
ตั้งแฮชแท็กทริปนี้ว่า #นั่งรถไฟไปกินวาฟเฟิล แต่พอไปถึงจริงๆ แล้วอยากจะเปลี่ยนเป็น #นั่งรถไฟไปกินหอยแมงภู่ มากกว่า เพราะรวมๆ แล้วน่าจะกินหอยไปน่านทะเลนึง มันเป็นเมนูที่ “ต้องกิน” เมื่อมาเบลเยี่ยมเนาะ แล้วก็ดันอร่อยมาก เลยสั่งแล้วสั่งอีกอยู่นั่น
ครั้งนี้เริ่มต้นบรัสเซลส์ทริปด้วยความงดงาม จัดของเรียบร้อยก่อนวันเดินทาง กระเป๋าแพ็คแค่ 1 ใบ ไม่เอาคริบไป เมลขอคริบกับทางโรงแรมไว้แล้ว สบายๆ ไม่พะรุงพะรัง เรียกรถมารับตรงตามเวลา ออกบ้านแบบสวยๆ
ทว่า…หมีอ้วกตั้งแต่ยังไม่ถึงสถานีรถไฟ เพราะกินนมเสร็จก็ขึ้นรถเลย ประกอบกับคนขับซิ่งมากเนื่องจากกำลังจะไม่ทันรถไฟ หมีจึงเมารถและร้องงอแงสามหนก่อนอ้วกออกมาชุดใหญ่ ต้องแก้เสื้ออะไรกันตรงนั้น กลิ่นอ้วกระอุมาก ถึงกับต้องทิ้งคาร์ดิแกนเห็ดน้อยที่เพิ่งใส่ไม่กี่ครั้งไปเพราะสุดปัญญาจะเก็บไว้ให้เป็นภาระ ถุงพลาสติกที่มีเอาไปใส่ผ้าเช็ดอ้วกแล้ว
คือตอนแรกมี้เห็นอาการแล้วเดาว่าจะอ้วกแต่หยิบถุงอ้วกไม่ทันจ่ะ มันเร็วราวเสี้ยววินาทีจริงๆ นัดหน้าคงต้องผูกบิ๊บซิลิโคนติดคอหมีทันทีที่ขึ้นรถละ อย่างน้อยอ้วกมาก็ลงไปกองที่ pouch ทำความสะอาดง่ายกว่าการไหลนองบนอกเสื้อสามชั้นที่นางใส่อยู่มากมาย
เดชะบุญที่เรานั่งรถไฟ ทำให้สามารถหย่อนยานย้วยได้มาก ไปถึงก่อนรถไฟออกแค่ 30 นาที รวมเวลาตรวจพาสปอร์ต เช็คกระเป๋าอะไรด้วยแล้วนะ! อิพ่อนั้นเกือบสติแตกตั้งแต่เท้ายังไม่แตะสถานี ขณะที่อิแม่กอดลูกที่ยังเมารถอยู่แนบอก แล้วก็พยายามปลงว่าถ้าตกรถไฟ ก็แค่ซื้อตั๋วใหม่ อย่าทำให้ครอบครัวเครียดไปมากกว่านี้เลย ลูกก็ยังเมารถอยู่
แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี…
เพราะพอลงรถ หมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นชัด พูดจาจ้อ แต่ไม่ยอมใส่โค้ต (เพราะมีกลิ่นอ้วก) เราวิ่งไปขึ้นรถไฟกันทันก่อนมันออกตั้งเกือบ 5 นาทีแน่ะ แหม…ชีวิตจะเอาอะไรมากกว่านี้อีก
ขึ้นรถไฟได้บูรีบเอาเสื้อหมีและตัวเอง(ที่เผลอโดนลูกหลง) ไปซักที่ห้องน้ำ เพราะกลัวผู้โดยสารจะเมากลิ่นอ้วกตาม
โชคดีคนไม่เต็ม บูเลยกระดอนไปนั่งที่อื่นได้ พอรถไฟออกมีการเสิร์ฟขนมปังกาแฟ โยเกิร์ตให้กินรองท้อง ด้วยความที่ไม่ได้ซื้อที่นั่งให้เจ้าหมี (เด็กนั่งยูโรสตาร์ฟรีถึง 4 ขวบ) พอเค้ามาเสิร์ฟอาหารมี้กะด๊า แต่ไม่มีของหมี เจ้าหมีบอกเสียงเศร้า “ของมีน่าไม่มา”
โถ….
