เราเคยเที่ยวไทเปครั้งนึงราวปี 2010 เพราะได้แรงบันดาลใจจากรายการของลุง Antonie Bourdain
เลยไปตะลุยกิน Night Market ที่ไทเปกันจนพุงปริ กลับมาก็ตั้งใจจะเขียนบล็อกเรื่องอาหาร
เพราะเป็นการกินแบบ “เชี่ยวชื้อ” หรือของกินเล่นที่ไทเป เป็นประสบการณ์ที่สนุกสนานปนอร่อย
แต่อนิจจา…กลับมาก็ไม่ได้เขียน สิ่งเดียวที่เขียนถึงคือที่พักตอนนั้นซึ่งเป็น Hostel ราคาประหยัด
(ราว 2 พันกว่าบาท) ชื่อ NTU Hostel ซึ่งมีข้อเสียอย่างนึงคือหายาก และติดถนน ได้ยินเสียงรถตลอด
คืนแรกนอนหลับๆ ตื่นๆ เพราะไม่ชิน
สำหรับทริปนี้ เราพักกันที่ budget hotel ชื่อ Just Sleep ซึ่งเชียร์ให้ไปกันมากกว่า เพราะดีพร้อม+ประหยัด
คลิกชื่อโรงแรมเพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลยก่ะ
ส่วนเหตุจูงใจของเราในการไปไต้หวัน ก็คือหลังจากย้ายมาฮ่องกงแล้ว
พบว่าไต้หวันคือประเทศที่อยู่ใกล้ที่สุดและน่าเที่ยว (ตั๋วถูก / เดินทางไม่ถึง 2 ชม.)
แต่เผื่อใครอยากรู้ว่า ไต้หวันมีอะไร และทำไมต้องมาเที่ยวไต้หวัน
เราเลยขออนุญาตสาวๆ เอา comments จาก FB: adaytripdiary มาเขียนสรุปไว้ดังนี้
เหตุผลที่ทำให้คนอยากเที่ยวไต้หวัน
/ มีศิลปะแบบจีนสวยงาม
/ มีสิ่งเก่าปะปนกับความทันสมัย
/ หมู่บ้านแมว (ออกนอกเมืองไปนิดเดียว)
/ ร้านน่ารักมุ้งมิ้งแยะ (เห็นด้วย แถมอยู่กันเป็นย่านๆ เดินสนุก ไม่ใช่อยู่แต่ในห้างฯ)
/ อาหารอร่อย ช็อปปิงสนุก (อาหารอร่อยจริง แต่ช็อปปิงยังไม่ได้สัมผัส)
/ กินน้ำเต้าหู้ – ชานมไข่มุก (เห็นด้วย ร้านชานมแยะมาก และถูกมาก!)
/ กินเต้าหู้เหม็น (หม้ายยยยย!)
/ มีธรรมชาติ และเส้นทางเดินป่าแยะ (จริง)
/ มีหมู่บ้านที่เป็นต้นกำเนิดของบางฉากในหนัง Spirited Away
/ อยากไปตามหาซันช่าย, Jinny Liao (ดาราจากผญ.เลี้ยวซ้าย ผช.เลี้ยวขวา
/ ผู้หญิงไต้หวันขาสวย (หน้าตาอีกเรื่อง)
/ หมู่บ้านจิ่วเฟิ่น สวยงาม
/ คนวาดภาพประกอบสวยๆ แยะ
/ เพราะไม่เคยไป
ส่วนตัวเราพอไปถึงไทเปจริงๆ แล้ว ให้รู้สึกเหมือนอยู่ เวียดนาม (เพราะมอไซค์แยะมากกกกก)
+ ญี่ปุ่น (ไต้หวันถูกญี่ปุ่นยึดอยู่ราว 50 ปีได้ ตึกรามบ้านช่อง และวัฒนธรรมบางอย่างเลยคล้ายกันมาก)
+ จีน (เพราะคนอพยพมาจากจีน และพูดจีนกลาง) ที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าคนจีนแผ่นดินใหญ่แยะมากกกกกกก
ทริปนี้เป็นครั้งแรกของอะไรหลายอย่าง (อ๊างงง…ไม่ใช่ละ!)
