
พวกเราเดินทางจากลอนดอนไปปารีสด้วยรถไฟ Eurostar ซึ่ง *แนะนำที่สุด* เป็นอะไรที่ผ่อนคลายสำหรับมนุษย์พ่อแม่มากถึงมากที่สุด แค่ด่านตรวจตม.นี่ก็ชิลล์เสมือนหนึ่งเดินทางภายในประเทศ เดินผ่านเข้าไปนั่งรอรถไฟอย่างสบายใจในเวลารวดเร็ว ไม่มีเรื่องอะไรให้หัวใจวายตั้งกะเริ่มทริป หมีก็ผ่อนคลายเพราะคุ้นเคยกับการนั่งรถไฟอยู่แล้ว
ที่นั่งรึก็นั่งสบาย ห้องน้ำใหญ่ เจ้าหมีเดินไปไหนมาไหนได้ (แต่นางก็ไม่ได้อยากจะเดินสักเท่าไร) เราไม่ได้ซื้อที่นั่งให้เจ้าหมี เพราะเด็กจะนั่งยูโรสตาร์ฟรีถึง 4 ขวบ และพนักงานก็ใจดีมากๆ คือถ้าที่นั่งว่างเค้าก็จะบอกให้แยกกันไปนั่งได้นะ จะได้สบายๆ
ลอนดอน-ปารีสใช้เวลาเดินทางราว 2.5 ชม. เราจองแพ็คเกจของ Eurostar เองที่รวมค่ารถไฟกับโรงแรมไว้ด้วยกันเสร็จสรรพ (9 คืนรวมค่ารถไฟชั้น premiere standard และที่พักแล้วราวๆ 1,000 ปอนด์) แพคเกจนี้มีอาหาร ชากาแฟ เสิร์ฟบนรถไฟด้วย อาหารรสชาติโอเคเลย มาในปริมาณจุ๋มจิ๋ม เป็นการฆ่าเวลาให้เจ้าหมีได้หยิบนั่นมาแทะนี่เกือบ 20 นาที


พูดถึงการเตรียมตัวเที่ยวปารีสหน้าหนาวก็จะเหนื่อยหน่อยเรื่องกระเป๋าเพราะเสื้อผ้ามันหนา ขนาดว่าพยายามแพ็คน้อยแล้วก็ยังต้อง 2 กระเป๋า (รวมแล้ว 4 คือมีรถเข็นเด็ก กับกระเป๋าแนปปี้อีก) ไม่พอยังมีพวก foot muff, hand muff สำหรับรถเข็นเด็ก หมวก ผ้าพันคอ ถุงเท้า รองเท้า แนปปี้ ผ้าห่มนุ่มที่เจ้าหมีติดต้องนอนด้วย ฝาโถส้วมแบบพับได้เพราะอยู่ในช่วงพอตตี้เทรน หนังสือที่เอาไว้ล่อหลอกเวลาเบื่อ ขนมอะไรอีกล่ะ สารพัดจะขน
สรุปสุดท้ายอิแม่ได้ทางออกว่า ก็รียูสเสื้อผ้าไปละกันไม่ต้องซักหรอก หน้าหนาวเหงื่อไม่ออก 5555 ไป 9 คืนก็เอาเสื้อผ้าไป 6 วัน อีก 3 วันก็เลือกเอาว่าตัวไหนเหม็นน้อยสุด หยิบมาใส่ไปแหละ สุดท้ายตัวนอกก็ต้องเป็นแจ็คเก็ตกันหนาวตัวหนาเตอะอยู่ดี ถ่ายรูปไปก็ไม่รู้ เที่ยวหน้าหนาวมันก็จะชีช้ำตรงนี้ (แต่ถ้าจะมองว่าดีก็ได้)