อันที่จริงพนักงานเค้าเสิร์ฟครัวซองต์กับโยเกิร์ตเผื่อหมีไว้ในถาดของมามี้แล้วค่ะ เจ้าหมีนี่ดราม่าจริง กิจกรรมบนรถไฟของเจ้าหมีหลักๆ คือกิน อ่านหนังสือ แปะสติกเกอร์ คุ้ยกระเป๋าของจุกจิก(ที่เตรียมไว้ให้คุ้ยอะแหละ) ดูทุ่งหญ้าอะไรไป
ขึ้นรถไฟเก้าโมง ถึงบรัสเซลเที่ยง ใช้เวลาเดินทาง 2 ขม. เวลาต่างกันชม.นึง
เทคนิคของพ่อแม่ที่เดินทางกับลูกเล็ก
ส่วนใหญ่ก็คงไม่พ้นต้องเตรียมขนมเยอะๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราที่ยังไม่ได้นำเสนอยูทูปให้ลูกดู (และคงยื้อไปให้นานเท่าที่จะทำได้) ให้ขนมเยอะไปก็ไม่ดี แต่ไม่มีก็อาจเกิดการโวยวาย เราเลยเลือกขนมที่เน้นวัตถุดิบธรรมชาติเป็นหลัก พวกผลไม้อบแห้งที่น้ำตาลน้อยอย่างแอปเปิลหรือมะม่วง ขนมเด็กโดยเฉพาะที่เขียนชัดเจนว่าไม่ใส่น้ำตาลหรือแต่งกลิ่นเพิ่มเติม พวกผลไม้สดก็เตรียมไปเช่นกัน เอาแบบกินแล้วไม่เละเทะและพกติดตัวง่ายอยู่ได้หลายวันเช่นบลูเบอร์รี่ แอปเปิลทั้งลูก (จะได้ใช้เวลากินนานๆๆๆๆๆ) ส้มหรือกล้วยเป็นต้น
พวกหนังสือก็เน้นแบบมีลูกเล่น เช่นมี flap เปิด มีการต้องมองหาบางรูปในนั้นให้เจอ มีสติกเกอร์ให้ลอกแปะได้ มี puzzle ด้านในหนังสืออีกที หรือไม่ก็หนังสือเล่มบางที่เค้าชอบให้เราอ่านบ่อยๆ
ด้วยความที่ทริปปารีส เจ้าหมีเบื่อขนมปังเป็นอาหารเช้า รอบนี้เลยเตรียมซีเรียล ABC ที่เค้าชอบกินไปด้วย จะเอาโอ๊ตไปก็ได้ถ้าลูกใครชอบ ทั้งคู่ทำได้ง่ายและถือเป็นการเพิ่มนมในระบบให้เค้าไปในตัว



นั่งรถแท็กซี่จากสถานีรถไฟไปโรงแรม (เราพัก Citadines เหมือนตอนไปปารีส เป็นแพ็คเกจของยูโรสตาร์ เราจองห้อง 1 bedroom ไว้ มีแพนทรี เตา ตู้เย็น ไมโรเวฟ เครื่องล้างจานให้เสร็จสรรพ ทำความสะอาดอาทิตย์ละครั้ง เราพักแค่ 4 คืนจึงไม่มีการทำความสะอาด)
ลุงคนขับแทกซี่แอบอุดจมูกเพราะกลิ่นอ้วกหมี เราจะว่าลุงก็ไม่ได้เพราะเราเองก็ยังรู้สึก กร๊ากกก แต่สงสารหมีมากตอนอ้วก เพราะคงทรมาน ไม่อยากอ้วก แต่ก็อึดอัด ระหว่างนั่งรถมารร. หมีก็บอกว่าตัวเองอ้วก เรารีบบอกว่าต่อไปถ้าอยากอ้วกก็ไม่ต้องกลัวนะ อ้วกออกมาเลย กอดมี้ไว้ก็ได้ ไม่ต้องกลั้น
บอกหมีว่าตอนนี้เรามาเที่ยวเบลเยี่ยมกันนะ หมีจึงพูดคำว่า เบลเยี่ยมๆๆ ตลอดทางนั่งรถ (เริ่มจ้อแล้ว)




