบเรียกว่า White Carrot) ใครสนใจก็นั่งรถไฟฟ้ามาลงสถานี North Point exit B4 ออกมาได้แล้วเลี้ยวขวา เดี๋ยวจะถ่ายรูปหน้าร้านมาให้ดู
บ่าย 4 .30 น.
เรานั่งรถไฟจากสถานีบ้าน North Point ไปวัดแชกง หรือวัดกังหัน เพื่อเป็นศิริมงคล ซึ่งต้องลงที่สถานี Tai Wai บอกได้เลยว่าการจะไปวัดใช้เวลาพอสมควร เพราะไม่ว่าจะมาจากสายไหนก็ต้องต่อราว 3 ทอด ยกเว้นแต่คุณจะอยู่แถว Mong Kok East ซึ่งนั่งรวดเดียวถึงเลย
การไปวัดแชกงนั้น พอลงสถานี Tai Wai อาจจะแตกตื่นเล็กน้อยเพราะสถานีใหญ่มาก (แต่สวยมาก) ให้หาทางออกไป Bus Terminal จากตรงนั้นก็อ่านรายละเอียดคลิกตรงนี้โลด เพราะคุณริชชี่เขารีวิวละเอียดม๊าก ทั้งทางไปและวิธีการไหว้สักการะ ขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ค่ะ
สำหรับชุดไหว้มีให้เลือกหลายราคา มากน้อยตามขนาดชุด พวกเราจัดชุด 80 HKD ซึ่งธูปใหญ่เว่อวังอลังการ พอตอนเอาธูปไปให้เค้าจุด เค้าจะมีให้เขียนชื่อและบริจาคเงินตามกำลังศรัทธา พนักงานที่วัดนี้ “พูดไทยได้ทุกคน!” ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะเก้กัง วัดปิด 6 โมงเย็นนะคะ ใครจะไปลองกะเวลาดูกัน เราไปถึงบ่ายแก่นี่คนน้อย ไหว้สบายใจมากๆ

6 โมงเย็น
พวกเรากลับจากสถานี Tai Wai เข้ามาที่ Causeway Bay ประหนึ่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ เพราะ…มันคือการช้อปปิ้ง! เริ่มจากการออก exit F ไปชั้น 2 ห้าง Hysan Place ตรงดิ่งเข้าร้าน Line Shop ที่เราไปทีไรก็มีอะไรให้ต้องซื้อเสมอ! เดี๋ยวนี้เครื่องสำอาง Missha ที่เป็นตลับแป้งหมีบราวน์และลิปโคนี่ ฯลฯ ก็มีขายในร้านไลน์แล้วนะคะ (Hysan Place ยังมีร้าน eslite ชั้น8-10, ร้าน Lemon lulu ชุดกีฬาแสนเริดอยู่ชั้น 1, ซูเปอร์ jasons อยู่ชั้น B2, ร้านเค้ก red velvet แสนเริดชื่อ sift อยู่ชั้นเดียวกับ Line shop และมีศูนย์อาหารอยู่ชั้น 12)
ออกจาก Hysan Place เรากะพาเจี๊ยบไปกินขนมฮ่องกงร้านนึงซึ่งติดอันดับความเริดประจำเกาะ (พวกมะม่วง ทุเรียน ฯลฯ) แต่ร้านเต็มมาก ต้องรอคิว ฝนก็ตก เลยแฉลบไป Lee Theatre เพราะอยากดูร้าน Muji แวะนั่งกินขนมน้ำชากันที่ Muji Cafe มันซะเลย (แพงนะ แต่ขี้เกียจหาที่นั่งอื่นแล้ว) แล้วก็ช้อปปิ้งเสื้อผ้ามูจิกลับบ้านคนละชุด จะได้นอนฝันดี (ช้อปปิงเทราพีคืองานของเรา)
2 ทุ่ม
