หลักๆ โรงแรมและรีสอร์ตมักจะอยู่กันที่ Brinchang หรือไม่ก็ Tanah Rata (Cameron Highlands Resort ที่เราอยู่ จะอยู่ห่างจาก Brinchang ประมาณ 1 กม.) การเดินทางไปไหน มาไหน ในคาเมรอน จะใช้แท็กซี่ ซึ่งสามารถโทร.ให้มารับที่ไหนก็ได้ เริ่มต้น RM10 หรือจะเหมาเป็นชั่วโมง หรือจะซื้อทัวร์จากที่พัก หรือเอเจนซี่ในตัวเมือง หากใครกังวลว่าควรจะพักที่ไหนดี ก็อย่าห่วงเรื่องระยะทาง เพราะแต่ละที่อยู่ไม่ไกลกันเลย เช่นจาก Brinchang ไป Tanah Rata ก็แค่ 10-15 นาที ดังนั้นเลือกที่พักที่เราพอใจไว้ก่อนดีกว่า เรื่องเที่ยวไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิด ว่าแล้วก็มาดูกันว่า ถ้ามาคาเมรอนไฮแลนด์แล้ว มีอะไรให้เที่ยวบ้าง
Jim Thompson Trail
เป็น Complementary ที่ได้รับมาจากโรงแรมค่ะ หรือจะซื้อจากเอเจนซี่ทัวร์ก็ได้เช่นกัน เขาจะมีคนขับรถไปส่ง และมีไกด์ไปกับเราด้วย 1 คน วันที่เราไป มีแค่เอ๋กับคุณบู สองคนเท่านั้น เอ็กซ์คลูซีฟมั่ก! เป็นการเดินง่ายๆ รถจะไปส่งที่ปากทางเข้า ให้เราเดินผ่านอุโมงค์ต้นไม้ จนไปทะลุเจอบ้านคนทำสวนของคุณจิม ซึ่งปลูกต้นไม้ ดอกไม้ ไว้เสียสวยเลย เป็นบ้านที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ยังคงสภาพไว้ดีมาก จากตรงนี้สามารถมองเห็นบ้านบนเขา Moonlight Bungalow ของคุณจิมได้ชัดเจน มองตอนกลางวันก็ดูเข้าท่าดี แต่ถ้าเป็นตอนกลางคืน มันคงมืดและน่ากลัวพิลึก เพราะบ้านหลังเดียว โดดเดี่ยวอยู่บนยอดเขาสูง … ไม่อยากจะคิดว่าถ้าไปพักที่นั่น…. บรื๋อววว์ คุณไกด์จะพาเราไปดูจุดที่มีคนเห็นคุณจิมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเขาจะขึ้นรถไปกับใครบางคนที่ใส่ชุดทหาร ไม่รู้ว่าอเมริกันหรืออังกฤษ จากตรงนี้ คุณไกด์เล่าเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับการหายตัวไปของคุณจิมอย่างเมามัน เราสองคนยืนฟังเพลินเป็นครึ่งชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว! เริ่มตั้งแต่เรื่องราวที่ว่าเขาอาจจะเป็น CIA, ทำไมเขาถึงไปอยู่เนปาลนานหลายปี ทำไมถึงได้สร้างโรงงานไหมในเมืองไทย จนกระทั่งมาพักผ่อนกับเพื่อนที่คาเมรอนไฮแลนด์ คุณลุงไกด์รู้จักหลาย ๆคนที่เป็นพยานเห็นคุณจิมในวันที่เขาหายตัว ทั้งคนที่อยู่ในโบสถ์ คนตัดกล้วยทำสวนแถวนั้น รวมถึงหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการหายตัว ที่ได้ยิน ได้ฟังมาจากคนในพื้นที่ ทั้งการมีคนหลายกลุ่มมาตามตัวเขาที่คาเมรอน และอื่นๆ อีกมาก … ฟังสนุกดีแท้ดีว่า

Gunung Brinchang Trekking Trail
เป็นเส้นทางชันขึ้นเขา เหนี่ยวรากไม้ ขึ้นไปยังยอดเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,000 ม. ใช้เวลาประมาณ 2-2.30 ชม. อากาศเย็นสบายมาก ไม่ผิดจริงๆ ที่มีคนบอกว่าเหมือน “ป่าติดแอร์” เพราะเยือกตลอดทาง พวกเราไม่ได้ซื้อทัวร์ แต่ใช้วิธีจ้างไกด์ เช่าแท็กซี่แบบเหมา ให้ไปส่งทางขึ้น มารับบนยอดเขา จากนั้นพาไปไร่ชา BOH แล้วกลับมาส่งรีสอร์ต รวมแล้ว RM160 ส่วนไกด์ 2 คน เขาคิดค่าจ้าง RM250 ปกติเราเดินป่า ขึ้นเขา ไม่เคยใช้ไกด์เลยสักที เพิ่งมาเห็นข้อดีก็ตรงนี้ เพราะทางนี้ค่อนข้างไม่ชัดเจน มีโอกาสจะหลงกันได้ง่ายๆ มิหนำซ้ำไม่ค่อยมีใครไป เดินๆ เจอคนร่วมทางแค่ 5 คน (ฝรั่งล้วน) ไกด์จะช่วยชี้ทาง และเซฟเรา ทั้งคู่ชำนาญเรื่องต้นไม้และกล้วยไม้ มีงานประจำอยู่แล้ว แต่ปีนเขาเป็นงานอดิเรกที่หลงใหล ดังนั้นปีนๆ ไป ก็จะชี้ชวนให้ดูต้นนั้นต้นนี้ บางต้นหายาก อธิบายพันธุ์ไม้ต่างๆ เป็นวรรคเป็นเวร การหยุดคุยเป็นระยะ ทำให้เราไม่เหนื่อยเกินไป และทำให้รู้สึกว่าระยะทางสั้นลงอีกอักโขเลยเชียว