ถึงรร.เกือบบ่าย ยังเช็คอินไม่ได้ ฝากเป๋า ออกไปกินข้าวร้าน Restaurant La Boussole ซึ่งอยู่ติดกับโรงแรม เป็นร้านอาหารทะเล มาเบลเยี่ยมต้องกินอาหารทะเลค่ะ! อิมี้เสียใจอย่างเดียวคือไม่มีน้ำจิ้มซีฟู้ด แต่บีบเลมอนใส่ๆ ลงไปก็พอเพิ่มความอร่อยได้โขอยู่ (ไม่บังอาจพกมาด้วย มันจะหมิ่นร้านเค้าเกินไป) สั่งปลาหมึกย่าง ซุปบูยาเบย์ อร่อยมาก! หมีกินปลาหมึกไปเยอะอยู่ ตอนแรกนึกว่าจะไม่ชอบเพราะมันหนึบเหนียว ปรากฏเลิฟเลยค่ะ ตามด้วยครูตองหลายคำ กินจนจบมื้อแบบไม่งอแงอะไรเลย มี้บอกว่าเดี๋ยวกินเสร็จ หมีแนปกับเพนกวินแล้วเราไปมิวเซียมกัน
พอได้ยินคำว่ามิวเซียม หมีบอก “ไม่นอนๆ”
แต่พอด๊ากะมี้จับใส่รถเข็นออกไปไม่ถึง 5 นาทีก็หลับป๊อกจ้ะ
พอหมีหลับ บูพาเดินเล่นโอลด์ทาวน์ และย่าน Grand Palace ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักเพราะตึกรามเก่าแก่สวยจริงๆ มีร้านช็อคโกแลตมากมายติดๆ กันชนิดที่ว่าเลือกไม่ถูกเลยควรเข้าร้านไหน ดูดีงามไปหมด ไหนจะร้านวาฟเฟิล ร้านอาหารเก่าแก่ เดินเพลินสวยมาก แต่อิฉันถ่ายรูปออกมาไม่สวยเท่าที่เห็น เพราะใช้มือถือและฟ้าวันนี้ก็หม่นศรี (โทษไปทั่ว ฝีมือเรามันก็แค่นี้)
บูพาไปดูเด็กผู้หญิงฉี่ เพื่อทำให้เห็นถึงความเท่าเทียม (เป็นท่านั่ง) แต่ยังไม่ได้พาไปดูเด็กฉี่ออริจิเพราะอยู่คนละฝั่ง เล็งร้านอาหารดีๆ ไว้จะกลับมากินวันหลัง
พ่อแม่แวะซื้อคุกกี้ร้าน Dandoy ซึ่งเค้าดังวาฟเฟิล (เค้าไม่ขายวาฟเฟิลแบบซื้อกลับบ้านตรงนี้ แต่มีป๊อบอัพให้ซื้อโดยเฉพาะอีกมุมนึง) จำได้ว่า 9 ชิ้น 6 ยูโรมั้ง พอส่งถุงมาให้ก็กะแค่เปิดชิม…ไปๆ มาๆ คุกกี้หมดเกลี้ยงในพริบตา เพราะมันอร่อย (แต่บางชิ้นก็เฉยๆ ต้องเลือกดีๆ)





















เดินเมืองเก่า แอบถ่ายรูปพ่อแม่เหมือนมาเที่ยวกันสองคนเสร็จ ก็ตั้งเป้ามุ่งหน้าเดินไป Natural History Museum กะว่าหมีน่าจะตื่นพอดีๆ
พอหลุดย่านเมืองเก่ามา สถาปัตยกรรมมันก็จะเริ่มโมเดิร์นทั่วไปละ มีงานอาร์ตวางตรงนั้นตรงนี้ให้เห็นบ้างประปราย จะว่าไปบรัสเซลส์มีเนินเยอะอยู่นะ เดินเหนื่อยใช้ได้เลยอะ แต่บ้านเรือนเค้าแปลกตาสวยดีจริงๆ รถก็ไม่เยอะ ทำให้เดินไปสบายๆ เสียแค่วันนี้ลมแรง






หมีตื่นก่อนถึง Natural history museum สัก 10 นาทีได้ ช่างเหมาะเหม็งเหลือเกิน ช่วงนี้มี exhibition เกี่ยวกับการถ่ายทำสารคดีเพนกวินที่ Antarctica ที่เหลือก็เป็นพวกสัตว์สัตฟฟ์ และที่นี่จัดว่าเป็นหนึ่งในมิวเซียมที่มีกระดูกไดโนเสาร์เยอะที่สุดแห่งนึงในโลก แม้ตัวมิวเซียมเองจะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมาก
