ซาน เซบาสเตียนเป็นเมืองเล็กๆ ขึ้นชื่อเรื่องเป็นเมืองพักผ่อนชายหาด แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายหลักที่ทำให้พวกเราแถแวะพักเมืองนี้ เพราะทะเลไทยก็สวยงามมากมาย สวยกว่าหาดซาน เซบาสเตียนเป็นไหนๆ เรามาเพื่อกินตามประสาสายรับประทานตะหาก
เมื่อหลายปีก่อน บทสนทนานึงของเรากับคุณบู พูดถึงเรื่องการตะลุยกินพินโชส์กันใน San Sebastian
“บนถนนจะมีร้านพินโชส์แยะมาก และแต่ละร้านจะมีพินโชส์ไม่เหมือนกัน เราเลือกกินแค่ร้านละ 1-2 อย่าง แล้วก็โดดดึ๋งไปกินร้านอื่นต่อ” บูโฆษณาว่างั้น (บูเป็นจิงโจ้?) และนั่นคือจุดเริ่มต้น…

การกินพินโชส์ในซาน เซบาสเตียนคือ A must เพราะเมืองโดยรวมแล้วไม่ได้มีสถานที่เที่ยวอะไรมาก แค่ 3 สะพาน 3 หาด และ 3 เขา ถึงจะไม่ตั้งใจกิน ก็จะต้องได้กิน เพราะทุกแห่งหน ทุกบาร์ ทุกร้านไม่ว่าจะเล็ก ใหญ่ แพง ถูก มีพินโชส์ให้เลือกกินมากมายเกลื่อนเมือง ถึงขนาดพอเช็คอินเรียบร้อย พนักงานโรงแรมบอกว่า “อ่ะ เอานี่ไป” (ยื่นกระดาษ A4 ให้) “ลายแทงพินโชส์ร้านเด็ดในเมือง ขอเชิญเลือกไปทานตามอัธยาศัย”
ดังนั้นบล็อกนี้จะพูดถึงเรื่องของกินก่อน ใครสนใจแต่ที่ท่องเที่ยวก็เลื่อนลงไปล่างๆ ได้เลย
Pintxo, pinchos หรือพินโชส์
คืออะไรก็ได้บนขนมปังชิ้นเล็ก ส่วนใหญ่เป็น local produce เอาผัก หญ้า แฮม หรือวัตถุดิบท้องถิ่นมาปรุงมาจัดเรียงบนขนมปัง จะให้วิริศมาหราอย่างไรก็แล้วแต่จินตนาการ
เทรดิชันนัลจริงๆ แล้วพินโชส์ทุกคำต้องมีไม้ปัก หนึ่งเพื่อยึดท้อปปิ้งกับขนมปังเข้าด้วยกัน และสองเพราะเวลาคิดตังเขาจะนับไม้ แต่เดี๋ยวนี้ดีไซน์ของพินโชส์ออกแนวหวือหวา เข้าทำนองงานอาร์ต เขาเลยไม่อยากเอาไม้ไปปักให้เสียสายตา (มั้ง) เลยใช้ระบบเชือใจ กินกี่ชิ้นก็ค่อยบอกเขาไปตอนเก็บตัง (ปกติร้านมักตั้งราคาทุกชิ้นให้เท่ากัน จะได้คิดสตางค์ง่าย)
แต่ถ้ามีคนอยากจะขี้โกงล่ะ ทำได้ง่ายๆ เลยนะ!! เพราะร้านพินโชส์ส่วนใหญ่คนแยะ ยืนกินเกลื่อนร้าน ไม่ค่อยมีใครสนใจใคร สั่ง-หยิบ-หาที่วาง กิน … จะกินแล้วสะบัดบ็อบหนีไปเลยก็ได้
ร้านไหนขายพินโชส์สังเกตง่าย เพราะเขาจะเอาใส่จานมาวางเรียงๆ ไว้บนเคาน์เตอร์ ดังนั้นมันจังจัดเป็นอาหารเย็น (cold food นะ ไม่ใช่ dinner!) ถ้าตั้งไว้นานไป เขาจะมีใหม่มาเปลี่ยนไม่ปล่อยให้อาหารเซ็ง ร้านดีๆ มักมีวิธีทำให้ขนมปังกรอบนุ่มไม่เหนียวและอยู่ได้นาน บางร้านดีหน่อยจะมีบริการอุ่นร้อนให้ แต่ส่วนใหญ่เตรียมใจไว้ว่า…มันจะมาแบบเย็นๆ