หนึ่งคือเป็นครั้งแรกที่ใช้บริการ expedia ในการจองตั๋ว + โรงแรม จากคำแนะนำของพี่แอน แล้วก็รู้สึกว่าถูกดีจัง
** NOTE **
ตอนหลังใช้ expedia จองตั๋วเครื่องบินอย่างเดียว…ปรากฏว่าพอจะเปลี่ยนไฟล์ท
วันเดิม เวลาใหม่…expedia คิดค่าบริการเปลี่ยนด้วย ทั้งที่ถ้าจองกับสายการบินเขาจะไม่คิดเรา
ดังนั้น…ถ้าจะจองตั๋วเครื่องบินอย่างเดียว และเช็คแล้วว่าราคา expedia กับเว็บสายการบินราคาเท่ากัน
ให้เลือกจองตรงกับสายการบินนะคะ พอเปลี่ยนใจจะได้ไม่ต้องมาเสียค่าธรรมเนียมอีก)
และสองคือ เป็นครั้งแรกที่นั่ง Eva Air (ลุ้นอยากนั่งเครื่องคิตตี้…แต่อด : (
แอร์ทำงานมีประสิทธิภาพมาก เพราะไฟล์ทไม่ถึง 2 ชม. (จากฮ่องกง – ไทเป)
พวกสาวๆ เข็นรถแจกอาหารกันด้วยความไวแสง และเก็บถาดภายในพริบตา
ประกอบกับบนเครื่องไม่มีชาวเอเลี่ยนในคราบคนจีนแผ่นดินใหญ่ มาเอะอุวุ่นวายให้ปวดหัวเลย
เลยเป็นการเดินทางที่ชิลล์มาก



ซื้อซิมมือถือในไทเป
ให้ซื้อที่สนามบินเลย สะดวกมาก!
ออกจากเกตมา ให้มองหาป้ายที่มีคำว่า Telecommunications … อะไรสักอย่าง
จำได้ว่าออกมาแล้วเลี้ยวซ้าย แล้วก็ซ้ายอีกที จะเห็นแผงบริษัทมือถือเรียงกันเป็นตับ
พร้อมกับนักท่องเที่ยวจำนวนพอสมควร ต่อคิวกันซื้อ
ซิมแบบ Pre-paid ที่ไต้หวันถูกนะ คือ unlimited internet นี่ตกวันละแค่ราว 100 บาท!
เขาจะมีแพ็คเกจ 3-5-7-10 วันอะไรว่าไป เราก็เลือกเอาตามระยะเวลาที่ไป
ระหว่างต่อแถวพนักงานจะมาขอพาสปอร์ตไปซีรอกซ์ พอไปถึงหน้าเคาน์เตอร์
พนักงานก็จะปฎิบัติหน้าที่อย่างว่องไว ไถเอกสารมาให้เซ็น ขอมือถือเราไปเปลี่ยนซิมให้
ไม่พอยังเอาซิมเก่าเราแปะไว้บนซองซิมใหม่อย่างว่องไวราวลิงกัง สุดจ้อด!!!
สรุปว่าต่อแถว 5-10 นาที อยู่หน้าเคาน์เตอร์ราว 5 นาที ไม่เกินนี้ก็เสร็จเรียบร้อย


ตั๋วรถบัสเข้าเมืองไป Taipei Main Station
ก็ให้ดูป้ายอีกเช่นเคย เดินไม่ไกลจากตรงที่ซื้อซิมมือถือ
ตรงดิ่งสู่เคาน์เตอร์หมายเลข 4 เพื่อซื้อตั๋วรถสาย 1961
จากนั้นเดินออกจากตัวอาคารไปยืนรอที่ป้ายตามสายรถได้เลย
สิริรวมตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากเครื่อง + รับกระเป๋าที่เบลต์ + ซื้อซิม + ซื้อตั๋ว จนถึงตอนนั่งรถบัน
ใช้เวลาไปทั้งหมดไม่ถึง 50 นาที…สุดยอดมาก
รถบัสใช้เวลาราว 1.15 ชม. ก็ถึงสถานี Taipei Main Station (แล้วแต่สภาพการจราจร)
ก่อนหน้านี้เคยสงสัยว่าทำไมเราไม่นั่ง express train จากสนามบินไปสถานี Taipei main station ล่ะ
คุณบูก็ให้คำตอบง่ายๆ ว่า “มันเหมือน airport express ไทยอ่ะ”
