บันทึกเที่ยวญี่ปุนต้นเดือนตุลาคม รวม 12 วัน 6 เมือง
(พักค้างคืน 4 เมือง อีก 2 เมืองใช้วิธีไปเช้าบ่ายกลับ)
เที่ยวโกเบ อาริม่า ฮิโรชิม่า มัตสึยาม่า โอคายาม่า และโอซาก้า
โกเบตอน 1: Piena Hotel / Herb Gardesn / เนื้อโกเบร้าน Misono)
โกเบตอน 2: คลิกที่นี่
(เที่ยวหมู่บ้านฝรั่ง Ijinkan Kitano / ท่าเรือ / Mosaic / อันปังแมนมิวเซียม / หุ่น Tetsujin 28)
Piena Hotel Kobe
ที่พักโกเบ เราเลือกโรงแรม Piena Hotel จากเว็บ Agoda อยู่ใกล้สถานี Shin-Kobe
เดินราว 5-10 นาที ชอบที่ห้องใหญ่ ห้องอาบน้ำใหญ่
ด้านล่างมีแผนที่โกเบแยกเป็นย่านๆ ทำเป็นรูปการ์ตูน และโบรชัวร์แหล่งท่องเที่ยวให้หยิบเพียบ
แนะนำให้จองแบบมีอาหารเช้าซึ่งเป็นแบบบุฟเฟต์ญี่ปุ่น กินสนุกไม่เบื่อ
มีอาหารให้เลือกเยอะมาก เราหยิบจานหลุมมาคีบผัก เนื้อใส่จาน ตักซุปใส่ชามเล็กๆ
กินกับข้าวญี่ปุ่นหอมๆ หรือจะตักน้ำซุปใส่ข้าวตามด้วยสาหร่ายและข้าวพอง
ก็จะกลายเป็นโอชาสึเกะอุ่นอร่อยตอนเช้า (โปรดพิจารณาคุณบูที่เคลิ้มมาก)
หมูสามชั้นตุ๋นเค้าอร่อยสุดๆ มีจานไม้รูปรถ รูปช้างสำหรับเด็กด้วย
ที่โรงแรมเค้าทำแยมโฮมเมดบรรจุขวดแก้วขาย ตอนเช้าที่ไลน์บุฟเฟต์มีให้ชิมทุกรสเลย
ดังนั้นถ้าชอบรสไหนจะซื้อกลับไปเป็นของฝากก็เข้าท่า เพราะมีขายที่ รร.ในเครือเท่านั้น
เราเองก็ได้แยมฟิก (fig) กลับมา รสหวานนิดหอมหน่อย
แถมไม่ค่อยเห็นที่ไหนในเอเชียทำแยมผลไม้ชนิดนี้ แต่ที่คนชอบคือรสนมติดกลิ่นคาราเมล ซึ่งเราไม่ชอบเท่าไร
ใกล้เคียงโรงแรม
มี Lawson และร้านโอโคโนมิยากิเล็กๆ ของคุณป้าคนนึงซึ่งเราแวะกินวันกลับ
มีโอโคโนฯ หน้าแปลกๆ เช่นแฮมเบิร์กและชีสเป็นแผ่นๆ ให้สั่งด้วย
คุณป้าน่ารักมาก ค่อยบรรจงทำทีละแผ่น และตอนท้ายมีแถมกล้วยทอดเนย
กับขนมงาคลุกนมข้นหวานให้พวกเรากินฟรี บอกว่าเป็นของขวัญ
เราเลยแบ่งลูกพลับที่ซื้อจากข้างทางใส่ถุงให้คุณป้าเป็นการตอบแทน
เพราะคนญี่ปุ่นไม่รับทิป

ตั๋วรถบัส จากสนามบินคันไซ – โกเบ คนละ 1450 เยน/เที่ยว ใช้เวลาชั่วโมงเศษ ชอบตัวรถมาก ‘Salad Express’ ซูเปอร์คิวท์!!