วิธีสั่งก็ไม่ยาก แค่เดินเข้าไปด้อมๆ มองๆ ดูว่ามีพินโชส์แบบที่เราชอบไหม ถ้ามีก็สั่งเครื่องดื่ม (ไวน์กับน้ำเปล่าราคาเท่ากันเลยค่ะ) แล้วบอกว่าจะสั่งพินโชส์ บางร้านก็จะยื่นจานมาให้เราหยิบเอง แต่บางร้านเขาก็จะเป็นคนหยิบให้ ส่วนใหญ่จะคิดสตางค์ทีหลัง เพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องควักตังจ่ายหลายรอบ ถ้าเราอยากกินเพิ่ม พนักงานแต่ละร้านนี่น้อยแสนน้อย มากสุดคือ 2 คนทำทุกอย่างทั้งเทไวน์ หยิบอาหาร คิดสตางค์ ทำความสะอาด ฯลฯ ดังนั้นเราต้องใจเย็นรอหน่อย เพราะถึงคิวเราเมื่อไหร่ เขาจะให้บริการอย่างเต็มที่

นอกจากพินโชส์ทำสำเร็จแล้ว ทุกร้านมักมีเมนูอาหารร้อนจานเล็กให้สั่งด้วย (เขามักถามว่าจะเอาแบบพินโชส์ หรือแบบ เมน/ดิช/เพลต) ถ้าอ่านออกก็สั่งได้ หรือจะพูดภาษาอังกฤษเขาก็น่าจะรู้
ลักษณะนึงที่พบเห็นในทุกร้านพินโชส์ ก็คือเศษทิสชู่เกลื่อนพื้น พร้อมไม้จิ้ม (ที่ตอนแรกนึกว่าไม้จิ้มฟันแล้วแอบแหยงนิดๆ) แต่จริงๆ แล้วมันคือไม้พินโชส์ (ที่ก็น่าจะมีคนเอาไปแคะฟันบ้างแหละ ป้ะ?)
จริงๆ แล้วเราสองคนแวะกินพินโชส์ตามร้านนั้นร้านนี้เยอะมาก แต่อาจจะร้านละแค่ชิ้นสองชิ้นที่เห็นว่าน่ากิน น่าลอง (เค้าไม่ว่านะ คนทำแบบนี้กันทั้งนั้น) จะมีนั่งกินเป็นกิจจะลักษณะบ้างตามร้านที่เขียนไว้ข้างล่างนี้จ้ะ
Arzak
เกริ่นมาจากบล็อกไปบิลเบา ว่าเรากินอาหารร้านมิชิลินสตาร์ 1 ดาวที่กุ๊กเกนไฮม์มิวเซียม แล้วบูตั้งคำถามว่าเราจะชอบร้าน 3 ดาวในซาน เซบาสเตียนที่กำลังจะไป มากกว่ารึเปล่า ได้คำตอบแล้ว…ดังคาด ว่าโดยรวมแล้วชอบที่กุ๊กเกนไฮม์มากกว่า (จำนวนดาวไม่เกี่ยวจริงๆ)
คือจริงๆ แล้วรสชาติเค้าจะบาลานซ์พอกันทั้งสองร้าน แต่จังหวะเราไป Arzak เค้าเน้นวัตถุดิบจากเอเชียเยอะ เราเลยไม่ค่อยตื่นเต้นไง (พวกรากบัว ชาเขียว คากิ เกี๊ยวซ่า) เรามันตี๋หมวยเมืองไทยเห็นอะไรพวกนี้มานักต่อนัก รวมถึงมีการเอาดอกไม้มาตกแต่งซึ่งอันนี้เคยเห็นมาก่อนตอนไปลอนดอนเลยไม่ตื่นเต้นเท่าไร แต่ก็ยอมรับว่าวิธีการนำเสนอเค้าหวือหวา (น่าจะเพราะเหตุนี้ที่ทำให้พี่เขาได้ดาวแยะ) มีลูกเล่นแพรวพราว