ถึงสถานี ที่ปารีส คุณบูแวะไปรับบัตรพาสต่างๆ ที่จองไว้ (บูซื้อมิวเซียมพาสแบบ 4 วัน โปรดจดกันเอาไว้ว่าทุกวันที่ 1 ของทุกเดือน มิวเซียมที่นี่เค้าจะเปิดให้คนเข้าฟรีไปเลยจ้า แต่คิวก็มหาศาลโดยเฉพาะมิวเซียมใหญ่ๆ) รับเสร็จพาเจ้าหมีไปพูต่อ 5555 ห้องน้ำที่สถานีเสียค่าเข้า 70 เซนต์ แต่ห้องน้ำสะอาดมาก ได้ยินแล้วค่อยสบายใจหน่อย เพราะอากาศหนาวๆ แบบนี้โอกาสที่เราจะเข้าห้องน้ำก็เยอะ และห้องน้ำในสถานีรถไฟใต้ดินนั้นสยองม๊ากกกกก

นั่งรถไฟจากสถานีมาโรงแรม 16 ยูโร คุ้มค่าทุกเซนต์ เพราะหมดห่วงเรื่องหิ้วของพะรุงพะรัง รถก็กว้างขวางนั่งสบาย ใช้เวลาไม่นานก็ถึง เสียแค่…ถ้าคนขับสูบบุหรี่คือรถจะเหม็นบุหรี่ม๊าก ฮือออออ
โรงแรมที่พัก…
โรงแรมเลอเลิศมากกกกกก คือมันไม่ได้หรูหราเก๋กิ๊บ (เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับพ่อแม่อย่างอิฉันอีกต่อไป) แต่เป็น service apartment ที่มีของเล่นเด็กสองสามชิ้นวางไว้ให้ด้านล่าง (แค่นี้ก็พอใจละป้ะ ระหว่างรอเช็คอินก็เล่นเบื่อพอดี) ตอนแรกเราดูจากรูปแล้วเหมือนห้องโรงแรมเล็กๆ ปรากฏเข้าไปมันก็ไม่ได้ใหญ่หรอก (อ้าวจะพูดทำไม!) แต่เลย์เอาท์ห้องมันเวิร์ก คือมีส่วนห้องนอนกับลีฟวิ่งรูมแยกต่างหาก มีแพนทรีขนาดกำลังดีให้พร้อมตู้เย็น เครื่องล้างจาน โทสเตอร์ ไมโครเวฟ กาต้มน้ำ และอุปกรณ์ต่างๆ ให้เสร็จสรรพ มีส้วมกับห้องน้ำแยกกัน ผ้าเช็ดตัวหรืออะไรไปหยิบเองได้เลย ทำความสะอาดอาทิตย์ละหน คืออิแม่แฮปปี้มาก 9 คืนในปารีสพักที่แบบนี้ฉันโอเคมาก
เข้าห้องได้มองเวลา เฮ้ยนี่มันสามโมงครึ่ง (เวลาต่างจากอังกฤษ 1 ชม.) รีบจับเจ้าหมีซุกถุงแด้เข็นออกไปเดินเล่นข้างนอก ไม่งั้นนางไม่หลับ ปล่อยคุณบูให้พยายามเลื่อนบัตร express ของดิสนีย์แลนด์เป็นวันจันทร์ให้ได้ เพื่อจะได้เลื่อนวันไม่ไปชนกับวัน strike ประจำชาติของเค้า ไหนจะจองเวลาที่ลูฟว์อีก เออการจองอะไรต่ออะไรก่อนไปเช่นมิวเซียมต่างๆ ก็จะช่วยลดเวลาในการต่อแถวไปได้บ้าง (บูบอก)
เข็นออกรรไปไม่ถึง 200 เมตร คอเจ้าหมีก็หักเป็นปลาทูแม่กลองเลยจ่ะ เพราะเลยเวลาแนปมาเป็นชั่วโมงแล้ว จึงใช้เวลานี้ในการเดินสำรวจละแวกใกล้โรงแรม มีสนามเด็กเล่นเล็กๆ ที่นึง มีย่านร้านอาหารติดๆ กัน มีเบเกอรี่แบบโมเดิร์นหนึ่ง แบบเทรดิชันนัล 1 ร้าน…เรารอดแล้ว!
แวะซื้อของมาเก็บไว้ทั้งสองร้านเป็นอาหารเช้า พวกครัวซองต์ ขนมอบที่น่าจะอร่อย (ก็อร่อย) อันนึงบูไปเลือกมาเป็นบาเกตต์ทำจากโดว์บริออช กับบันทำจากแป้งชู เออน่าสนใจมากเพราะไม่เคยเห็น โลคัลแต่ละประเทศเค้าก็จะมีขนมปังเฉพาะตัวเนาะ สนุกดีได้ลองไปเรื่อยๆ