โชคดีคุณบูเลิกงานเร็วได้ เราเลยพากันไปกินอาหารแต้จิ๋วใกล้บ้าน (เมืองไทยอาหารพวกนี้จะมีย่านท่าดินแดง) ที่ร้านนี้มีห่านพะโล้อร่อยล้ำนำคุณค่าในราคาราวๆ 250 HKD (อาหาร 3 อย่าง ข้าว 2 น้ำอีกด้วย) บอกเลยว่าห่านพะโล้ร้านนี้เริด! กินกับแมงกะพรุนดึ๋งๆ แล้วแจ่มล้ำ ซุปกะเพาะหมูก็เหนือคำบรรยาย ตั้งแต่กินห่านร้านนี้เราไม่เคยเหลียวกลับไปมองห่านย่างอีกเลย (เลี่ยนโคด) ใครสนใจก็เชิญมาสถานี North Point exit B4 เดี๋ยวจะถ่ายรูปหน้าร้านให้ดู ไข่เจียวมะระนี่แบบ…อร่อยเหาะไปนอกโลก! ร้านนี้มีเมนูอังกฤษด้วย ซ่อนอยู่ตรงแคชเชียร์ ใครไปก็เอ่ยปากขอ
DAY 2
ติ๋มซำโบราณ / ไหว้พระใหญ่ / Citygate outlets / โจ๊กฮ่องกง Congee King
9 โมงเช้า เราไปยื้อแย่งกินติ๋มซำในร้านเก่าแก่ย่าน Central ที่รสชาติติ๋มซำไม่เท่าไร แต่บรรยากาศนี่มันสุดติ่งกระดิ่งแมวมาก ชื่อร้าน Lin Heung การจะได้โต๊ะนั่งคือต้องไปยืนรอจ่อๆ คนที่กินจะเสร็จแล้ว พอเค้าลุกก็รีบพุ่งร่างหย่อนก้นลงไป ซึ่งบางทีก็ต้องนั่งรวมกับคนอื่นๆ อันเป็นเรื่องปกติของการกินอาหารในฮ่องกง
จากนั้นลุงพนักงานจะมาเช็ดโต๊ะ เก็บเข่งติ๋มซำเก่าออก เอาจานชามชุดใหม่มาให้ในลักษณะของการโยนใส่หน้าโครมคราม กระแทกกาชาชนิดที่ว่าน้ำกระฉอกออกมาด้านนอก ด้วยสีหน้ากรัมปี้เหมือนคนอดนอนมา 3 ปี…แต่เราอย่าไปสน นั่นคือคาแรกเตอร์มนุษย์ฮ่องกงเขา เขาไม่ได้เกลียดเรา
ร้านนี้ไม่ต้องสั่ง ไม่ต้องติ๊กใบใดๆ แค่รออานตี้เข็นรถออกมา แล้วคนก็จะพากันไปรุมๆ แย่งเข่งอาหารกัน ได้ปุ๊บอานตี้จะปั๊มใส่ใบประจำตัวให้ว่าเท่าไร เราก็จะเอาใบนั้นไปจ่ายสตางค์ตอนกินเสร็จแค่นั้น บางคันคนก็น้อยไม่ค่อยมีคนสน แต่บางคันคนรุมยื้อแย่งยังกะแจกฟรี
จำได้ว่าเป็นการกินที่โกลาหลพอสมควร แต่เพื่อนเจี๊ยบบอกว่าสนุกมาก อาหารก็โอเค เราก็เลยแฮปปี้ไปด้วย เพราะอิฉันก็เพิ่งเคยมาร้านนี้ครั้งแรกเนื่องจากขี้เกียจตื่นเช้า ^^”
สิริรวมมื้อนี้กินไปราวๆ 10 อย่าง ราคาไม่เกิน 200 HKD (รูปอาหารมีไม่ครบนะจ๊ะ)

10 โมง เดินเตาะแตะจากร้านติ๋มซำ มาหากาแฟออสซี่ล้างคอกันที่ร้าน The Cupping Room (G/F, 18 Cochrane St., Central) เป็นอีกหนึ่งร้านกาแฟดังในฮ่องกง ที่นำเข้าและคั่วกาแฟเอง จริงจังขนาดมี coffee tasting menu ให้ลองซึ่งเราเคยเขียนไว้ในบล็อกนี้ นี่เป็นการเติมพลังตื่นให้กระแสเลือด เรากินลาเต้อุ่นๆ (ทั้งที่อากาศร้อนตับแลบ) ขณะที่เจี๊ยบเลี่ยงไปกินอเมริกาโน่เย็น บอกว่าอร่อย หอม ชอบ จากนั้นเราก็แยกไปกับเจี๊ยบ ส่วนคุณบูไปทำงานต่อ

เกือบเที่ยง ชึ้นกระเช้าอองปิง ไปไหว้พระใหญ่!
