เป็นบันทึกเที่ยวอิตาลีในปี 2012 ของเรากับเพื่อนสาวนามกรว่าก้อย
ตอนนั้นเราได้รับความอุปกระที่พักจากเพื่อนสาวชื่ออุ้มและสามีเปาโล ในเมืองเทรนโต แล้วอาศัยนั่งรถไฟไปเที่ยวยังเมืองต่างๆ

วันเสาร์แรกในอิตาลีของพวกเรา! อิฉันตื่นแต่เช้าล้างหน้าสีฟัน โดดขึ้นรถให้เปาโลไปส่งที่สถานีรถไฟเมืองเทรนโต จุดหมายปลายทางคือ Bolzano ซึ่งถ้านั่งรถไฟธรรมดาใช้เวลา 50 นาที รถไฟเร็วใช้เวลา 30 นาที ค่ารถคนละ 5.05 ยูโร (ปี 2012)
แรงจูงใจที่ทำให้พวกเรายอมลุกจากที่นอนอุ่นๆ ตั้งแต่ไก่โห่ ก็คือคำโฆษณาของอุ้มที่ว่า “ทุกเสาร์จะมีตลาดนัดกลางแจ้ง ที่ขายทั้งของใช้ ของกิน สารพัดอย่าง เป็นตลาดที่ใหญ่มากน่าเดิน”
ระหว่างนั่งรถไฟหวานเย็น เราเริ่มทำความรู้จักโบลซาโน พบว่าคุณภาพชีวิตของที่นี่ดีเป็นอันดับหนึ่งของอิตาลีในปีค.ศ.2010 และดีเป็นอันดับที่ 2 ในปีค.ศ.2011 ด้วยความที่ที่นี่เป็นพรมแดนติดกับเยอรมัน ดังนั้นจึงไม่แปลกเมื่อพบว่าหลายสิ่งหลายอย่างในเมืองมีความเป็นเยอรมันสูงส่ง ผู้คนประมาณ 75% พูดภาษาอิตาเลียน ขณะที่อีก 24% พูดภาษาเยอรมัน และอีก 1% พูดภาษาละดิน (ไม่ใช่ละตินนะ) อาคารบ้านเรือนก็แตกต่างไปจากเมืองเก่าของเทรนโต ภาษาที่ใช้เขียนป้ายต่างๆ เป็นภาษาเยอรมันเสียส่วนใหญ่

จากสถานีรถไฟโบลซาโน เดินด้วยเท้า 5 นาทีก็จะถึงตัวเมืองเก่า (ไหลตามผู้คนไปข่ะ!) ความหิวทำให้พวกเราแวะร้านเดลี (Deli) ที่แสดงถึงความเป็นเยอรมันมากๆ จากชื่อร้าน Panificio Franziskaner Bäckerei ซึ่งคำว่า Bäckerei หมายถึง Bakery ในภาษาอังกฤษ
ได้ฟอคาเซีย (Focaccia – ขนมปังแผ่นแบนของฮิตในอิตาลี ที่ใช้น้ำมันมะกอกเป็นเบส โรยหน้าด้วยสมุนไพร ผักและเนื้อบ้าง แต่ไม่มีชีส) มาแบ่งกันกินคนละครึ่งแผ่น ออกแนวประหยัดท้องไว้เผื่อเจออาหารอร่อยกว่าที่บ่อน้ำข้างหน้า
และจริงดังคาด เพราะงับฟอคาเซียยังไม่ทันหมดแผ่นดี เราก็เดินมาถึงจัตุรัสขนาดเล็กกลางเมืองเข้า ที่นี่มีแผงร้านค้าขายไส้กรอกไบโอ พวกเราจึงตัดสินใจสั่งไส้กรอก มาแบ่งกันทานคู่กับน้ำแอปเปิลอุ่น
น้ำตาเกือบไหลตอนกัดไส้กรอกคำแรก มันอร่อย! ยัยเมียนี่ไม่ชอบไส้กรอกเยอรมันนะ แต่คงเป็นเพราะย่านนี้เค้ามีสไปซ์ที่ต่างจากย่านอื่นมั้ง เลยกินคล่องเชอ (หรืออีกทีคือหิวโฮก) ยิ่งทานกับน้ำแอปเปิลสดอุ่นๆ ที่เสิร์ฟมาในถ้วยกระเบื้องดินเผาแล้ว ฉันพบว่าการมาโบลซาโนคุ้มค่าแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด ใจอยากเบิ้ลน้ำแอปเปิลรสละมุนอีกสักแก้ว ก็กลัวจะปวดชิ้งฉ่อง อากาศเย็นๆ แบบนี้ปวดง่ายเสียด้วย เรียกว่ายัยเมียประทับใจจริงจัง ขนาดเก็บไปฝันถึงเลยทีเดียว
บรรยากาศตอนนั่งทานก็สนุกไม่หยอก มุมหนึ่งมีรับแต่งหน้าเด็กๆ ทั้งหลายให้กลายเป็นสัตว์น้อยน่ารัก บางแผงขายผักจากสวน บ้างก็ขายขนมปังโฮมเมด กินไป สอดส่องผู้คนไป ไส้กรอกและมันบดก็หมด…เดินต่อสิคะ
ตัวเมืองโบลซาโนไม่เล็ก แต่ก็ไม่ใหญ่บึ้ม คล้ายว่าจะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือส่วนตัวเมืองเก่า ถนนเส้นเล็กปูด้วยหิน สองข้างทางเรียงรายด้วยอาคารสวยงาม ด้านล่างเป็นร้านรวงสารพัดรูปแบบ ทั้งร้านขายเครื่องครัว ร้านเบเกอรี่ ร้านดอกไม้ ร้านเครื่องเขียน ร้านขายของเด็ก
เมื่อมองไกลออกไปก็จะพบว่าเราถูกโอบล้อมด้วยเขาสูงตระหง่าน ยอดเขียวของมันตัดกับท้องฟ้าสีครามเข้มที่ไร้เมฆโดยสิ้นเชิงในวันนี้ ร้านรวงแถบนี้จะปิดพักกลางวันตั้งแต่เที่ยงหรือบ่ายโมง ไปถึงประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง ตามธรรมเนียมของร้านในอิตาลีทั่วไป