หรือมีคอมบิเนชั่นของอาหารที่ไม่น่าจะอยู่ร่วมจานกันได้อย่างปลากะพงกับช็อคโกแลตและนม หรือฟรัวการ์กับชาเขียว เป็นต้น เราว่าเค้าเสียเวลาคิดเรื่องการพรีเซนต์อาหารมากกว่าตัวอาหารเองอีกอะ ก็จัดเป็นมื้ออาหารที่สนุกดี ตั้งตารอเมนูต่อไปว่าจะมีอะไรสนุกๆ มาให้เซอร์ไพรส์อีก และราคาร้าน Arzak ก็โหดเหี้ยมมากเทียบเท่ากับความหวือหวาในการนำเสนอ (แคว้ก! <– เสียงเป๋าตังฉีก)

nineu
ร้านตกแต่งโมเดิร์นแบบเท่ๆ เชฟมาจากร้านมิชิลินสตาร์ 1 ดาวจาก Bilbao ตั้งอยู่ข้าง concert hall ริมน้ำเลย ราคาอาหารจะสูงหน่อย แต่ตอนกลางวันเขามีพินโชส์บาร์ และมี mini tasting ให้เลือกสั่งในราคา 12 ยูโร ประกอบด้วยอาหาร 3 อย่าง และขนม 1 เหมาะสำหรับมานั่งพักขา หาอะไรขบเคี้ยวรองท้อง ไม่ใช่กินจริงกินจัง (ไม่งั้นมิอิ่มเจ้าข่ะ)
ที่นี่ใช้ของดี คิดดี ทำดี บางอย่างก็แปลกเช่นเอาปลาค็อดดิบมาคลุกมะนาวและเครื่องเทศ (Bakava tartare) ห่อด้วยไขมันหมู เวลาทานจะมีส่วนกรุบกรอบเหมือนแคบหมูในทุกคำ รสเปรี้ยวหอมเค็ม อร่อยดี ส่วนหมูบาร์บีคิวนั่นก็ให้ความรู้สึกเอเชี่ยนมาก นุ่มหลุดจากกระดูก ที่เราชอบที่สุดคือ bread pudding (อ้วนดี) มีลักษณะเหมือน Honey Toast บ้านเราแต่ไม่ตัดขนมปังเป็นชิ้นเล็กๆ กัดทีจุ๊ยส์เนยไหลย้อย … นี่ถ้าไม่ได้กินกัน 2 คน คงช็อกเพราะน้ำตาลสูงเกินพิกัด
Zeruko
ร้านนี้บริการอุ่นพินโชส์ให้ด้วย แต่ละชิ้นน่าทานไปหมด แถมใช้ความคิดสร้างสรรค์ค่อนข้างแยะนะ เช่นไข่ลาวาในเจลลี่ที่เหมือนไข่จะแข็งสุก แต่จริงๆแล้วเหลวไหลย้อย ปลาหมึกกับพริกย่างและแฮมก็เข้ากันอย่างประหลาด หรือแฮมกับบรีและปลาแองโชวี่มีดอกไม้ประดับน่ารัก กระทั่งเห็ดย่างธรรมดาก็มาพร้อมเมล็ดฟักทองเพิ่มความกรุบ โดยรวมร้านนี้ใช้ของดีและรสอร่อย ไอเดียสูง แต่ยังคงความเทรดิชันนัล
ร้าน A Fuego Negro
ร้านนี้เด่นเรื่อง Tasting Menu ราคาประหยัด มีให้เลือก 2 แบบคือ Super Taste เสิร์ฟอาหาร 13 อย่าง (ที่เล็กๆ) กับ Taste Menu คือ 9 อย่าง หลังจากถามพนักงานแล้วพบว่า แค่ 9 อย่างพวกเองก็น่าจะอิ่มกันแล้วหนา เราเลยสั่งแค่ 9 (เชื่อคนง่าย)
