เคยเขียนถึงการนั่งเรือ ikea ฟรี แล้วเห็นวิวเทพีเสรีภาพ คลิกอ่านที่นี่
หลังๆ เห็นบางคน เค้านั่งเรือไปเกาะ Staten Island เพื่อดูเทพีเสรีภาพกัน วันหยุดว่างๆ วันนึงเราเลยชวนกันไปพิสูจน์บ้าง

เรือ Staten Island เค้ามีไว้บริการผู้คนที่อยู่อาศัยบนเกาะ ให้เดินทางไป-กลับจากฝั่งแมนฮัตตันได้สะดวก ที่เราทึ่งคือเรือลำใหญ่มาก จุผู้โดยสารได้ครั้งละ 1400 คน แต่ไม่เก็บค่าโดยสารเลยสักแดงเดียว ดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงล้าลามากค่ะ คนที่ไม่อยากจ่ายตังซื้อทัวร์ไปต่อคิวแสนยาวรอขึ้นเทพีเสรีภาพใต้ฐาน ก็ใช้วิธีนั่งเรือนี้กันทั้งนั้น ของฟรีแบบนี้ใครไม่ชอบให้มันรู้ไป
การจะนั่งเรือ เราต้องมาที่ท่า South Ferry (รถไฟสาย 1 จอดถึงหน้าหัวบันไดทางเข้า) ถ้ามาถึงท่าเรือแล้ว อย่าหลงกลฉลามที่คอยดักจับเราให้ไปซื้อทัวร์เข้าซะก่อนล่ะ เดินดิ่งเข้าไปรอเรือในตัวอาคารได้เลย เรือจะออกทุกครึ่งชม.ในเวลาปกติ (xx.00, xx.30) และทุก 15 นาทีในเวลาพีค และใช้เวลาเดินทางไป Staten Island ราว 15-20 นาที
ถ้าอยากเห็นวิวแบบเอาท์ดอร์ คนส่วนใหญ่กรูขึ้นไปชั้นสอง หามุมเหมาะบนระเบียงด้านนอกฝั่งขวาของเรือ ถ้าใครนั่งจะถูกคนยืนบังนะบอกเลยจุดนี้ (เช่นเราเป็นต้น) เราเลยตัดสินใจลงไปข้างล่าง นั่งด้านในเรือดีกว่า ไม่หนาวด้วย ปรากฎว่าได้วิวแบบสวยๆ ไม่มีมนุษย์บังเลยจ้าาาาา แต่อาจจะไม่ได้เซลฟี่แสนสวยเพราะแสงธรรมชาติจะน้อยกว่าแบบเอาดอร์ มีนั่นนี่บัง อันนี้ก็สุดแล้วแต่จะเลือกกันเองนะคะ
พอเรือไปถึง Staten Island แล้ว นักท่องเที่ยวที่ไม่อยากเสียเวลาเที่ยวต่อก็จะออกจากเรือ (ทุกคนต้องออกจากเรือก่อน) แล้วนกลับไปขึ้นเรืออีกด้านนึงเพื่อกลับแมนฮัตตันทันที แต่ด้วยความที่เรายังไม่เคยเข้าไปในเกาะเลย ก็เลยกะจะไปเดินเล่นกันสักหน่อยก่อนค่อยกลับ จะเขียนรายละเอียดไว้ด้านล่าง เผื่อใครสนใจนะ