นั่งหลับบนรถไฟสักงีบก็มาถึงสถานี Tung Chung แว้ว เราพลาดตรงไม่ได้จองตั๋วกระเช้านองปิงมาก่อนเพราะคิดว่าเป็นวันธรรมดา ทำให้ยืนรอนานมากก (ราว 1 ชม.ได้) ดังนั้นใครก็ตาม ไม่ว่าจะมาวันธรรมดาหรือเสาร์อาทิตย์ ให้จองตั๋วมาก่อนนะคะ คิวจะสั้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด!
การออกเสียงอองปิง กับนองปิงเนี่ย จิงๆ เราว่าคนฮ่องกงออกว่า “อองปิง” นะ เพราะเหมือนเค้าออกตัว น.หนู กับ ง.งูไม่ค่อยได้กัน (เพื่อนสาวฮ่องกงเคยพยายามพูดคำว่า “งาน” แต่ไม่เคยสำเร็จ)
ค่าตั๋วขึ้นกระเช้าคนละ 166.5 (ใช้บัตร HSBC ได้ลด 10%) ใช้เวลาในการขึ้นราว 10-15 นาที เป็นวิวที่เลอค่ามากมาย ได้ทั้งวิวภูเขา วิวสนามบิน ทะเล และวิวคนเดินเขาอยู่ด้านล่าง
สิ่งแรกที่ทำเมื่อถึงยอดเขาคือ พุ่งตัวไปกินขนมฮ่องกงร้าน Honeymoon Dessert เพราะเริ่มรู้สึกหิว แต่ยังไม่อยากกินข้าว เอาคูปองที่ได้มาตอนซื้อตั๋วลดไปได้อีก 5 เหรียญสบายใจ ละแวกนี้มีร้านอาหารและของที่ระลึกจำนวนมากมาย รวมถึง Starbucks ที่มีมัคจากบนนี้ให้ช้อปเป็นที่ระทึกกลับบ้านได้ด้วย กินเสร็จเราเดินขึ้นไปไหว้พระใหญ่กัน บันไดค่อนข้างชันทีเดียว แต่สาวแส้อย่างเราสบ๊าย!!!
ห้องน้ำบนนี้สะอาดดีทีเดียวแล เข้าได้สบายใจเฉิบ
บ่าย 3 กลับมาที่ Citygate Outlets
ขาลงกระเช้าไม่นานเท่าขาขึ้น รอแค่ไม่ถึง 5 นาที ลงด้านล่างก็ถึง outlet ทันทีสบายมาก ก่อนช้อปเราก็แวะกินหมี่ซั่วกันที่ Food Republic ซึ่งอาหารไม่ค่อยอร่อยเท่าไร แต่นาทีนั้นหิวโฮก จะอะไรฉันก็กินละ!
