
ยัยเอ๋น้อยเคยเขียนถึงบิลเบาแบบรวบยอดไว้ใน Elle Decoration Thailand เมื่อกันยา 2016 ใครอยากอ่านแบบสั้นๆ กระชับๆ เน้นที่เที่ยวก็สามารถ คลิกอ่านได้ที่นี่ค่ะ (กราบขอบพระคุณพี่กราฟิกที่ Elle ที่ทำรูปของเอ๋ให้สวยเหมือนมืออาชีพงามมากๆ เลยค่ะ!!)
ส่วนบล็อกนี้จะเขียนแบบไดอารี่นะจ๊ะ
จากบล็อกก่อน เรายังอยู่ที่มาดริด เที่ยวครบ 3 วันก็จับรถไฟเดินทางมาบิลเบา อยากบอกว่าที่สเปน (หรือประเทศไหนในโลกที่พัฒนาแล้ว) รถไฟออกตรงเวลามากระดับนาที ดังนั้นอย่าสายนะ ไปรอเขาดีกว่าจะเห็นเขาผ่านฉิ้ววววไปต่อหน้าต่อตา
รถไฟที่บูจองคือ first class ราคาแพงกว่าปกติแค่ราว 5 ยูโรเอง แต่เราจะได้เบาะกว้างกว่านั่งสบาย มีหนังสือพิมพ์ให้อ่าน มีเมนูสแน็คให้สั่งถ้าหิว(จ่ายตังเพิ่ม) มีที่แขวนโค้ต มีที่วางเป๋าเดินทางแบบเป็นกิจจะลักษณะ มีหนังให้ดู (แต่อ่าม….ซับฯ สเปน!) และอบอุ่นแสนสบาย (ตอนนั่งรถไฟไป Toledo นี่เย็นเยือกทีเดียว) เหมาะกับการเดินทาง 5 ชม.จริงๆ ที่สำคัญทุกคนในโบกี้นี้ อายุเฉลี่ยสูงมาก (เราจัดอยู่ในพวกนี้ด้วย??) ก็เลยสุภาพ สงบ และคูลกันสุดๆ ไม่หนกขูอะไรเลย
ขึ้นรถไฟได้ คุณบูเปิดหนังสืออ่าน แล้วก็วอรี่ว่าถ้าแบตต์โน้ตบุ๊กเราหมด(เหลือ 17%) เอ่น้อยจะทำอะไร (กลัวกวนใจเธอล่ะซี้) หึหึ…ถ้าหมดเอ็งโดนกวนแน่เจ้าบูเอ๋ย
แต่เปล่าหรอก…ยัยเอ๋น้อยไม่ได้ปีศาจถึงเพียงนั้น ไม่มีโน้ตบุ๊กไว้ดูเคโซป ก็มองทัศนียภาพของบ้านนอกสเปนนอกหน้าต่างสิ สนุกออก ยิ่งมาดริดเป็นที่ราบกว้างใหญ่ เพราะเขามักปลูกต้นเรปซี้ด? ไว้ทำน้ำมัน มันเลยยิ่งสวย บางจุดก็เป็นฟาร์มเลี้ยงวัว เลี้ยงม้า เลี้ยงแกะกันบนภูเขา บางช่วงเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ ที่บ้านสร้างจากหินและปูหลังคาสีแดงให้อารมณ์ยุคเมดิวัลมากๆ มันแปลกตาไงเราเลยสนุกดู ดูไปดูมาเห็นรุ้งตัวอวบอ้วนด้วย เพราะฝนตกพอดี …แล้วแบบนี้ฉันจะอยากไปกวนใจเธอทำไม้ ฮะเจ้าบู? (ตาอีวิล)
สถานีรถไฟ Bilbao
ช่างแจ่มฟ้าตระการตา แค่ลงรถไฟ stained glass ขนาดใหญ่บึ้มของสถานี ก็ทำให้พี่หัวลำโพงของเราอายม้วน สีสันที่เขาเลือกใช้ (ฟ้าพาสเทล แดง เหลือง!) รวมถึงหลังคาไม้นั่นมันน่ามองไปซะหมด