สิ่งนึงที่สังเกตได้ตั้งแต่ 5 นาทีแรกที่เดินถนนก็คือ คนสูบบุหรี่กันเกลื่อนกลาดมาก คือเยอะจนน่ากลัว แถมเป็นบุหรี่แบบไม่มีไส้กรองเหม็นมาก ไม่อยากจะบอกว่าเรื่องอืนเมืองไทยไม่รู้นะ แต่เรื่องบุหรี่ที่บ้านเรานี่นับว่าดี ไม่มีใครสูบริมถนนให้ได้กลิ่นเลย กระทั่งตามที่สาธารณะต่างๆ ก็ไม่มี ในขณะที่ทั้งลอนดอนและปารีสนี่คือสูบกันเยอะมากกกก โดยเฉพาะตามถนนหนทาง กระทั่งในร้านอาหาร บางทีเห็นพ่อแม่นั่งสูบข้างๆ ลูกเล็ก แบบแอบเศร้าแทนเด็ก
อาหารมื้อแรกก็เอาละเว้ย…
คนที่นี่กินอาหารเย็นกับค่ำมืดมาก สร้างปัญหาให้กับบ้านเราโดยเฉพาะเจ้าหมีที่กินอาหารเย็นตอน 5 โมงที่สุด ร้านอาหารเปิด 6.30 หรือส่วนใหญ่จะเปิดทุ่มนึง ถึงบางร้านเปิดก่อนก็ไม่มีอาหารเย็นขาย
วันนี้พวกเราเจอร้านเปิดตอน 5.30 ชื่อร้าน Le Mêlécasse ดีใจรีบพุ่งตัวไป เปิดเมนูอาหารดูดี ปรากฏสั่งแล้วสักพัก พนักงานเข้ามาบอกว่า ขอโทษทีวันนี้เชฟยังไม่มา สั่งได้แต่พวก appetizer! ถ้าจะรอคือเกือบ 2 ชม. มิน่าเห็นคนอื่นสั่งแต่เครื่องดื่ม ช็อคโกแลตร้อนมากินกัน เอาไงดี…
อ่ะ เอาบาเกตต์แทะเล่นรอไปก่อนละกัน 555 จะได้ไม่โมโหหิว



บูตัดสินใจสั่งแอปฯมา 3 จาน และอร่อยหมดทุกจาน มีไข่ซอสเห็ดมอเรลล์ (ครีมมี่ หอม กลมกล่อม ไม่เค็ม) ฟรัวการ์พาเต้ กินกับ red peppercorn และเม็ดเกลือ อีกอันคือเอสคาโก้ผัดกับเห็ดซึ่งเป็นเมนูที่ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน โอ๊ย ทำไมอาหารที่นี่มันอร่อยจัง ขนาดเข้าร้านแรนดอมไม่ได้อ่านรีวิวอะไรเลย จึงตัดสินใจกันว่าจะต้องเลื่อนเวลากินข้าวเย็นเจ้าหมีให้สายลงให้ได้ จะได้กินอาหารอรอ่ยๆ ทุกวัน 555
กินเสร็จแวะสนามเด็กเล่นใกล้ๆ แล้วไปเดินห้างที่อยู่ตรงโรงแรม แวะคาร์ฟูร์ซื้อนม ผลไม้ อาหารเช้า รวมถึงแนปปี้ที่ขาดแคลน เตรียมเที่ยววันพรุ่งนี้ต่อไป…
ปล.ที่นี่มีพวกครีมอะไรขายในร้านขายยาเยอะมาก คนชอบซื้อครีมคงเดินช้อปสนุกเลยอะ ส่วนคาร์ฟูร์ก็มีอะไรให้เดินดูเยอะดีเหมือนกัน แต่ถ้าไปเวลาคนเยอะๆ จะเจอป้าแก่ๆ ทำหน้าเหี้ยมใส่เด็กน้อยถ้าเค้าเดินช้าขวางทางพวกนางเข้า ก็ทำใจไว้หน่อย นอกนั้นก็ไม่มีอะไรมาก



