
วันนี้ตัดสินใจตื่นสายนิดนุง พอกินอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จ จะขึ้นมาเก็บเป๋าไปฝากเค้า แล้วค่อยออกไป hike กัน จะได้ไม่ต้องมีข้อจำกัดเรื่องเวลาที่จะต้องตาลีตาเหลือกมา check out ถ้าเราเกิดย้วยยืดยาดอยู่กลางป่าเป็นต้น
อาหารเช้าที่โรงแรมโอเคเลยอ่าาา ของร้อนเยอะแยะ ยัยเอ๋น้อยหยิบมาเกินกินนิดนึง เลยเก็บไข่ต้มไปกินระหว่างทาง (จริงๆ คือแผนร้าย)
ล้อหมุนออกไปไฮค์ตอน 9.50 น. ทางเข้าเทรลก็อยู่ห่างจากโรงแรมมาแค่ไม่ถึง 100 เมตรเอง สะดวกมาก
วันนี้บูเลือก Trail D (แผนที่เทรลขอได้จาก Tourist Information Center เมื่อวาน)
เป็นเส้นทาง 2.8 กม. (รวม 5.6 กม.ไปกลับ) พนักงานที่รร.บอกว่าน่าจะใช้เวลาสัก 1.5-2 ชม.
เป็นรูทที่ป๊อบปูล่าร์สุดละ เพราะเดินไปจะเห็นวิวเมืองสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และปลายทางคือน้ำตก ที่เราเดินไปด้านหลังมันได้ด้วย (บ้านเราก็มีเยอะแยะแบบนี้ ยัยเมียไม่ค่อยตื่นเต้นทะไหร่) ด้านบนมีลานหิน ปิคนิคได้ไรได้ จะเตรียมขนมนมเนยไปนั่งกิน กาแฟไปนั่งจิบก็ดีนะ อากาศกำลังสบายเลย



ช่วงขาขึ้นนี่ถึงจะเดินง่ายเพราะเป็นบันไดหิน แต่แบบ เหนื่อยได้จิตได้ใจมาก คือเดินขึ้นอย่างเดียวไปเรื่อยๆ จนสุด สภาพทุกคนคล้ายกันมาก คือตอนแรกใส่เสื้อแขนยาวกันลมกันหนาว พอเดินๆ ไปรีบถอดกันแทบไม่ทัน!
เทรลนี้ภูเขาเปิดโล่ง ไม่มีร่มไม้ โชคดีที่วันเราไปแดดไม่มี แล้วก็ฝนไม่ตกด้วย ยัยเมียถึงกับพักหอบแห้วหายใจเป็นรยะๆ แม้จะเหนื่อยแต่ก็สนุก ได้ออกกำลังและเห็นวิวเมืองมุมสูง มีดอกไม้ป่าสองข้างทาง และมีแกะภูเขาที่เขาเอามาปล่อยกินพืชสมุนไพรเป็นระยะ









พวกเรามาเร็ว เพราะโรงแรมอยู่ใกล้ทางขึ้นเทรล ระหว่างเดินลงเลยสวนกับกลุ่มวัยรุ่นที่ตื่นสายหน่อย และครอบครัวที่พาลูกเล็กมา บอกได้เลยว่าเป็นรูทที่ป๊อบปูล่าร์มาก
สิริรวมครอบครัวตัวพีใช้เวลาเดินขึ้น-ลง 1 ชั่วโมง 50 นาที






พอมาถึงด้านล่าง ถ้าแยกขวาไปจะเจอฟาร์มเฮาส์ ที่เค้ายังเลี้ยงสัตว์กันจริงๆ แต่ลักษณะนี่ยังก้ะฟาร์มโชคชัย คือคนเยอะ พ่อแม่พาลูกมาดูแกะแพะม้า หนุ่มสาวมานั่งคาเฟ่ดูวิว คาเฟ่เค้าก็น่ารักมากๆ พนักงานโรงแรมเราเชียร์ให้แวะกินแพนเค้กที่นี่ แต่พวกเรายังไม่ค่อยหิวเท่าไร เพราะจัดอาหารเช้าไปแบบสุดพลัง เลยเดินไปดูแกะพักนึง ถึงย้อนลงมาทางกลับโรงแรม