บูเล่าว่า แต่ก่อนบิลเบา เป็นเมืองที่ไม่มีตู้อะไรเลย วันนึงผู้ปกครองเมืองก็เกิดฮึด ชุบโฉมที่นี่ใหม่ให้กลายเป็นเมืองที่อุดมด้วยศิลปะชนิด to the max เอา Lord Norman Foster ที่ออกแบบสนามบินฮ่องกง มาออกแบบ metro ที่นี่ ทำให้มันกลายเป็นเหมือนฉากหนึ่งในหนังไซไฟไปเลยค่า สุดยอดมากๆ


เราเดินฝ่าลมหนาวจากสถานีมา ibis hotel (จองจากบุ๊กกิ้ง.com) ใช้เวลาราว 10 กว่านาที ระหว่างทางสังเกตเหมือนกันว่าร้านรวงปิด ถนนเงียบๆ แต่ก็คิดว่าอาจจะเป็นแค่ถนนเส้นนี้ที่ปิด แต่พอเช็คอิน เก็บของ ออกมาหาอาหารเย็นกินจึงพบว่า…มันปิดจริงว่ะ จังหวะเมืองที่นี่ต่างจากมาดริดมาก เพราะมาดริดจะเปิดหัวค่ำและปิดดึก แต่ที่นี่หัวค่ำทุกร้านปิดเกือบหมดแล้ว
โชคยังดี มีร้านพินโชส์ ให้เลือกกิน 2 ร้านคือ Irrintzi, pintxos &friends ที่เจ๊เจ้าของพิมพ์หน้าตัวเองลงบนทิชชู่ของร้าน (อยากจะเรียกว่าเจ๊มั่น) บูบอกว่าคนพูดถึงร้านนี้ในแง่ของมีพินโชส์แปลกๆ ให้เลือกกินหลายอย่าง เราเลือกฟาราเฟลกะฮาม็อง ส่วนบูเลือกพริกหยวกยัดไส้ชีสกะไข่ อีกอันคือปลาบดเคลือบแป้งทอด เราว่าก็โอนะ แต่ไม่ได้อร่อยว้าววิ้วกิ้วๆ โดยเฉพาะถ้าคนไม่ชอบอาหารเย็นๆ นี่อาจจะไม่ปลาบปลื้มเท่าไร กินกันแค่นี้ก็คิดว่าพอละ ไปลองร้านอื่นบ้างดีกว่า (ออกแนวไม่เจียม ทั้งที่ไม่ค่อยมีร้านให้เลือกมาก)
ปล.พินโชส์ (Pintxos) คือ รูปแบบอาหารประจำชาติสเปนอย่างนึง จะมาชิ้นเล็กๆ ส่วนใหญ่เน้นแปะบนขนมปัง เสิร์ฟเย็น ร้านมาตรฐานจะวางพินโชส์ไว้บนเคาน์เตอร์ให้เราหยิบใส่จานเองได้ มีคำอธิบายสั้นๆ ว่ามันคืออะไร เวลาจ่ายตังก็นับไม้เอา บางร้านก็ต้องสั่งเค้าถึงจะหยิบให้ หรือบางร้านเขาจะทำสดๆ เสิร์ฟร้อนๆ ร้านแบบนั้นคนก็จะเยอะหน่อยเพราะต้องเสียเวลารออาหารด้วย ใครชอบกินอาหารแปลกๆ ได้ลองกินหลายๆ แบบ มาสเปนจะสนุกเพราะอาหารส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ โดยเฉพาะเมือง Bilbao และ San Sebastian