พวกเราเดินเข้าร้านโน้น ออกร้านนี้เป็นชม. ไม่ได้อะไรเลยอะ ประกอบกับเจี๊ยบเพิ่งช้อป Sale ที่สนามบินสิงคโปร์มาเลยเฉยๆ แต่ๆๆ ดั๊นนนตกม้าตายที่ I.T outlet เพราะรองเท้า Camper นั้น เราเคยซื้อมาใช้แล้ว 2 คู่ชอบมากกกใส่จนพังพินาศไป นึกว่าหมดสต๊อกไปแล้วดันมาเจอที่นี่ มันก็ต้องซื้อสิคะ!! เพื่อนเจี๊ยบก็โดนไปโดยพร้อมเพรียงกัน กลับบ้านอย่างสบายใจได้ของแล้ว ฮ่าๆๆ

บ่าย 4-5 โมง พวกเราเผลอเดินช้อปปิ้งที่ IFC เพราะมันคือจุดต่อรถไฟ (สถานี Central) ที่นี่มี Zara แต่ที่เริดกว่าคือ Cos (shop อยู่ติดกัน) ทำเอาเจี๊ยบที่อดใจไม่ซื้อเสื้อผ้า ต้องตบะแตกอุดหนุนเขาจนได้! เนื่องจาก Cos เนี่ยคัตติ้งดีมากบอกเลย เป็นเสื้อแบรนด์สวีดิช (ญาติกับ Zara นั่นแล) เน้นเรียบแต่เก๋ และคัตติ้งเนี้ยบนิ้ง ดูด้วยตาอาจแค่ชอบ แต่พอได้ใส่ทะนั้นแหละ รักเลย! ประกอบกับราคาแพงกว่าซาร่าเล็กน้อยเท่านั้น (คือราว 2 พันต้นขึ้นไป) พวกเราก็พะรุงพะรังกลับบ้านกันไป
ที่ IFC นี้มีอีกหลายร้านที่แนะนำ เช่น Nespresso, Grom เจลาโตอร๊อยอร่อยจากอิตาลีที่กำลังจะเปิด ร้านโฟรโยชื่อ Yo! mama อยู่ตรงข้ามกับ City Super และอีกหลายร้าน เดินได้ค่ะสำหรับคนที่จะมาต่อเรือที่ Central Pier ไปฝั่ง TST
6 โมงเย็น กินโจ๊กมิชิลินไกด์ที่ Trusty Congee King (Wanchai exit A3)
ตอนมาฮ่องกงแรกๆ เราก็เที่ยวตระเวนกินโจ๊กร้านนั้นนี้อยู่บ้างนะ แต่พอมากินร้านนี้แล้วก็ปักหลักกินมันที่นี่ตลอด เพื่อนมาก็พามาร้านนี้ เพราะ 1.อร่อย 2.เมนูอังกฤษ 3.โจ๊กมาชามกำลังดี กินพออิ่มท้อง และ 4.มีทั้งโจ๊กและบะหมี่ให้เลือก บ๊ะจ่างไส้ถั่วเหลืองของประจำชาติฮ่องกงในเทศกาลดราก้อนโบ้ตก็มีให้ลองชิม เคยเขียนถึงโจ๊กร้านนี้ไปแล้ว คลิกอ่านที่นี่
ปัญหาอย่างนึงในการสั่งอาหารที่ฮ่องกง โดยเฉพาะร้านโลคัลมากๆ คือมีแต่ภาษาจีนสั่งลำบาก และบางทีโลคัลก็ไม่ได้แปลว่าอร่อยไปซะหมดทุกร้านซะหน่อยนี่ (แต่บะหมี่เกี๊ยวนี่อร่อยเกือบหมดทุกร้านเลยนะ จะแพงจะถูก มันโอเคหมด) ดังนั้นพอเจอของที่ชอบแล้ว ฉันก็กินแต่อันนี้แหละ แนะนำนะจ๊ะ สั่งโจ๊กมากินกับปาท่องโก๋ (เหย่าเตี๋ยว / dough fritters) จะอร่อยฝันดีทั้งคืน โจ๊กเค้ามีให้เลือกเยอะมาก ทั้งหมูสับ เนื้อสับ หมูชิ้น พุงปลา (ไม่คาวเลยและอร่อยสุโค่ย แนะนำเจี๊ยบไปเธอก็บอกว่าอร่อยจริงๆ) ตับ เครื่องในสารพัดรูปแบบ ที่สำคัญเค้ามี chilli oil อยู่ในกระปุกทุกโต๊ะ ตักมาจิ้มกับเนื้อต่างๆ ได้ทำให้แซบได้อีกหลายระดับ