Herb Gardens (ค่ากระเช้าเที่ยวละ 900 เยน / สถานี Shin Kobe)
สำหรับคนที่ชอบไปสวนดอกไม้ นั่งจิบเครื่องดื่มในคาเฟ่กลางแจ้ง
โอบล้อมด้วยสีเขียวของป่าและภูเขา หรือในโดมกระจกมองวิวโกเบจากมุมสูงล่ะก็
หากมาเที่ยวโกเบแล้วแนะนำให้ไปเป็นอย่างยิ่ง
คนส่วนใหญ่จะเลือกนั่งกระเช้าจากด้านล่างขึ้นไปสถานีบนสุด
แล้วค่อยเดินไล่ชมวิวลงเขามาเรื่อยๆ จนถึงสถานีกลาง (มีทั้งหมด 3 สถานี)
จากนั้นจะนั่งกระเช้าลงมาด้านล่าง เราเห็นคนญป. เดินขึ้นโดยไม่อาศัยกระเช้า
เลยตัดสินใจกันว่าจะเดินลงจนถึงด้านล่างสุดโดยไม่นั่งกระเช้าบ้าง (ใจไม่ถึงพอจะเดินขึ้น)
เพราะเส้นทางเดินเขาผ่านน้ำตกและอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กด้วย ต้นไม้ก็ทึบ อากาศก็เย็นสบายดี
คาเฟ่ที่นี่มีหลายจุด หลายแห่งให้เลือกนั่งตามความชอบ
บางแห่งก็ตั้งกลางแจ้งห้อมล้อมด้วยแปลงดอกไม้สีสวย บางแห่งมีอาคารสไตล์ทิวดอร์เป็นฉากหลัง
บางแห่งจัดให้เรานั่งในโดมอุ่นๆ ริมหน้าผา เราแวะตรงไหนก็อยากนั่งมันไปซะหมด
ที่ร้านค้าของสวนมีขายเมล็ดพันธุ์ต้นไม้ ดอกไม้ ที่บางอย่างไม่เคยเห็นจากไหน
มีขายน้ำผึ้ง กล้าไม้และพืชสวนครัวด้วย ส่วนตัวชอบดูแปลงผักสวนครัว
ที่ทำให้เห็นต้นพืชหลายอย่างที่ไม่เคยเห็น มีคำอธิบายเป็นภาษาญป กำกับ
ว่าเอาไปทำอาหารอะไรได้บ้าง เดินไปกลิ่นโรสแมรี่หอมฟุ้งไปทั่ว
จุดนึงที่ชอบมาก คือมีศาลาเล็กๆ ให้เราแช่เท้าในน้ำอุ่นผสมสมุนไพรที่เก็บมาจากสวนนี้ได้ฟรี
แค่จ่ายค่าผ้าเช็ดเท้า 100 เยนเท่านั้น (ผืนใหม่)
ระหว่างแช่สามารถมองวิวโกเบจากมุมสูงได้สบายๆ ตอนเราไปไม่มีใครแช่ร่วมเลย
แฮปปี้สุดๆ ใครว่าของดีและ(เกือบ)ฟรีไม่มีในโลก
การเดินลงเขาไปจนถึงข้างล่างไม่ยากเย็นอย่างที่คิด
เส้นทางเดินง่ายลัดเลาะเรื่อยลงไปจนถึงหุบเขา มีน้ำตก มีอ่างเก็บน้ำ ต้นไม้สูง
อากาศสดชื่น แน่ใจว่าถ้าเป็นฤดูใบไม้ร่วงทั้งป่าจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสวยน่าดูชม
ใช้เวลาไม่เกิน 20 นาทีก็ถึงแล้ว แป๊บเดียวเอง
ระหว่างทางเดินสวนคุณลุงคุณป้านักเดินเขาหลายคณะ
พอลงด้านล่างถึงรู้ว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางเดินป่าหลักในโกเบ
ที่สามารถต่อยอดไปยังเขาลูกอื่นได้ด้วย ว้าววๆๆๆ


















เนื้อโกเบ ร้าน Misono
มาถึงโกเบ ก็ต้องกินเนื้อโกเบ ดังนั้นร้านที่ขายเนื้อประเภทเทปันยากิ
จึงมีแทบทุกหัวมุมถนน (เชฟจะมาผัดเนื้อบนกะทะใหญ่ต่อหน้าเรา)
แต่บางร้านขายเนื้อวัวที่อาจจะไม่ใช่โกเบ (แต่มีคุณภาพระดับเดียวกัน)
อันว่าเนื้อโกเบจริงๆ คือต้องเป็นพันธุ์ที่เลี้ยงดูในโกเบเท่านั้น ราคาของมันเลยไม่ค่อยถูก
แม้จะมากินถึงแหล่ง แต่เราจะได้กินเนื้อที่ไม่ผ่านการแช่แข็งและสดกว่าเท่านั้น
เราเลือกร้าน ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นร้านแรกที่ทำเนื้อแบบเทปันยากิ
เซ็ตกลางวันเริ่มราวๆ 5000 เยน และไล่ขึ้นไปตามคุณภาพ
ดีสุดคือเนื้อโกเบเกรด A4-5 ราคา 13,000 เยน รองลงมาคือ Serloin เกรดเดียวกัน
จึงมีระดับไขมันแทรกในเนื้อที่ใกล้เคียงกับโกเบมาก สั่งเสร็จก็นั่งดูเชฟเริ่มผัดผัก
พอสุกได้ที่จะตักมาวางไว้บนกะทะหน้าเรา เพื่อให้ผักอุ่นตลอดการกิน
จากนั้นจึงลงมือผัดเนื้อ สำหรับเนื้อที่มันแยะอย่างโกเบ
เขาจะตัดส่วนมันแยกต่างหาก พอผัดเนื้อเสร็จจึงค่อยเอามันมาตัดเป็นชิ้นเล็ก
แล้วผัดจนกรอบเกรียมให้เรากินเล่น แบ่งส่วนหนึ่งไปผัดกับถั่วงอกให้หอมยิ่งขึ้น
ความสนุกของการกินแบบนี้คือได้นั่งดูเชฟผัดและหั่นไปเรื่อยๆ
มันเป็นเหมือนศิลปะแขนงหนึ่งเลยนะ ทั้งลักษณะการลงมีด
การค่อยๆ พิจารณากระเทียมทีละแผ่นจนกรอบเท่าเทียมกัน ฯลฯ
สรุปว่าเนื้อโกเบร้านนี้นุ่มแทบละลาย แต่กินมากไปจะเลี่ยนเอาได้ง่ายๆ
จำได้ว่าออกจากร้านเราแทบไม่อยากมองโปสเตอร์เนื้อที่แปะตามร้านอาหารไปตลอดวัน
ดังนั้นถ้ามา 2 คนเราว่าสั่งโกเบแค่เซ็ตเดียว อีกเซ็ตนึงสั่งเนื้อธรรมดา
จะช่วยลดระดับความเลี่ยนลงได้มาก ปล.ทางร้านมีชาชงแก่ๆ สำหรับจิบระหว่างกินเนื้อให้ด้วย
สังเกตว่าคนเกาหลีมากินร้านนี้แยะ คิดว่าน่าจะติดลิสติ้งของประเทศนั้น
แต่รวมทั้งร้านแล้วมีคนประมาณ 8 คนในแต่ละช่วงเวลา
คิดว่าบ้านเราน่าจะชอบไปร้าน Steak Land กัน (อยู่ใกล้ๆ กันนั่นเอง)
4 thoughts