ปกติอาหารแบบ tasting menu เนี่ยจะราคาแพงมาก แต่ที่นี่เขาคิดราว 35 ยูโร/คน ค่าไวน์และน้ำดื่มก็ไม่แพงมากอยู่แล้วที่สเปนเนี่ย รวมๆ กันเราจ่ายไปราว 80 ยูโร คุณภาพอาหารโอเค ระดับความแปลกและคิดลึกมีมากพอให้คุยกันสนุก เช่น เมนู Porrupata Thai ซึ่งออกเสียงคล้ายผัดไทยอยู่นะ เขาเสิร์ฟในกล่องบะหมี่กระดาษอาหารจีน take away มีหน้าตาเหมือนผัดไทย แต่รสและเท็กซเจอร์คือสลัดมันฝรั่งรสเปรี้ยวจี๊ด โรยปลา Bacalao หรือปลาค็อดขาวอันเป็นปลาท้องถิ่นของที่นี่ (มีเสิร์ฟทุกร้าน) มาให้เคี้ยวตัดรสนิดหน่อย
ส่วนเมนู basque chicken เนี่ย ไม่นึกว่าจะเสิร์ฟมาแบบไก่ดิบเลยค่ะ (รูปใหญ่) เขาทำให้สุกด้วยกรดจากมะนาว (แต่แหม…ความอะกึ๋ยส์ก็ยังมานะตอนเคี้ยวเนี่ย) ผลคือรสเนื้อไม่คาว ปรุงแบบลาบไก่บ้านเรา แถมมีข้าวโพดคั่วบดละเอียด ให้อารมณ์ข้าวคั่วเด๊ะเลย (เราว่าคนที่นี่ได้รับอิทธิพลจากอาหารไทย หรือเอเชียค่อนข้างแยะมาก)
อีกเมนูที่สนุกมากคือไอติม กะเกาลัคบด เสิร์ฟพร้อมเปลือกเกาลัคเผา เขาหลอกเราด้วยการทำเกาลัคบดให้เหมือนลูกเกาลัคจริง แต่พอเอาช้อนเคาะลงไป อุ๊ยแตกออกมาเป็นครีมๆ อร่อยดี
โดยรวมค่อนข้างชอบร้านนี้ บรรยากาศออกแนวบาร์ ฟังกี้โจ๊ะพรึมๆ สนุกดี
ร้าน La Cuchara de San Telmo
ร้านนี้เด็ดอ่ะบอกเลย “อร่อยทุกสิ่ง!” เขาไม่มีพินโชส์แบบทำเตรียมไว้ ต้องสั่ง ซึ่งพนักงานจะถามว่าเอาแบบ พินโชส์ หรือ เมน (พินโชส์จะมาจานเล็กมาก แต่เมนจะมาใหญ่หน่อย สำหรับหลายคน) ร้านนี้ไม่มีโต๊ะคร่าาาาา วิธีสั่งคือเราต้องไปยืนจ่อๆ แถวแคชเชียร์ (เขาคือคนรับออเดอร์ ตะโกนสั่งครัว ส่งอาหารให้เราและคิดสตางค์ คนเดียวเบ็ดเสร็จ) พอถึงคิวเราเขาจะหันมา “โฮลา!” ทักทาย นั่นแหละเราก็เอื้อนเอ่ยสิ่งที่ต้องการออกไป ถ้าคนแยะเขาจะถามชื่อ เวลาอาหารมาเขาจะตะโกนเรียกชื่อ เราก็ไปรับมาเกาะเคาน์เตอร์ยืนกินกันตรงนั้นแหละ ร้านแน่น เบียด แต่สนุกมาก (พนักงานหน้าตาดีด้วยกรี๊ด! แต่ไม่ค่อยยิ้ม…ชิส์)
อาหารทุกอย่างจะถูกจี่บนกะทะร้อนจัดให้กรอบนอกนุ่มใน เน้นอีกทีว่า “อร่อยทุกจาน” พวกเราเแวะไปกินร้านนี้ถึง 2 รอบ คนชอบฟรัวการ์ห้ามพลาดเลยอ่ะ รสดีมาก เสิร์ฟพร้อมซอสมัสตาร์ดฮันนี่หวานหอม หนวดปลาหมึกก็กรอบนอกนุ่มใน อีกอย่างที่เด็ดคือทูน่า … รสมันใช่อ่ะ กินแล้วอยากสั่งเพิ่มอีกจานจริงๆ รีซ็อตโต กินแล้วให้ความรู้สึกแปลกในแบบที่ดี ที่นี่เขาขึ้นชื่อเรื่องเนื้อวัวด้วยนะ ย่างแบบ medium rare มาเลย “อร่อย!”