เป็นคำตอบที่ทำให้เก็ตสะเด๊ะ ณ จุดนั้น ไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมเลยจริงๆ


ซื้อตั๋ว Easy Card
เป็นตั๋วที่ควรค่าแก่การซื้อเก็บไว้คนละใบ จะคืนตอนกลับก็ได้รับเงินที่เหลือในบัตรคืน (ยกเว้นค่ามัดจำหลักสิบบาท)
ตั๋วนี้ใช้ขึ้นรถไฟใต้ดิน รถเมล์ รถเมล์เล็ก และจ่ายของตาม 7-eleven ได้ด้วย
นอกจากในไทเปแล้ว ยังเอาไปใช้เมืองอื่นได้เช่นกัน (คุยกับคนที่อยู่ Taichung เค้าบอกว่าได้)
การจะซื้อ Easy Card ต้องซื้อที่ตู้จำหน่ายเท่านั้น
ตรงเคาน์เตอร์เขาไม่ขาย (แต่ดันรับเติมเงิน?? มันอัลไลT^T)
แต่มันก็ไม่ได้ซื้อยากเย็นอะไรนะ instruction การซื้อตั๋วชัดเจน เพียงแค่เราขี้เกียจวุ่นวายเรื่องเงินทอน
ระหว่างคุณบูกดซื้อตั๋ว เราก็ไปสแตมป์เล่นตรงใกล้ๆ เคาน์เตอร์
มาไทเปมันสนุกตรงได้อารมณ์ญี่ปุ่น และมีสแตมป์วางตรงนั้นตรงนี้ให้เราไปหยิบมาแปะสมุดฟรีๆ นี่แหละ


Farmers’ Market
Yuanshan Station exit 1
จริงๆ แล้วจุดหมายแรกของเราคือ Maji Square ซึ่งตั้งใจจะไปกินเบเกิลร้าน Good Cho
และเดินดูของน่ารักงุ้งงิ้งในนั้น ซึ่งเขาว่ากันว่า วันอาทิตย์จะเป็นวันที่ร้านรวงเปิดแยะที่สุด
แต่ๆๆๆ เราโชคดีมากกกกก ที่ไปตรงวันเค้าจัดงานฟาร์มเมอร์ส มาร์เก็ต ตรงลานหน้า Taipei Expo Park พอดี
(Maji Square อยู่หลัง Taipei Expo Park)
งานแบบนี้ไม่ว่าจะจัดที่ไหนในโลกก็สนุกเนาะ! และไต้หวันเอง ก็เป็นประเทศที่เน้นเกษตรกรรมเป็นรอง
จากการเป็นแหล่งผลิตไอซี และชิพต่างๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในมือถือของพวกเราทุกคนนั่นแล
ดังนั้นเขาจึงมีผลิตผลพวกผักผลไม้ในประเทศแยะ ไม่พอยังส่งออกไปยังประเทศต่างๆ
โดยเฉพาะ ชา ที่ขึ้นชื่อมากๆ ดังนั้นในฟาร์มเมอร์สมาร์เก็ตนี้ เลยมีชาให้เลือกหลากแบบ หลายสไตล์สุดๆ
จะว่าไปงานก็คล้าย OTOP ที่อิมแพ็คบ้านเรานะ (แต่ขนาดเล็กกว่า)
คือมีผักหญ้า ผลไม้สดจำหน่าย ปะปนกับอาหารปรุงสุก เช่น Taipei Sausage, ข้าวโพดต้ม
มันต้ม น้ำอ้อยสด ผลไม้ปอกสำเร็จ ฯลฯ คือถ้าหิวๆ แวะมาที่นี่รับรองอิ่มได้สบายๆ
ไม่พอมุมนึงยังมีเวทีสร้างความบันเทิง มีคุณลุงมาเป่าแซกเป็นเพลงธีมโดเรมอน มีการประกวด ฯลฯ
สรุปความได้คร่าวๆ ว่า…พวกเราสนุกกับไทเปตั้งแต่ stop แรกที่มาเลยก็ว่าได้
เราพยายามซื้อทุกสิ่งที่กินได้ โดยไม่ต้องหอบหิ้วอะไรมากมาย เพราะวันนี้ยังอีกยาว (สงสารไหล่ + กลัวเน่า)
สิ่งที่กินเข้าไปคือ ลูกชิ้น, Taipei sausage, น้ำอ้อย สาลี่ฉ่ำหวาน ข้าวโพดต้ม มะเขือเทศ และลูกชิ้น
จริงๆแล้ววิญญาณแม่บ้านอินเนอร์สั่งให้ซื้อ “มะเขือเทศเชอร์รี่” ไปสัก 2 กล่อง เพราะ “หวานอร่อยมาก”!!