โหดได้อีก…
เฟิร์นขึ้นครึ้ม เย็นตลอดทาง
กล้วยไม้จิ๋วมาก ถ้าไกด์ไม่ชี้ให้ดู คงเดินผ่านเลย
Strawberry Farm
ที่นี่มีฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่ ลาเวนเดอร์ กะบองเพชร ผักสวนครัว ฯลฯ ให้แวะเข้าชมหลายแห่ง เราสะดวกเส้นทางไหน ก็แวะไปตามเส้นทางนั้นได้เลย เอ๋ใช้วิธีจ้างแท็กซี่ให้ชึ้นไปส่งที่ Butterfly Farm แล้วเริ่มจากตรงนั้น เดินลงเขามาเรื่อยๆ เจออะไรก็แวะตามทางไป ได้แวะฟาร์มและสถานที่ต่างๆ ประมาณ 5-6 แห่ง ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. ถ้าเราจะจ่ายสตางค์เพื่อเก็บสตรอว์เบอร์รี่เอง เค้าจะคิด 30 RM ต่อครึ่งกิโล หรือไงนี่แหละค่ะ ถ้าเราจะซื้อแบบที่เค้าเก็บให้ก็ราคาเดียวกัน เอ๋เลยซื้อแบบที่เค้าเก็บแล้ว แล้วขอเข้าเดินเล่น ด้วยกลัวว่าจะเลือกไม่เป็น แต่…สตรอว์เบอร์รี่ที่คาเมรอน ไม่อร่อยเท่าที่ควร คือติดเปรี้ยว มีข้อดีอย่างเดียวคือสีแดงสวยมาก
Butterfly Garden
ชื่อว่าสวนผีเสื้อ แต่ด้านในมีแมลงต่างๆ ที่หาดูได้ยาก และสัตว์เล็กๆ เช่นกระต่าย ดูละม้ายคล้ายเจ้าของอยากเลี้ยงเอง แต่เอามาให้แขกดูด้วย เพราะน้อยเหลือเกิน ในนี้สนุกกว่าที่คิด พวกเราใช้เวลาอยู่กันประมาณครึ่งชั่วโมงได้ ค่าเข้าคนละ 5RM
Time Tunnel Local Museum
ตอนเห็นป้ายโฆษณา ขณะเดินเลาะมาตามไหล่เขา ยังคิดอยูเลยว่า นี่มันมิวเซียมหลอกเด็กหรือเปล่านี่ แต่ไหนๆ เดินผ่านแล้ว ก็เลยเต็มใจให้เขาหลอก หารู้ไม่ว่าทางเข้าเล็กจิ๋วเดียว … เดินเข้าไปขยายใหญ่โต เป็นห้องหับแยกย่อยอีกแยะเลย หลักๆ ที่นี่เก็บรวบรวมข้าวของในชีวิตประจำวัน ชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย มาไว้ในที่เดียว คนทีชอบจะใช้เวลาพิจารณานานแน่ เอ๋เห็นตู้เก็บแก้วใสพิมพ์ลายแล้วอยากขโมยกลับเป็นที่สุดอ้ะ ลายดอกไม้วินเทจ สวยมากๆ ด้านในสุดจัดเป็นห้องครัว ที่ถ้าแสงสว่างกว่านี้จะดีมาก แต่ด้วยความที่มันสลัวเลยแอบกลัวเล็กน้อย ค่าเข้า 5RM
Cactus Point
สวรรค์คนรักกะบองเพชรอย่างแท้จริง เพราะมีแยะมากๆๆๆ ทั้งต้นเล็ก ต้นใหญ่ ต้นไม้ ดอกไม้ มีเต็มไปหมด คนไม่เข้าไปซื้อ ก็สามารถเข้าไปถ่ายรูป หรือเดินดูดอกไม้ได้ฟรี
Walking from the top
การเดินลงเขา แล้วแวะเที่ยวตามทางไม่ได้เหนื่อยยากอย่างที่คิด บนถนนมีไหล่ทางเล็กๆ ให้เดินได้ เห็นฝรั่งหลายคู่ก็ทำเหมือนเรา รายทางมีตลาดเล็ก ตลาดน้อย ตลาดนัด ตลาดนักท่องเที่ยว ตลาดคนท้องถิ่น ให้ดูไปเรื่อยๆ แถวนี้เป็นแหล่งปลูกผักผลไม้หลายอย่าง แต่ส่วนใหญ่ส้มนำเข้ามาจากจีน (คุณไกด์บอกมา)
สถาปัตยกรรมบ้านเรือนที่นี่ ออกแนวทิวดอร์ เกือบทั้งหมด ดังนั้นทัศนียภาพ ก็จะแปลกตาไปอีกแบบ คล้ายๆ จะเป็นเมืองฝรั่ง แต่พอมองต่ำลงมา อ้าว…ร้านข้าวแกงแขก นั่น…ภาษามาเลฯ โอเค ฉันไม่ได้อยู่ยุโรป ….