แต่ทว่า….ก่อนจะถึงโรงแรมนั้นเอง คุณบูศักดิ์ก็แว้บเลี้ยวซ้ายออกนอกเส้นทาง เพราะอุตริคิดจะเดินอีกเทรลนึง! คือเหนื่อยไม่พอชิมิคะ? มีการชักแม่น้ำทั้งห้า บอกว่าน่าจะใช้เวลาเดินแค่ 1 ชม. และกลับถึงรร.ภายในบ่าย 2 เพื่อนั่งพักกินข้าวระหว่างให้พนักงานเรียกแท็กซี่ให้ แล้วลงไปขึ้นรถตอนบ่าย 3 ทันสบายสบ๊าย…
ยัยเมียมองตาขวาง แต่ก็เห็นว่า ถ้ากลับไปโรงแรมเวลานี้ก็คงไม่มีอะไรทำ นอกจากนั่งเป็นมนุษย์สังคมก้มหน้า จึงเดินตามไปแต่โดยไม่ดี…ชิส์

เทรลที่สองชื่อว่า Holemyrane ระยะทาง 2 กม. ขึ้นและลงอย่างละ 1 กม.
ตอนแรกก็คิดว่าคงเหนื่อยมาก เพราะทางขึ้นชันตลอดและค่อนข้างลื่น
….ของจริงคือเหนื่อยชิบหาย!
เทอร์เรนที่นี่จะเป็นดินกับหญ้าชุ่มน้ำ เดินไปจะยวบๆ ตามเท้าเรา (บูบอกเค้าเก็บเอาหญ้าชุ่มน้ำพวกนี้ไปตากแล้วเผาไฟต้มวิสกี้) ดูจากเส้นทางแล้วรู้เลยว่าไม่ค่อยป๊อบปูลาร์ คนไม่ค่อยมากันมาก ธรรมชาติสุดๆ ที่สำคัญคือ “สวยยยยยยย” เพราะมันเป็นป่าสนชื้นๆ ปกคลุมด้วยเฟิร์น มอส
ได้อารมณ์แตกต่างจากเทรลแรกอย่างเห็นได้ชัด อันแรกนี่จะแบบเขาเปิดโล่งเน้นวิว แต่อันนี้จะเน้นป่าสนทึบเขียวสด เหมือนเราถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติ ชอบ : )
ขาแรกที่ขึ้นเขาอย่างเดียวนี่เหนื่อยสุด เพราะต้องปีนรากไม้นิดนึง และมันขึ้นอย่างเดียวจริงๆ ไม่มีทางราบสลับเลย ดีที่สองข้างทางสวยเขียว เป็นป่าสน ดูเพลิน ช่วยคลายความเหนื่อยได้หน่อย
ระหว่างทางนี่ไม่เจอคนเลย มีหนุ่มสาวคู่เดียวที่เจอตอนเกือบๆ ถึงยอดเขา เป็นเทรลที่ peaceful มาก นี่ถ้าไม่ต้องเร่งรีบให้จบภายใน 1 ชั่วโมง เราคงเอื่อยย้วยกว่านี้อีกเยอะ











พอถึงยอดเขา มีสมุดอยู่ในตู้จดหมายให้เขียนรายชื่อเราเป็นที่ระทึกด้วย ว่าเคยมาพิชิตยอดเขานี้ แม้จะไม่เห็นวิวเมืองด้านล่าง แต่เราเหมือนถูกโอบล้อมจากป่าเขียวๆ รอบด้าน มันเป็นอะไรที่ชุ่มชื่นหัวใจดี
หลังจากนั้น ทางก็เริ่มไต่ระดับลง พอๆ กับระดับพลังในร่างที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อาหารเช้าที่กินมาหมดละ (ก็ขึ้นเขามาเกือบ 5 ชม.ละนะ!) … ล้วงเป้ ควักไข่ต้มที่ตุ๊จากโรงแรมเมื่อเช้ามาเต๊าะกับลำต้นต้นไม้ แล้วกัดกันคนละคำเติมพลัง