ที่ฮ่องกงขายกล่องเล็กๆ = 200 บาท! มาที่นี่ขายกันหลักสิบบาท ได้กล่องบะเลิ่มเทิ่ม!
และรู้สึกช่วงนี้จะเป็นหน้ามันด้วย เพราะคนขายกันแยะเลย แต่บูบอกเรายังไม่กลับบ้านนะลูก อดใจไว้
ฮืออออ T^T











Maji Square
MTR เดียวกับ Farmers’ Market
http://www.majisquare.com
อารมณ์ที่นี่คล้าย Community Mall บ้านเรา ที่แต่งและวางผังได้เก๋ ทำให้บรรยากาศน่าเดิน
มี Food Court ขายอาหารไต้หวันหลายสิบร้าน
(มีร้านขาย โฉ่โตฟู ด้วย! เป็นร้านที่ทำลายบรรยากาศการเดินสุดๆ เพราะกลิ่นมันอวลไปทั่วบริเวณเลยอ่า T^T)
นอกจากนั้นยังมีร้านขายของ Zakka มุ้งมิ้ง ร้านขาย+ซ่อมแซกโซโฟน ร้านที่เจาะจงสำหรับจัดปาร์ตี้ให้เด็ก ร้านชา คาเฟ่
ร้านขายของจิปาถุ ร้านอาหารเป็นกิจจะลักษณะ ม้าหมุนสำหรับเด็กๆ และล็อก (แผงลอย) ที่มีร้านเท่ๆ มาเปิดหลายร้าน
เดินสนุก ไม่น่าเบื่อ และอาจได้ของติดมือกลับบ้านด้วย … อันนี้ก็น่าแปลก คือเราไม่ได้อะไรเลย
สงสัยกำลังตื่นเต้นกับมะเขือเทศมากเกินไปแน่ๆ เลยไม่สนของมุ้งมิ้ง
ภายในบริเวณนี้มี Maji Food & Deli ซึ่งเขาว่ากันว่าเป็น Dean&Deluca ของไต้หวันเชียนะ!
ในร้านนอกจากจะมีอาหารพวก สลัด แซนวิช บริการแล้ว ยังมีขายพวกของแห้ง ของฝาก ของ OTOP และของดีไต้หวัน
ที่ถูกจับแต่งตัวเสียไฮโซววว ทำให้ราคาของมันแพงขึ้นกว่าสินค้า OTOP ทั่วไป (บอกแล้วไงว่าคล้าย Dean&Deluca)
ตอนแรกพวกเราอยากซื้อซีอิ๊วพรีเมี่ยมเมดอินไต้หวันกลับบ้าน (ผีแม่บ้านยังสิงไม่เลิก)
เพราะซีอิ๊วต่างถิ่น มันก็มีกลิ่นมีรสที่ต่างกันออกไปตามวัตถุดิบใช่ม้า เอามาทำกับข้าวสนุกดี
แต่…มันหนักอ่ะ สงสารบู กลัวไหล่บูหัก เลยคิดว่าถ้าชะตาลิขิต เราอาจได้กลับมาซื้อตอนวันกลับ
หรือไม่ก็แวะซูเปอร์ฯที่อื่นหาซื้อเอา


















Good Cho’s Bagel
ร้านเป็นส่วนหนึ่งของ Maji Square
หาเว็บของร้านไม่เจอ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อ่านจากของ Tripadvisor จะดีกว่า เพราะเป็นภาษาอังกฤษ
ก่อนเที่ยวไทเป เราค้นหาสิ่งที่น่าสนใจในเมืองจากบล็อกของคนนั้นคนนี้
(ส่วนใหญ่เป็น expat ในไทเป หรือไม่ก็คนไต้หวันที่ชอบเขียนบล็อกเป็นภาษาปะกิต)
พบว่า ณ นาทีนี้ ส่วนใหญ่จะพูดถึงร้าน good Cho’s Bagel ว่าอร่อยงั้นงี้
ดังนั้น Foodie อย่างเรา(และคุณบู) และโดนหยามเกียรติและศักดิ์ศรีไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อเห็นเป้าหมาย เราก็พุ่งเข้าชนอย่างไม่ยำเกรง แม้คิวจะมีพอประมาณ แต่โดยรวมแล้วขยับตัวเร็วมาก
(ร้านสาขา Maji Square ไม่มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งทานที่ร้าน)
วิธีซื้อเหมือนร้านขนมปังทั่วไป คือเข้าร้านให้หยิบถาดและไม้คีบมาถือ
เดินผ่านแผงเบเกิลก็ให้เลือกรสที่ต้องการ แล้วหยิบใส่ถาดไปจ่ายเงินตรงแคชเชียร์
แต่ปัญหาคือ…ที่นี่มีเบเกิลแยะรสมาก! มากจนเข้าขั้นละลานตา ไม่รู้จะเลือกอะไรดี
เช่นรสโยเกิร์ต / ชาอูหลงไต้หวัน ฯลฯ เป็นคอมโบที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ใจอยากซื้อสัก 5 ชิ้น แต่คุณบูสิ ทำหน้าขึงขัง “หยุดๆๆ เอ๋น้อย เดี๋ยวกินไม่หมด!”