พี่สาวคนนึงบอกว่า ชานมเย็น (ตงหลายฉ่า) ร้านนี้อร่อยมากกก กลับเมืองไทยไปก็ยังคิดถึง อยากกินอีกตลอดกาล ดังนั้นใครชอบชานมก็ลองสั่งกินกันน้า
7 Heard Street, Wan Chai และอีกหลายสาขา เสิร์ชชื่อร้านได้จาก open rice app เลยจ้า
ทุ่มครึ่ง: แวะร้านเครื่องสำอาง
ระหว่างทางเดินกลับรถไฟฟ้า เราพาเจี๊ยบแวะร้านเครื่องสำอาง 2 ยี่ห้อคือ Bonjour และ Sasa แถวๆ หน้าสถานี Wanchai exit A3 กระเป๋าสตางค์จึงพบพานกับความเสียหายอีกรอบ เจี๊ยบบอก Bioderma ที่ฮ่องกงถูกกว่าสิงคโปร์หลายร้อยบาท (จึงจัดไป 3 ขวดใหญ่!) รวมถึงครีมบำรุงประเภทต่างๆ และมาสก์หน้าด้วย จากนั้นเจี๊ยบก็ได้มาสก์กัปตันจุงกิซึ่งเพิ่งออกใหม่ไปจำนวน 3 กล่องใหญ่เพื่อฝากเพื่อนที่ทำงาน ซึ่ง…ตอนเลือกนั้นเราพยายามพิจารณาจากสูตรต่างๆ เช่น มาสก์ไข่มุก มาสก์ชาเขียว ขณะที่เจี๊ยบพิจารณาเลือกจากใบหน้ากัปตันจุงกิ ว่าอันไหนหล่อกว่ากัน ฮ่าๆๆๆๆๆ
ร้านเครื่องสำอางมีเยอะแยะมากมายในฮ่องกง เดินไปไหนก็ต้องเจอ เพียงแค่ว่าแต่ละสาขาอาจจะมีของไม่เหมือนกัน ดังนั้นถ้าอยากได้อะไรที่ไม่ใช่ของฮิต (เช่น Bioderma หรือ เจลว่านหางจระเข้ ซึ่งมักจะมีขายทุกสาขา) ก็ให้เลือกซื้อติดกระเป๋าไว้ได้เลย ไม่งั้นจะเสียเวลาหาทีหลังไม่รู้ด้วยน้า

DAY 3
ขึ้น Star Ferry / ช้อปที่ Harbour City / Hong Kong Park / เดินเลาะทางแทรม / Bowen Road
11 โมง วันนี้วันเสาร์ เราเลยทำ buttermilk pancake กินเช้ากันที่บ้านก่อน เป็นกิจกรรมประจำครอบครัวและเพื่อน ทำไปได้กลิ่นหอมๆ ของแพนเค้กกับกาแฟ ค่อยๆนั่งกินไปมันก็เป็นความสุขอย่างนึงนะ
กินเสร็จถึงค่อยออกมาผจญภัย ขึ้นเรือ Star Ferry ข้ามจากฝั่งฮ่องกง มาที่ Harbour City เพื่อลุยกิน-ช้อป คือจริงๆ อยากพาเจี๊ยบไปที่อื่นด้วย แต่ฟ้าไม่เป็นใจ ส่งฝนมาให้ความเย็นฉ่ำตั้งกะเช้า ตอนแรกว่าจะพาเจี๊ยบขึ้นเขา เลยเปลี่ยนแผนมาเดินห้างกันนี่แหละ สบายอุรา (เจี๊ยบคงดีใจมาก)
ที่ Harbour City เนี่ยเหมาะกับการช้อปสักครึ่งวันเต็มๆ เลยนะ เพราะห้างมันใหญ่มากกกกกกกกกกก เดินไปจะหลงไปก็มี ต้องอาศัยถามลุงๆ หรือานตี้ใส่สูท ที่ยืนประจำตามทางแยกและมุมต่างๆ ว่าไปไหนนั่นแหละ ลุงป้าพวกนี้ใจดีมาก พูดได้หลากหลายภาษาจนน่าทึ่ง