อีกร้านที่เราเข้าไปชื่อ Victor Monces เป็นร้านเก่าแก่ขึ้นชื่อ (ซึ่งมีร้านนึงชื่อ victor เหมือนกันเลยอ่ะ แต่ร้านใหม่กว่า บูบอกว่าน่าจะก๊อปชื่อมาเผื่อลูกค้าหลงเข้าโดยไม่รู้ตัว แต่คนก็มีกินนะ แล้วร้านก็ดูดีพอควร) ร้านนี้เด็ดอ่ะ เพราะเค้ามีพวกเนื้อสัตว์กระป๋องคลุกเมโย่แล้วปรุงรสให้กลมกล่อม โปะลงบนขนมปัง เราเลือกแฮมชีส (หน้าตาผิดกับแฮมชีสแบบคลาสสิกที่เคยเห็น เพราะใช้แฮมฮาม็องดิบๆ) บูเลือกทูน่าสลัดกะมัชรูม ซึ่งอร่อยอะ ลุงพนักงานก็ใจดีมาก (ยกเว้นเคืองพนักงานเก็บตัง ที่พอจะสั่งพริกย่่าง รีบสั่นหัวบอกว่าร้านจะปิดแล้ว (โว้ย)) ลักษณะอายุพนักงานรวมกันแล้วคงย้อนไปถึงยุคคิงเฮนรี่ที่ 1 ได้อ่ะ

แค่คืนแรกในบิลเบา เราก็สังเกตเห็นความพิเศษของร้านพินโชส์ของเมืองนี้ได้
หนึ่งคือ เค้าใช้ระบบไว้เนื้อเชื่อใจมาก ปกติเวลาคิดตังเขาจะใช้วิธีนับไม้ (ไม่เก็บตังก่อนด้วยนะ ถ้าเราหย่อนไม้ทิ้งลงพื้นล่ะ จะเกิดสิ่งใดขึ้น?) แต่ร้านทั้งสองที่เราเข้าไปกิน ใช้วิธีถามลูกค้าเอาข่ะคู้ลลลลลล ว่ายูว์หม่ำไปกี่อย่างงิ!!?? เล่นเอางงไปเลย โดยเฉพาะร้านแรก พวกเรากินไป 3 จาน แต่ไม้มันมีแค่ 2 เค้าเลยจะคิดตังแค่สอง ต้องรีบบอกว่าจริงๆ แล้วพวกเราเขมือบกันไป 3 จาน นะคะ โอย…ขาดทุนบ้างไหมคะขุ่นพี่!
และราคาก็มาตรฐานมาก ไม่แพงเว่อร์วังอะไรทั้งสิ้น ดังนั้น…สั่งเหอะไม่ต้องกลัว!!!
กินเสร็จพากันเดินฝ่าลมหนาวกลับมาโรงแรมด้วยการเปลี่ยนเส้นทาง เพราะทางที่กูเกิลเลือกให้ต้องเดินผ่านจุดที่…เรียกว่าไรดีอ่ะ มีคนดำมายืนรวมตัวกันบนถนนเป็นกลุ่มๆ ยังกะมีงานรื่นเริง พอถามบูเล่นๆ ว่าเค้ามายืนรอส่งยาเหรอ บูบอกหน้าตาย “เออ”
นึกว่าบูล้อเล่น แต่พอเดินไปอีกไม่ถึง 10 ก้าว เจอรถกะตำรวจจอดคุมเชิงอยู่เลยคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง…โอววว์…หม้ายยยย
อันว่าคนดำไม่ได้แปลว่าเขาเป็นคนไม่ดี แต่ใจนี่แหละที่กลัวล่วงหน้าไปเอง แม้จะเตือนสติตัวเองเสมอๆ ว่าอย่าตัดสินคนจากรูปลักษณ์…อีกอย่างก่อนมา มีคนเขียนบอกไว้แล้วว่า ย่านนี้เหมือนจะน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วไม่ได้น่ากลัวนะ เดินได้สบายๆ (แม้เขาจะขายยาจริงก็ตามงิ)
คืนแรกกลับถึงโรงแรม สั่งชาคาโมมายล์มาจิบให้อุ่นๆ อาบน้ำแล้วก็นอน เตรียมตัวแอ่วบิลเบาแบบเต็มที่ในวันที่สองจ้ะ