ชิ…สุดท้ายก็ดื้อรั้นหยิบมาได้แค่ 3 ชิ้น (เผือกกับไข่แดงเค็ม /
เมล็ดฟักทองกับอะไรสักอย่าง / น้ำตาลทรายแดงกับลำไยแห้งและเมล็ดฟักทอง)
ซึ่งไม่อยากจะฟ้องคนอ่านหรอกนะ ว่าสุดท้ายก็ได้ไอ่เบเกิลนี้นี่แหละ
ที่ช่วยประทังชีวิตระหว่างการเดินเขาที่หยังหมิงซันวันรุ่งขึ้น (โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป)
ถ้ารู้ว่าจะต้องไปอดอยากปากแห้ง ฉันจะดึงดันซื้อมัน 5 ชิ้นจริงๆ ด้วย
(แต่อาลาห์…นี่แหละถึงเรียกว่าชีวิต เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต)
จ่ายตังเสร็จ ก็อยากจะกินเลยสักชิ้นตามประสาคนตะกละ เกือบจะอ้าปากขอให้เขาอุ่นเบเกิลให้ละ
ปรากฏว่า…โชคดีค่ะ ที่ไม่ปล่อยไก่ทั้งเล้า เพราะกวาดตาไปเห็นมุมนึงที่มีเตาติ๊งเล็กๆ ตั้งอยู่
(เล็กเท่าเบเกิล 1 ชิ้นพอดีเลยอ่ะ! ทำไมเตามันคิวท์แบบนี้!)
มันคือมุมบริการอุ่นเบเกิลด้วยตัวเอง เธออยากได้เกรียมมากเกรียมน้อย ก็จัดไปให้เต็มที่
ส่วนรสชาติ? เราว่าเนื้อแป้งมันคือเบเกิลที่ดีตามมาตรฐานสากลทั่วไป
เพียงแค่มันเป็น “เบเกิลที่มีไส้” ไม่ใช่เบเกิลที่เอามาตัดครึ่งตามขวาง แล้วกินกับครีมชีส
หรือจับแฮมและชีส / แซลมอน ยัดตรงกลางแบบเบสิกๆ ทั่วไป
ดังนั้นเลยทำให้เรารู้สึกสนุกในการกิน
แถมเค้าเลือกคอมโบได้สนุก และเน้น local produce เลยยิ่งมีเอกลักษณ์เข้าไปอีก
(ภายหลังพบว่า ร้านอื่นๆ เริ่มทำเบเกิลมีไส้ตาม เช่น Ten Ren Tea)
ข้อดีคือ เบเกิลเป็นสิ่งที่เก็บได้นานโดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น และหากจำเป็นก็กินได้โดยไม่ต้องอุ่น
ดังนั้นถ้าใครลังเลว่าควรจะซื้อกลับบ้านไปฝากคนที่เรารักหรือไม่ “ก็ซื้อไปเถอะค่ะ!”
มันเก็บได้หลายวันอยู่นะ จะกินก็เอามาอุ่นในเตาติ๊ง ให้ด้านนอกกรอบๆ ด้านในนุ่มๆ อุ่นๆ






3 thoughts