บน Staten Island มีอะไร
เกาะนี้ใหญ่มากเกือบจะเท่าแมนฮัตตัน (หรือใหญ่กว่านะ?) คนเลือกมาอยู่นี่กันเพราะค่าเช่าบ้านถูกกว่า ได้บ้านใหญ่กว่า โดยเฉพาะพวกทำงานดาวน์ทาวน์ หรือวอลล์สตรีทสมัยก่อนจะสะดวกมาก เพราะท่าเรืออยู่จ่อออฟฟิศเลย แต่หลังจากเหตุการณ์ 9/11 ออฟฟิศหลายแห่งก็ย้ายไป midtown ทำให้ที่นี่เงียบๆ เหงาๆ ออฟฟิศก็กลายเป็นคอนโดไปหลายแห่งอยู่
และๆๆๆ ข่าวดีคืออนาคตอันใกล้ จะมี outlet ขนาดใหญ่แห่งใหม่มาเปิดจ่อท่าเรือฝั่ง Staten Island เลยคร่า เรียกว่าลงเรือมาแล้วช้อปได้เลย เท่ากับว่าเราไม่ต้องตะแบกตะบันไปที่ Woodbury Common เพื่อช้อปของลดราคาให้เสียค่ารถ 25 เหรียญอีกแล้ว(บางคนก็ 40 กว่านะ) ช่วงนี้เค้ากำลังสร้างอาคารกันอย่างขมีขมันนะ เราก็รออย่างใจไม่จดจ่อต่อไป เรื่องเสียตังไม่ควรรีบค่ะ
พอออกจากเฟอร์รี่ จะพบแหล่งขายของที่ระลึก ให้เดินผ่านไป (จะพูดทำไม!) จะเจอทางเข้าสถานีรถไฟเขา ใช้บัตรซับเวย์เดียวกับที่แมนฮัตตันได้เลย ***ที่สำคัญ*** ถ้าแตะออกจากตรงนี้ เราจะได้นั่งรถไฟหรือรถบัส ฟรี 2 เที่ยวจ้าาาาา เป็นโปรฯ ที่สุดยอดมากๆ เลยเกาะนี้ ทั้งเรือก็ฟรี รถก็ฟรีตั้ง 2 เที่ยว โปรโมทให้คนย้ายมาอยู่อาศัยกันสุดๆ นะ
Pizzeria เพียบ!
สิ่งแรกที่พวกเรามองหาก็คือ “อาหาร” สิคะ บูบอกว่าคนอิตาเลียนมาตั้งรกรากบนเกาะนี้เพียบ ดังนั้นร้านพิซซ่าเยอะแยะไปหมด บูตั้งใจเลือกร้านท้อปลิสต์เลย ปรากฎพอเดินไปถึงร้านปิดจ่ะ…โชคดีเดินไปไม่ถึง 10 นาทีจะเจออีกร้าน ซึ่งตลอดทางเดินจากสถานีรถไฟไปที่ต่างๆ คนแทบไม่มีให้เห็น นึกว่าเมืองร้างอะ (แต่บ้านคนเยอะมากนะ) พอเปิดเข้าไปร้านพิซซ่าทะนั้นล่ะ อ๋อ…คนมาอยู่กันตรงนี้เอง 5555 คนแน่นร้านเลย และพิซซ่าเค้าก็อร่อยมาก เป็นพิซซ่าที่ทำให้เราอยากกินแป้งเปล่าๆ ตรงขอบจนหมด มันกรอบนอกเป็นเลเยอร์บางๆ แล้วด้านในก็นุ่มๆ เบาๆ ไม่แน่นเคี้ยวยากใดๆ บอกเลยว่าแนะนำจริงๆ ชื่อร้าน Goodfella’s มี 3 สาขาในเกาะ นี่ถ้าอยู่ใกล้บ้านนะ!
ที่นี่เค้าเรียกพิซซ่าว่า “พาย” ทีเด็ดก็คือ “Clam Pie” หรือพิซซ่าหน้าหอยลาย ที่เค้าจะเอาไปปรุงให้มีรสเด็ดเฉพาะตัวก่อน แล้วค่อยเอามาโปะหน้าพิซซ่า ร้านนี้ดีตรงให้เราฮาล์ฟได้ด้วยเฟ้ย ตื่นเต้นมาก และมีขนาดให้เลือกตั้ง 3 แบบตามกำลังความหิว พวกเราเลยเลือกแบบ individual (4ชิ้น) มาแบ่งกันกิน และสลัด 1 ชามอ่าง (ใหญ่โพด)
น่าดีใจที่ระหว่างนั่งกินพิซซ่า ฝนก็เทลงมาพอดี พอกินอิ่มฝนก็หยุด พวกเราเลยได้โอกาสสำรวจเกาะกันต่อแบบไม่เปียก



เดินเล่นไปเรื่อย ที่นี่จะเป็นบ้านเรือนคนซะส่วนใหญ่ เราไม่ค่อยได้ถ่ายรูปหรอก แต่เป็นบ้านแบบจะเห็นได้ในหนังเมกัน คือไม่มีรั้ว และมีทางเดินหน้าบ้านที่แต่ละหลังจะปลูกต้นไม้ดอกไม้ ตัดแต่งอย่างดีตลอดทาง เดินเพลินๆ นะ