ในที่สุดก็เดินจนจบเทรลได้ภายใน 1 ชม.สมใจแม่นางบูศักดิ์เขาล่ะ ยัยเมียที่ล้าเพลียเต็มที่ กะว่าถึงรร. จะนั่งชิลล์ๆ ชมวิว สั่งเบอร์เกอร์กะซุปปลามากิน ระหว่างรอแท็กซี่มารับซะหน่อย
ทว่าหนทางมิได้โรยด้วยกุหลาบ (ถ้าใช่…ก็คงเป็นกุหลาบร้อยหนาม)
เพราะปรากฎแท็กซี่ไม่มีจนถึงบ่ายสาม (รีพีต มีสองคันทั้งเมือง แล้วดันโดนชิงจองไปก่อนแล้ว!)
พนักงานมีแก่ใจไปถามเพื่อนให้ ก็ไม่มีใครสามารถขับรถไปส่งเราที่เมืองข้างล่างได้ ตอนแรกนึกว่าจะต้องลากกระเป๋าเดินทางเดินลงไปที่เมืองแล้ว (ลงเขาทั้งลูกนะเฟ้ย!) แต่ตอนนั้นเราเหนื่อยแบบไปไม่ไหวจริงๆ
ปรากฏทางเลือกสุดท้ายยังมีคือรถ city sightseeing hop on hop off!!! ที่บังเอิญมีคันนึงขึ้นมาพอดี…เราต้องจับรถคันนั้นให้ทัน เพราะมันมีแค่ชั่วโมงละคันเท่านั้นนะเอ็ง!
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก
เหมือนเราถูกโยนออกจากโรงแรมพร้อมกระเป๋า 2 ใบ
ครอบครัวตัวพีลากกระเป๋าขึ้นเนินสูง หน้าตาตื่นประหนึ่งกะเหรี่ยงเพิ่งเห็นแสงสี โดยมีจุดหมายคือจุดชมวิวที่รถ hop on hop off จอดรถรับส่งคน (ห่างออกไปราว 500 เมตรอันแสนทรมาน) ขาที่ล้าอยู่แล้วถูกสมองสั่งให้ทำงานหนักเข้าไปอีก แต่เดชะบุญ…ฟ้ายังปรานี เพราะพวกเราโชคดีที่ไปถึงตอนรถกำลังจะมาพอดีค่า!!! โอยรอดตายแล้วววกะเหรี่ยงครอบครัวตัวพีเอ้ยยยย
ถ้าพลาดรถคันนี้ไปคือเน่า และเอ็งจะต้องลากเป๋าจริงละคะนี้ หรือไม่ก็ต้องโบกรถคนอื่นลงไป (อยากถ่ายคลิปบูหน้าตาตื่นตอนเดินขึ้นไป แล้วพบว่ารถสวนลงมาพอดี)
ขึ้นรถได้ ทำหน้าตาตื่นบอกคนขับว่าจะลงไปเมือง จ่ายตังยังไง เรามีแต่แบงก์ใหญ่ คนขับบอกเค้าไม่มีเงินสดทอนหรอก บูเลยบอกอ้าวจ่ายบัตรได้ไหม คนขับทำหน้าแบบ เออๆ ขึ้นมาเหอะ เราสองคนรีบกรูไปนั่งทันที (กลัวลุงเปลี่ยนใจ) ดีใจมากมายในสภาพหัวใจเกือบวาย แถมเจอคนขับให้นั่งฟรีอีกด้วย ซึ้งหลายๆ เด้อค่ะ
พอขึ้นมาได้ ไหนๆ เช็ครอบรถบัสอีกทีซิ …อ้าว รถบัสเรามันเที่ยวบ่าย 3.30 นี่หว่า ไม่ใช่บ่ายสาม
เย้ มีเวลากินข้าว (เป็นความผิดพลาดที่น่าชื่นใจ แม้เกือบทำให้หัวใจวายก็ตาม)

จึงแวะร้านเดิม….(กระบวนการซ้ำซาก คือเครื่องหมายการค้าของครอบครัวตัวพี)
พนง.ถามว่าจะเอาเมนูไหม เราบอกไม่อะ ฉันสั่งได้เลย เพราะสั่งเมนูเดียวกะเมื่อวานเด๊ะ 5555
อาหารมาก็รีบแกะกุ้งกินจนหมดอย่างรวดเร็ว โฮกซุปที่เหมือนวันนี้ได้ปริมาณเยอะกว่าเมื่อวานลงคอ เข้าห้องน้ำ แล้วไปยืนรอรถบัสของ Fram ไปเมือง Alesund (อ่านว่าออเลซุนด์) ก่อนเวลาตั้ง 10 นาทีแน่ะ ดีใจทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ได้ทำทุกสิ่งอย่างที่ตั้งใจไว้ด้วย มีแว้บๆ หัวใจวายเล็กน้อย แต่พวกเราทำได้!
รถบัสจาก Geiranger – Alesund แวะจุดชมวิวบนเขาอีกด้านนึงให้ด้วยข่า เลิศเลอมาก แต่ทางขึ้น eagle นี่แบบยึกยักมาก ลุงต้องจอดๆ หยุดๆ หลบรถเป็นระยะตลอดทางขึ้น