ขณะที่อีกด้านซึ่งเป็นจัตุรัสใหญ่เหมือนเป็นไฮสตรีท ส่วนใหญ่เป็นร้านแบรนด์เนมทั้งหลาย หรือร้านโลคัลระดับหรูขึ้นมาหน่อย ร้านส่วนใหญ่ด้านนี้จะไม่มีการปิดพัก ดังนั้นหลังเที่ยงคนจึงพากันมาเดินเล่นแถบนี้คับคั่ง
ร้านรวงต่างๆ ตกแต่งได้น่ารัก บ้างก็เอากระถางดอกไม้มาประดับ กระทั่งการตกแต่งกระจกหน้าร้านก็มองเพลินแล้ว
ตลาดนัดโบลซาโน
ตัวตลาดนัดตั้งอยู่ติดสะพานข้ามแม่น้ำ ถ้าหลงทางถามใครก็ได้ รับรองว่ารู้จักแน่นอน ไฮไลท์อย่างนึงคือการยืนกินลมพิจารณาวิวสวยๆ ของเมืองบนสะพานนี่แหละ มันสวยจนแทบลืมหายใจ หันมองไปด้านหนึ่งจะพบเทือกเขาสูงตระหง่าน ด้านล่างมีสายน้ำใสแจ๋วไหลผ่าน ผิวหน้าของมันยามต้องแสงแดดเป็นประกายระยิบระยับสวยจับใจ มองเพลินๆ ได้ไม่รู้เบื่อ
ขณะที่อีกด้านอยู่ติดกับเขาเตี้ยๆ ที่ปกคลุมด้วยหญ้าเขียว สลับกับต้นไม้ใหญ่และบ้านเรือนผู้คนประปรายขึ้นไปจนกระทั่งถึงยอด คล้ายกับว่าถ้าเอื้อมมือเราจะจับมันได้ ตีนเขามีคาเฟ่เล็กๆ น่าเข้าไปนั่ง (แต่ไม่ได้ไป 555)
สองสาวยืนกันอยู่ตรงนี้พักนึงเลย…
โดยรวมแล้วตลาดนัดกลางแจ้งแห่งนี้ มีผัก ผลไม้ พืชสวน พืชไร่ และวัตถุดิบในการทำอาหารเป็นส่วนใหญ่ มีอาหารสำเร็จประเภทขนมปัง ไก่ย่าง แฮมรมควันในถุงสูญญากาศรสชาติเข้มข้นหอมควัน หรือที่เรียกกันว่าสเป็ค (Spec) อีกด้านหนึ่งเป็นพวกข้าวของเครื่องใช้และเสื้อผ้า อาณาบริเวณของมันกว้างขวาง จนถ้าจะเดินให้ทั่วน่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงเต็มๆ
“เดี๋ยวขากลับเราซื้อไก่กลับไปกินที่บ้านอุ้มกัน” ก้อยว่า ฉันเห็นด้วย
เดินสักพัก ปวดชิ้งฉ่องจนได้ ^^” เลยเข้าไปสั่งน้ำในคาเฟ่เล็กๆ เพื่อจะพบว่าภาษาคืออุปสรรคอย่างใหญ่หลวงแม้เพียงแค่จะบอกว่า ขอชามะนาว 2 แก้ว แต่เดชะบุญ มีนักท่องเที่ยวโลคัลซึ่งสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อยู่ใกล้ๆ พวกเค้าเลยช่วยเราสั่ง ได้น้ำอร่อยชุ่มคอมาดื่มสมใจ
ทีเด็ดคือคุณป้าเค้าเสิร์ฟของกินเล่นมาให้พร้อมเครื่องดื่มด้วย มันคือ….ทาร์ตหน้าแองโชวี่ (เอิ่ม…)
เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ แค่เห็นยังรู้สึกเลยว่าคาว ดังนั้นพอจับเข้าปาก(แค่จึ๋งเดียว) อานุภาพมันร้ายแรงม๊าก โคตรคาวจนเกือบจะบ้วนออกมา มานั่งนึกตอนหลังคิดว่าถ้าเราไม่แตะต้องเจ้าทาร์ตนั้นแต่แรก คุณป้าเค้าคงเอาไปเสิร์ฟคนอื่นต่อไป เฮ้อ…culture ที่แตกต่างนี่บางทีเราก็ต้องค่อยๆ เรียนรู้เนาะ แบบนี้เราถึงจำเป็นต้องออกเดินทางต่อไปเรื่อยๆ ไง (ฮี่ๆๆ)