สักพักเรานั่งรถเมล์กลับมาที่แถวๆ ท่าเรือ เขามีที่เที่ยวคือ September 11 memorial อันเล็กๆ ตรงข้างๆ สนามของทีม State Island Yankees (เราแอบยืนส่องจากรั้วได้ด้วย ไม่ต้องซื้อตั๋วเข้าไป เพียงแค่เขามีป้ายแปะเตือนไว้ว่าระวังบอลปลิวใส่หัวล่ะ) ชิลล์สุดอะตรงนี้ มีคู่รักมานั่งสูบปุ๊นจีบกัน 2 คู่ มีลุงควงเบ็ด 3 คันมาเปิดเพลงบ็อบ มาร์เลย์ฟังระหว่างนั่งรอ เห็นวิวสกายสเครปเปอร์ของแมนฮัตตันแบบเต็มตา ฟ้ากว้างมากๆ ก็นั่งกันพักนึง (แต่ไม่สูบปุ๊นนะ)



ปิดทริปกันด้วยอาหารเย็นที่ร้าน Enoteca Maria ซึ่งๆๆ คอนเซ็ปต์เค้าน่ารักมากนะ นัยว่าเป็นร้านที่ดังประจำเกาะด้วย เพราะวันที่เราไปนี่คือ fully booked นะคะ และแต่ละโต๊ะนั่งได้แค่ 2 ชม.นะคะคุลลลลล (อะไรจะขนาดนั้ลล) คอนเซ็ปต์ที่ว่าคือตัวร้านเค้าเป็นอาหารอิตาเลียนโฮมเมดนะ จะมีพวกของบ้านๆ ให้กินเช่น Lentil Soup อะไรแบบนี้ แต่ทุกๆ วันเค้าจะมีอาหารอินเตอร์จากคุณนอนน่า (คุณยาย) ทั่วโลก เช่นวันที่เราไปจะมีคุณยายจากรัสเซีย มาทำอาหารรัสเซียให้ทานเป็นเมนูพิเศษ (บูบอกว่าเอ๋น้อยสมัครมาเป็นนอนน่าเมืองไทยสิ…เอ๊ะยังไง เค้าเอาคุณยายนะคะขุ่น!! เว้นวรรคช่วงวัยไว้สักนิดมะ?)
แต่สำหรับเรา…อาหารเค้าธรรมดานะ เพราะ…มาจานใหญ่ม๊ากกกกกก และยังจุกพิซซ่านิดๆ (แต่ไม่เสียใจเลยนะที่กินพิซซ่า ถ้าให้เลือกฉันก็จะกินพิซซ่ามากกว่า) แต่เมนูที่ไม่เคยกินมาก่อนคืออาร์ติโช้คอบ ที่เราต้องค่อยๆ ดึงใบออกมาจิกๆๆ กินตรงที่อ่อนๆ มันจนหมดหัว กว่าจะกินหมดหัวนึกดูละกันนานมะ แต่ชอบนะอร่อยดี
อาหารอื่นๆ เราเฉยๆ คงเพราะมันมาที่ใหญ่มากด้วย อะไรที่มากเกินไปมันก็ไม่งามนะ แต่คนอิตาเลียนเขาเป็นแบบนี้กันจริงๆ จากประสบการณ์ไปอิตาลีมา 2 อาทิตย์นี่ซึ้งเลย เค้าทำให้เรากินไม่หมดไว้ก่อนอะ แล้วไอเราก็พยายามตะแบกตะบันกินมันเข้าไปดิ พุงเกือบระเบิด รอบนี้จึงไม่คิดจะพยายามใดๆ ทั้งสิ้น ฉันกินเท่าที่ไหว




จบทริป นั่งเรือกลับบ้านพร้อมความพุงอืด อ้อ ลืมบอกไปว่าก่อนกินข้าวเย็น พวกเราแวะ Staten Island Museum กันด้วย ซึ่ง….ดีกว่าที่คิด! เป็นมิวเซียมเล็กๆ (เค้ามี 2 โลเคชั่น แต่เราไปที่เล็ก เพราะมันใกล้ท่าเรือมากกว่า) ที่นี่มีการจัดแสงพันธุ์นกและแมลงเยอะมาก (รวมถึงพวกไข่และรังนกน่ารักๆ) ทำให้รู้ว่าเมื่อก่อนคนพากันมาศึกษาเรื่องสัตว์และแมลงกันที่ Staten Island กันเป็นกิจจะลักษณะ (เป็นอีกเรื่องที่เพิ่งรู้จริงๆ) เราไปตอนอีก 30 นาทีมิวเซียมก็จะปิดแล้ว ลุงเลยให้เข้าดูฟรี ปกติเค้าจะเก็บ 8 เหรียญ แต่ใช้เข้าได้ 2 ที่เลยจ้ะ