หมีชอบเอ็กซิบิชั่นเพนกวินมากกว่าที่คิด ถึงกับนอนเขลงดูเพนกวินอยู่นาน ตอนแรกนึกว่าจะแค่เดินผ่านๆ ปรากฏว่าเดินนาน หมีได้รู้จักซีล ได้ยินเสียงซีล เห็นเพนกวิน dive into the sea และ jump jump ขึ้นมาบนน้ำแข็ง เห็นเก้าอี้ก็ไปนั่งแล้วบอกว่า “นั่งดูเพนกวิน” ไม่ยอมออกเลยจ้า ปล่อยด๊าเข็นรถไปยืนรอด้านนอกพักใหญ่
ออกจากเอ็กซิบิชั่นไปวิ่งป่วนในโซนสัตว์สตัฟฟ์อีกพักนึงถึงหมดแรง ร้องขอขนม นั่งบักกี้ (มี้ให้แอปเปิลเล็กลูกนึงไว้แทะ) ระหว่างนี้พ่อแม่ก็เข็นเจ้าหมีเดินดูนั่นนี่ไปเรื่อยๆ จนมิวเซียมปิดตอนห้าโมง









เรากลับไปกินข้าวเย็นกันที่ร้านใกล้ๆ รร. ร้านอาหารในบรัสเซลส์เปิด 6.30-7.00 เหมือนยุโรปส่วนใหญ่ การทดสอบอาหารทะเลของเบลเยี่ยมยังดำเนินต่อไป มื้อเย็นกินมัสเซลกับฟรายส์ และปลาคอด บูสั่งสแกมปี้มาให้หมี และนางกินคนเดียวหมด


กินเสร็จ พาไปออกกำลงที่ carrefour express ซึ่งอยู่ติดกับโรงแรม (เดชะบุญมากๆ) ระหว่างพ่อแม่คว้ากาแฟอาหารเช้า หมีก็คว้าโยเกิร์ตบลูเบอร์รี่มา บอกว่าจะกินๆ ไม่ยอมวางแม้กระทั่งตอนจะจ่ายตัง จ่ายเสร็จก็ขอไปถือเอง ดังนั้นพอถึงโรงแรมก็รีบปีนเก้าอี้ขอให้มี้แกะให้กินหน่อย
ระหว่างนั้นด๊ากะมี้ก็สาละวนแกะกระเป๋า เตรียมน้ำให้เค้าอาบ เตรียมคริบ ฯลฯ
แน่นอนว่ากลับไปอีกที หน้าและมือหมีเกรอะไปด้วยโยเกิร์ต (ดีที่ไม่เกรอะทั้งตัว)
ปกติเวลาพักโรงแรม หมียอมนอนคริบแต่โดยดีเพราะเราแยกนอนกับเค้าตั้งแต่ 4 เดือนแล้ว แต่วันนี้ไม่ยอม จะนอนบนเตียงให้ได้ (โตแล้ว รู้มากนะเจ้าหมี)
มี้เกือบใจอ่อน แต่โชคดีเพิ่งผ่านปสก.นอนเตียงกะหมี แล้วหมีกลิ้งไปมากลัวเค้าจะตกเตียง ถ้ายอมคืนนี้หมีกลิ้งในความมืดเราจะเห็นเหรอ และยิ่งเราจะออกจากห้องหลังเค้านอน เราก็จะกลัวเค้าตกเตียงน่ะสิ เลยกัดฟันไม่ยอม
จึงต้องอธิบายว่าที่ไม่ยอมให้นอนเตียงเพราะกลัวหมีตกเตียงนะ คริบปลอดภัยกว่า อะไรที่ยอมได้ มี้ก็ยอม แต่ถ้าไม่ได้มีก็ต้องบอกนะ นางก็หยุดงอแง
ร้องเพลงอุ้มกล่อมพักนึง(ปกติไม่อุ้มกล่อม ไหล่จะหัก!) หมีก็ยอมบอก “นอนคริบ” ตามด้วย “ห่ม(ผ้า)”
จบวันด้วยความสงบสุขและสันติ เตรียมเที่ยว Brugge พรุ่งนี้ ด๊าบอกเราจะออกจากบ้านตอน 8.30 กันนะ
จ้ะ!