STM Museum
ตัดมาที่เที่ยวเลยละกัน นี่คือมิวเซียมเพียง 1 เดียวในซาน เซบาสเตียนที่เด็ดเกินคาด (ข้อมูลปี 2015: แนะนำให้เข้ามิวเซียมมากๆ) ตัวอาคารดัดแปลงมาจากโบสถ์เก่า หรือปราสาทเก่า หรืออะไรสักอย่าง (ลืมตลอด) แต่มันอลังการให้อารมณ์ขลังดี
นิทรรศการที่เขาจัดนี่ดีนะ อย่างรูปข้างบนสีๆ นั่นเป็นเหมือนใช้มอสย้อมสีแทนความลึกของทะเล (ถ้าจำไม่ผิด) เป็นงานอาร์ตที่สวยและนำเสนอข้อมูลให้ดูออกง่ายๆ เหมาะแก่นักเรียนจะมาทัศนศึกษา เวลาจะเข้าไปดูต้องใส่ถุงเท้าพลาสติกด้วย
ตอนเราไปมีหลายนิทรรศการหมุนเวียน และถาวร ซึ่งนำเสนอของใช้ในชีวิตประจำวันมาจัดแสดง ดูสนุกดูเพลินยิ่งกว่าเคี้ยวโปเต้
เหนืออื่นใดพินโชส์ในคาเฟ่ของมิวเซียม เป็นเหมือนงานอาร์ตอย่างนึง ใช้ของดี และมีความคิดสร้างสรรค์พอประมาณ เช่นฟรัวการ์กับเสาวรส เสิร์ฟในเปลือกเสารส หรือบรีกับกูสเบอร์รี่วางบนขนมปัง (อร่อยมาก) ซาร์ดีนกับสตรอว์เบอรี่วางบนราตาตูลี่รสกลมกล่อม
Aquarium
ไม่แน่ใจว่าชื่ออะไร แต่เมืองนี้เล็ก มีอะแควเรี่ยมแค่อันเดียว เดินไปเรื่อยๆ จนสุดหาดด้านนึงรึไงนี่แหละก็ถึง อยู่ในละแวกตัวเมืองนั่นแล เดินเพลินๆ อ้าวถึงแล้วเหรอ
เป็นอะแควเรี่ยมเล็กๆ เดินดูเพลินๆ สนุกดีนะ เราไปตอนอีก 1 ชม.จะปิดจึงรีบดูอย่างรวดเร็ว
ริมหาด ซาน เซบาสเตียน
มาซาน เซบาสเตียนแล้วไม่เดินหาด มันไม่ใช่ละ
ไม่ใช่ไรนะ เพราะถ้าไม่เดินหาด อาจจะไม่มีอะไรทำเลย ฮ่าๆ (นอกจากกิน)
หาดที่นี่ยาวมากกกกกก เดินได้เป็นชม.ไปเรื่อยๆ ตอนเย็นถึงหัวค่ำ(ในหน้าร้อน) คนพากันออกมาเดินเล่น ทำกิจกรรมสารพัดรูปแบบ เราก็เดินไปส่องคนไปเรื่อยๆ สนุกดี ปลายด้านนึงของหาด (ปลายด้านที่ไกลมากๆๆ) มีรถรางขึ้นเขาไปดูวิวเมืองมุมสูงได้ด้วย บนนั้นมีคาเฟ่แบบบริการตัวเองง่ายๆ ให้นั่งมองวิวได้เพลินๆ พวกเรานั่งกันตรงนี้นานเลย ไม่ใช่เอ็นจอยวิวหรือไรมาก แต่เพราะเมื่อยขา 5555

เดินตลาดสดเมืองซาน เซบาสเตียน
ตลาดเค้ามีทั้งแบบเอาท์ดอร์ และเป็นกิจจะลักษณะ ตัวตลาดใช้กระเบื้องทำเป็นโมเสกตกแต่งซะน่ารักเกินหน้าเกินตา ของขายด้านในส่วนใหญ่เป็นพวกเครื่องกระป๋อง เครื่องเทศ เนื้อสัตว์ เหมาะมากจะมาซื้อกลับบ้าน
จบแล้ว สำหรับทริปสเปนของเรา เป็น 2 สัปดาห์อันเลอค่าแห่งการกินพินโชส์ เที่ยวดูงานคุณเกาดี้และคุณหลุยส์ รวมถึงได้เจอ ได้กิน อะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน และได้รู้ว่าสเปนมันสนุกกว่าที่คิดอีกเย้ออออ ปิดท้ายด้วยรูปเมืองที่ถ่ายมาจากซาน เซบาสเตียนนะ : )