ใน Harbour City มีคาเฟ่มูมิน และร้านกระเป๋า Anello ตรงจากญี่ปุ่นมาเปิดเคาน์เตอร์ใน LCX เลย มีแบบให้เลือกค่อนข้างเยอะ ใครชอบกิ๊บลี่ก็มีร้าน Donguri Republic เปิดใกล้ๆ คาเฟ่มูมิน ส่วนรองเท้ากีฬาหาได้จากร้านของเขาเอง ทั้ง New Balance, Adidas, Nike หรือร้านรวมแบรนด์อย่าง Giga Sports ซึ่งเข้าไปเหมือนเค้าแจกของอ่ะ คนเยอะม๊าก! เจี๊ยบบอกว่าราคารองเท้ากีฬาที่นี่ถูกกว่าสิงคโปร์ บางรุ่นถูกกว่าเยอะมากเป็นหลักพัน! และมีรุ่นที่ๆ อื่นไม่มีด้วยล่ะ นางจึงจัดไป 1 คู่ (จริงๆ อยากได้ 2 แต่พยายามห้ามใจสินะ!) คาเฟ่ที่เราไม่ได้เข้ามีของ Vivienne Westwood และ Wedgwood เพราะยัดพุงไม่ไหว แต่เคยลองของ นี่เป็นอีกห้างที่มีจุดให้ถ่ายรูปเล่นค่อนข้างเยอะและสนุกดีทีเดียว
เพื่อนสาวคนนึงบอกว่าร้าน Lady M ซึ่งเป็นคาเฟ่ชื่อดังจากนิวยอร์กมาเปิดสาขาแรกในฮ่องกงที่ Harbour City ของดังของเค้าคือเครปเค้กค่า เราจึงต่อแถวแบบซื้อกลับ เพราะแบบนั่งในร้านเนี่ยคิวยาวรอนาน ซึ่งเค้ามีซองเย็นและช้อนพลาสติกให้เสร็จสรรพ จะบอกว่ามันอร่อยตรงแป้งเครปที่แทบละลายเข้าไปในครีมสดเลยนะ แต่กินมากไม่ได้อะเลี่ยน! แนะนำรส original นี่แลเวิร์กสุด ราคาชิ้นละ 50-60 HKD
บ่าย 3 โมง ช้อปจนกลัวกระเป๋าจะฝ่อ เลยพากันนั่ง Star Ferry กลับฝั่งฮ่องกง และพลาดท่าเมื่อ…บอกคุณบูว่านำทางไปไหนก็ได้ นางจึงพาเดินไปที่ Botanical & Zoological garden และขึ้นเขาไปตามทางแทรม (ขึ้นพีคน่ะ) เป็นการเดินเขาแบบเบาะๆ เล่นเอาเกือบหายใจไม่ออกตาย เพราะอากาศวันนั้นชื้นมาก (ฝนตกไง) อับซะจนเหงื่อไหลเป็นสาย อยากจะงับหัวคนนำทางก็ทำไม่ได้ หมดแรง
แต่ข้อดีของการเดินป่าไป กางร่มไปครั้งนี้ คือทำให้ได้เห็นตึกเก่าๆ วินเทจแบบไม่เสแสร้ง นกขนแด๊งแดงใน Hong Kong park เส้นทางเลียบแทรมถึงจะเป็นบันไดชัน แต่ก็สวยเหมือนหลุดเข้าไปในอีกมิตินึง (เจี๊ยบบอก Harry Potter!) เรานั่งดูแทรมแล่นผ่านไปมาอยู่ 2 รอบ แล้วก็เดินต่อไปเรื่อยๆ เป็นการออกกำลังพร้อมเที่ยวชมธรรมชาติของฮ่องกงแบบไม่เหนื่อยมาก สิริรวมวันนั้นเดินไปราว 12 โล
สุดสายปลายทางของเราคือ Causeway Bay (เดินจาก Central ขึ้นเขาอ้อมมา Causeway Bay!) เรานั่งแท็กซี่ต่อไปอีกราว 10 นาทีเพื่อกินอาหารเย็นแซบๆ ที่แนะนำอย่างยิ่ง!