ก่อนหน้านี้ตอนน้องสาวคนนึงมาปีนเขา bucket list ที่นอร์เวย์ นางก็เล่าว่า โหต้องต่อรถบัส ลงเฟอร์รี่ ขึ้นบัสกว่าจะถึงจุดหมาย เราก็เออขยันจัง ท่าจะยากนะ
แต่วันนี้ครอบครัวตัวพีได้สัมผัสประสบการณ์นั้นค่ะ เพราะถ้าใครซื้อตั๋วรถบัสของ Fram นั่นหมายความว่าคุณ “ต้องต่อ” ค่ะ อย่างน้อย 3 ต่อด้วยบอกเลอ!
อย่างของเราวันนี้ คือเริ่มจากขึ้นบัส ลงบัสขึ้นเฟอร์รี่ข้ามฟากทะเลไปอีกฝั่ง พอถึงก็ขึ้นบัสอีกคัน และเปลี่ยนอีกบัสนึง ก็จะถึง Alesund จ้ะ!…จัดไป 4 ต่อสบายใจเขาล่ะ
คืออะไรไม่ลำยาก เท่าการมีกระเป๋าเดินทางมา 2 ใบด้วย ถ้ามากระเป๋าเป้ใบเดียวจะพลิ้วไหวเหมือนใบไผ่มาก แต่หันไปเห็นบางคนเอาจักรยานมาทั้งคันเลยฟ่ะ
เจ๋งกว่าเราอีก
แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นการเดินทาง 3 ชม.ที่ไม่ทรมานมากนะ
คงเพราะเค้าจัดเวลาให้พอดีเป๊ะ เราแทบไม่ต้องยืนรอรถคันต่อไปเลย แถมยังได้ยืดเส้นยืดสาย ลงรถมาขนกระเป๋าฮึบๆ ขึ้นๆ ลงๆ บัสกะเฟอร์รี่ พยายามคิดในแง่ดีว่าบริษัท Fram เค้าคำนึงถึงสุขภาพของคนนั่ง ถึงให้พวกเราลุกๆ นั่งๆ ตลอดการเดินทาง ไม่เส้นยึดไง



Alesund
ถึง Alesund ราวๆ สัก 4-5 โมงเย็นได้…
เมืองนี้เราจองที่พักจากเว็บ airbnb และพบว่ามันห่างจากจุดลงบัสแค่ 5 นาทีจริงๆ ที่ดีเด่นกว่านั้นคือใกล้ซูเปอร์ฯ ร้านโกรเซอรี่เอเชีย (ได้มาม่าคัพมาอีก 2) อยู่ในเขตเมือง ใกล้ทุกสิ่งอย่างมาก
เหนืออื่นใดคือ…ในบ้านมีทุกอย่างจริงๆ ทั้งครัวอุปกรณ์ครบ เครื่องซักและอบผ้า ที่นอนนุ่ม ผ้าห่มอุ่น ห้องกว้างสบาย สะอาดทุกมุม ครัวเป็นกิจจะลักษณะ…เรียกว่าที่สุดของแจ้! ไฮเอนด์แอร์บีเอนบีในราคาสบายบกระเป๋ามากๆ ตอนกลับเขียนรีวิวชมไม่ขาดปากบอกเลย คุ้มราคามากกกกกกกกกกกกกกก ใครสนใจจองก็คลิกนี่เลย

พอเอากระเป๋าวาง รีบเอาผ้าใส่เครื่องซัก (เค้าเตรียมผงซักฟอกไว้ให้ด้วยอะ สุดยอดมาก)
เปลี่ยนรองเท้า (จากปีนเขาเป็นผ้าใบ) แล้วออกไปหาอาหารใส่ท้อง นี่ก็เป็นอีกเมืองที่หาร้านอาหารกินยากพอสมควร เดินๆ ไปเจอร้าน gluten-free ดูดี มีคนกินเต็มร้าน กะเหรี่ยงก็เชื่อเขา….
ได้เบอร์เกอร์เห็ดโปะชีสเบอร์เกอร์ กับ Bacalao มากิน (สมใจบูละ เพราะ Bacaloa เป็นอาหารถิ่นอย่างหนึ่งของนอร์เวย์ ที่ทำจากปลาแห้งมาต้มจนฟูนั่นเช่นกัน)
กินแล้วก็เดินนิดหน่อยเป็นการย่อยอาหาร รู้สึกล้าๆ เลยเปรยกับบูศักดิ์ว่าเหนื่อยจัง อ๋อยยย….
บูเลยเตือนสติว่า เราเพิ่งเดิน 2 เทรลมาเมื่อเช้านี้เองนะ
เออ มิน่า…
ก่อนเข้าที่พัก แวะซูเปอร์ซื้อไข่มาต้ม ไส้กรอก ขนมปัง โยเกริ์ต มาตุนเป็นอาหารเช้าและอาหารกลางวัน เพราะเมื่อกี๊แวะเข้าไปดูในคาเฟ่รร.ใกล้ๆ แล้วพบว่าไม่น่าเวิร์ก มีแต่แซนวิชเย็น
อีกอย่างซื้อของในซูเปอร์ฯทั้งหมดแค่ 260 เอง คุ้มเกินคุ้มเพราะกินเป็นอาหารได้ตั้ง 3 มื้อจ้า
ไว้พรุ่งนี้เราค่อยเจอกันใหม่นะ Alesund