ของฝากอย่างหนึ่งที่ฮิตฮอต และมีแยะมากๆ ก็คือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสตรอว์เบอร์รี่ เช่นร่ม ถาด หมอน พิมพ์ลายสตรอว์เบอร์รี่ ..มีคนซื้อจริงๆ นะ เพราะคนนั่งบัสคันเดียวกับเราก็ซื้อหมอนรองคอสตรอว์เบอร์รี่กลับ
BOH Tea Plantation
เป็นที่ๆ วิวสวย และแนะนำมากๆ เป็นจุดหมายหลักของทุกคนก็ว่าได้ ระหว่างทางเราจะเห็นวิวไร่ชา สวยเชียว แต่ถนนเส้นเล็กมาก ไม่แนะนำให้ขับรถเอง เพราะเวลารถสวนกันที นั่งเกร็งเดสกะกันทั้งรถ กลัวตกเขาไม่ใช่อะไร >__< รถยนต์สวนกันเองยังพอว่า แต่บางเวลาก็มีรถบัสมาสวนเราให้หนาวใจเล่นๆ ด้วยนี่สิ
BOH (อ่านว่า โบห์) มีโรงงานผลิตชาเล็กๆ ให้เราเดินดูเองได้ตลอดกระบวนการ หากไปตรงรอบ จะมีไกด์บรรยายให้ฟังด้วย ชาของที่นี่แพร่หลายไปทั่วมาเลฯ หากใครอยากซื้อ ก็มี Tea Shop ขายชาหลายประเภท หลายเกรด ชาผลไม้ของ BOH ไม่ใช่ชาแดง รสจึงไม่เปรี้ยวเหมือนชาผลไม้ทั่วไป ที่นิยมใส่รสกระเจี๊ยบลงไปด้วย เพียงแต่จะมีกลิ่นหอมของผลไม้เท่านั้น เป็นชาผลไม้ชนิดแรกที่เราชอบก็ว่าได้ ราคาไม่แพงเท่าไหร่ มีแบบเป็นตัวอย่างให้ทดลองขายแยกตรงแคชเชียร์ด้วย
การมาที่นี่ทำให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้ไร่ชาใหญ่ๆ ไม่ได้ใช้แรงงานคนเหมือนแต่ก่อน เพราะเขามีเครื่องมือที่ช่วยตัดใบชา สำหรับชาเกรดไม่ดีมาก ทำให้งานเสร็จรวดเร็ว แต่ชาพรีเมี่ยม ก็ยังต้องเลือก และใช้คนเก็บเหมือนเดิม
เอ๋ไม่ได้แวะ Tea Room เพราะคนแยะมากๆ ทั้งที่โต๊ะเก้าอี้ก็ว่ามีมากแล้ว ดังนั้นถ้ามาวัน เสาร์-อาทิตย์ ก็ต้องเตรียมใจสักนิด แต่วิวตรงระเบียง จะสวยมากๆ เหมาะกับการจิบชา แกล้มขนมจริงๆ
Tanah Merah
เป็นเมืองท่า เมืองที่เราสามารถลง-ขึ้น รถบัส ได้ มีร้านอาหาร starbucks ไปรษณีย์ ร้านของชำ และอื่นๆ ที่หากใครลืม หรือขาด (เช่นเรา ที่ลืมเอา SD Card ของกล้องมา…มันน่าไหม!!!) ถ้านึกไม่ออกว่าจะกินอะไรดี โรตีของที่นี่อร่อยจริงอร่อยจัง ทั้งแบบมะตะบะ หรือแบบโรยน้ำตาล คิดถึงแล้วเปรี้ยวปากขึ้นมาเลย
One thought