6.30 น. Top Grade Hot Pot
มิชชั่นของเราทริปนี้ คืออยากพาเจี๊ยบไปกินอาหารเด็ดฮ่องกงให้มากที่สุดเท่าที่เวลาและเส้นทางจะเอื้ออำนวย และ Hong Kong hot pot นี่ขาดไม่ได้จริงๆ คนอื่นอาจจะไปกินร้าน hot pot แฟนซีอื่นๆ ร้านอื่นๆ เราไม่รู้นะ แต่ร้านนี้เราปักธงเลยอะ มากินกันทุกหน้าหนาว หน้าที่เพื่อนมา และหน้าที่อยากกิน เพราะมันดีจริงๆ เป็นร้านที่เพื่อนที่ทำงานบูแนะนำมาอีกที
สิ่งที่แนะนำให้สั่งคือน้ำซุปเสฉวน ฮาล์ฟ กับน้ำซุปจืดอะไรก็ได้ตามชอบ จะได้ไม่เผ็ดจนปากชาเกินไป ลูกชิ้นที่ร้าน hot pot จะเป็นแบบลูกชิ้นสดคือเนื้อบดมาให้เห็นจะๆ เป็นลูกๆ เลย ปกติพวกเราจะสั่งเซ็ตเนื้อรวม ผักรวม แล้วก็ฟองเต้าหู้ทอดทั้งแบบกลม และม้วน (ในรูป) เอามาจุ่มน้ำซุปแป๊บนึงให้ยอบตัวลงแล้วเข้าปากกรุบๆ นุ่มๆ ในคำเดียว ขาดไม่ได้คือ “ลูกชิ้นชีส” (อยากเน้นขีดเส้น 230 เส้นเลย) เพราะมันอร่อยเหนือคำบรรยาย และหาที่ไหนในโลกาไม่ได้จริงๆ นะ อรอ่ยมาก ร้าน hot pot อื่นก็คงมีแหละ ใครไปร้านอื่นก็สั่งมาลองดูนะ (ลูกชิ้นชีสคือลูกชิ้นขาวๆ ที่โปะหน้าด้วยไข่กุ้งสีส้มๆ 4 ลูกนั่นแล) เคยสั่งลูกชิ้นสอดไส้ไข่เค็มมาก็อรอ่ย แต่ไม่แจ่มเท่าไส้ชีส
ความสนุกอีกอย่างของ hot pot ฮ่องกง คือเราปรุงน้ำจิ้มเอง ซึ่งจะมีเครื่องเคราเยอะมาก ปกติเราให้คุณบูปรุงซึ่งเธอจะออกแนวเปรี้ยวนำ เค็มนิดหน่อย หอมซอส XO อะไรแบบนี้ เหมาะกับเนื้อสุดๆ
คืนนั้นกินเสร็จ ถึงกับต้องบอกลาของหวาน และเดินกลับบ้านเพื่อให้อาหารในพุงย่อยลงบ้าง


DAY 4
อาหารเช้าฮ่องกง / นั่งแทรม / ซื้อหมูแดง / ช้อปจนหยดสุดท้าย
9 โมงเช้า สิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อมาฮ่องกง ก็คือการกินอาหารเช้าแบบฮ่องกง ซึ่งหลักๆ คือไข่ ขนมปัง และซุปมะกะโรนี กินแกล้มกับชานมฮ่องกงอุ่นร้อน หรือ “หยิตหลายฉ่า” เค้าขายกันในร้านที่เรียกว่า “ฉ่าช้านแท้ง” ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในฮ่องกงนั่นแล แต่เราพาเพื่อนมากินที่ร้าน Capital Cafe เพราะเราชอบ คิดว่าเจี๊ยบก็น่าจะชอบด้วย
ทีเด็ดของร้านนี้คือไข่กวนนุ่มละลายในปาก คพคม.นุ่มว่างั้นเหอะ จะสั่งเป็นเซ็ตเค้าให้เลือกไข่ดาวกับ scramble ก็เลือกแบบ scramble นะ เพราะไข่ดาวหากินที่ไหนก็ได้ ร้านนี้ต้องแกมเบิลเท่านั้น! ที่เห็นเป็นผงดำๆ บนไข่นั่นคือ Truffle คร้าบ คุณภาพมันไม่ค่อยดีเท่าภัตตาคารหรูนะ แต่ก็พอไปวัดไปวาได้ แซนวิชหมูทอดของเค้าบูก็บอกว่าอร่อย ร้านนี้อยู่ตรงข้าม Trusty Congee King ย่าน Wanchai ที่เราเพิ่งพาเจี๊ยบมากินโจ๊กวันก่อนนั่นเอง
10.30 ซื้อหมูแดงที่ Fu Sing Shark Fin
เจี๊ยบซื้อหมูแดงไปฝากสามี หมูแดงร้านนี้จะนุ่ม หวาน ยิ่งกินที่ร้านตอนออกจากเตาใหม่ๆนี่นะ มันหืมมมมมม อร่อยม๊ากกก! ติ๋มซำร้านนี้เขาก็อร่อย เป็นติ๋มซำร้านแรกที่เพื่อนฮ่องกงบูเคยพามากิน ใครมีเวลาลองเข้าไปนั่งกินแล้วสั่งที่ร้านจะแจ่ม ชาสุ่ยเปาหรือเปาหมูแดง ที่ Tim Ho Wan คนชอบกันนักหนา เราว่าร้านนี้อรอ่ยกว่า! (เฮ้ย ฉันได้อะไรจากการโฆษณานี้บ้าง?) ซื้อหมูแดงกลับบ้านกล่องละ 130 HKD (ราวๆ เส้นนึง) มีสาขาอยู่ที่ Causeway Bay ด้วยนะจ๊ะ อ้อ เขาติดอยู่ในมิชิลินไกด์ด้วยค่า
(1/F, 68 Yee Woo Street, Causeway Bay) MTR Causeway Bay exit F1
11 โมง ช้อปจนนาทีสุดท้าย!
เราพาเจี๊ยบไป Uniqlo เพราะที่สิงคโปร์เสื้อยืดเขาไม่หลากหลายเท่า (ไม่มีกระทั่งเสื้อยืดไลน์อะคิดดู!) ประจวบกับไปตอนเซลพอดี๊ พวกเราจึงหน้ามืด ความงกบังเกิด หอบเสื้อยบืดกลับบ้านกันคนละ 8 ตัว! โดยมีคุณบูอยู่หน่วยหอบหิ้ว ช้อปกันจนเกือบลืมเวลากลับอ่ะคิดดู
เจี๊ยบต้องขึ้นรถบัสไปสนามบินราวๆ บ่ายโมง ขากลับพวกเราเลยนั่ง “แต๊ง แต๊ง” หรือแทรมกลับกัน (เจี๊ยบเรียกรถหวานเย็น เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ) ถือเป็นการกินลมชมวิวที่ดีงาม ในราคาประหยัดมากอย่างนึง แนะนำสำหรับทุกคนที่มาฝั่งฮ่องกงนะคะ ขึ้นไปเหอะ สายอะไรก็ช่าง นั่งเล่นดูเมืองเขาไปสวยดี
ว่าแล้วก็จบทริปกันดื้อๆ ด้วยประการฉะนี้แล…