พอกินและเข้าห้องน้ำเสร็จ เราลาคุณป้า และหันไปขอบคุณนักท่องเที่ยวโต๊ะข้างๆ อีกรอบ ก่อนออกสำรวจตลาด ซื้อมะเขือเทศแบบแฮร์ลูมกลับบ้านอุ้ม อันว่ามะเขือเทศแฮร์ลูม (Heirloom Tomatoes) คือมะเขือเทศที่เพาะปลูกกินกันในครอบครัว เป็นสายพันธุ์ที่สืบทอดกันมาเป็นรุ่นต่อรุ่น ไม่ใช่ที่ปลูกกันเป็นฟาร์ม เป็นสวนเพื่อจำหน่ายทีละมากๆ ดังนั้นลักษณะของมันจึงไม่สวยเท่า บางลูกอาจมีสีเขียวคล้ายช้ำเลือดช้ำหนอง เป็นรอยหยัก ไม่สม่ำเสมอ ด้านหนึ่งใหญ่กว่าอีกด้านหนึ่งเป็นต้น แต่มะเขือเทศแฮร์ลูมจะเน้นที่ความอร่อยมากกว่า ขณะที่มะเขือเทศอุตสาหกรรมจะเน้นความแดงสวย กลมดิกเท่ากันทุกลูก แต่ความหวานอร่อยจะน้อยกว่า
แน่ล่ะ เราแวะแผงไก่หมายจะซื้อไก่ย่างกลิ่นหอมฉุยกลับไปด้วย แล้วก้อยก็ดำริขึ้นมาว่า เราน่าจะลองเฟรนช์ฟรายส์ของเค้ากันดู ว่าจะอร่อยเหาะหรือไม่ ฉันกระโดดร่วมวง อะไรทอดๆ ใช้น้ำมันซ้ำซ้อนน่ะของโปรด

และแล้วอุปสรรคด้านภาษาก็บูมเมอแรงค่ะ (วนกลับมาที่เดิมมมม) คนขายพูดภาษาอังกฤษไม่ได้! ฉันรออย่างอดทนเพราะแผงนี้คนค่อนข้างแยะ จนเมื่อถึงคิว จึงร้องสั่งเป็นภาษาอังกฤษ
“ฮาล์ฟชิคเก้น แอนด์ ฟรายส์” ฉันพูดเสียงดัง มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าต้องรู้เรื่องแน่ มันเป็นศัพท์ง่ายๆ กะเหรี่ยงอย่างฉันยังเข้าใจ
ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคือใบหน้าฉงนของคนขาย จากนั้นเขาก็พยายามใช้ภาษากายถามกลับ
ทะนั้นแหละ อิเมียจึงโยนตำราภาษาอังกฤษทั้งหมดทิ้งลงคูไป ใช้มือจิ้มไปที่ไก่ในตู้กระจก แล้วทำมือเป็นท่าหั่นครึ่ง (ตอนนั้นไม่ขำนะ แต่ต้องทำ!) จากนั้นชี้ไปที่กะทะฟรายส์ ก่อนโชว์นิ้วชี้บอกให้รู้ว่า ขอหนึ่งค่ะพี่
คนขายหันตามมือฉันที่ชี้ แต่พี่แกก็ยัง…ไม่เข้าใจ … แง๊!
ถึงตอนนี้สายตาทุกคู่ของคนที่ยืนออรอไก่ เหมือนจะจ้องมาที่อิฉัน ด้วยความที่คิดว่าอาจจะทำให้คิวด้านหลังเสียเวลา เลยแทบจะถอดใจ ไม่ซื้อมันละคุณไก่ย่างเจ้าปัญหา จะอร่อยแค่ไหนก็คงต้องปลอ่ยยย
แต่ก่อนที่คำว่า “ไม่เป็นไร ไม่เอาละ” จะหลุดปากออกไป อยู่ๆ สาวน้อยคนหนึ่งก็ปราดมาจากอีกมุมหนึ่งของแผง“คุณจะเอาไก่ครึ่งตัวกับฟรายส์ใช่ไหม” รู้เลยว่าตอนนั้นฉันอ้าปากหวอ แต่ก็รีบพยักหน้ารับ จากนั้นสาวเจ้าก็หันไปรัวภาษากับคนขาย บอกให้รู้ว่าความต้องการของฉันคืออะไร และสุดท้ายฉันก็ได้ไก่ครึ่งตัวกับฟรายส์มาถือในมือ
จะบอกว่าช่วงเวลานั้นคือโมเมนต์ที่ดีที่สุดของวันก็คงใช่ เธอผู้นั้นเป็นเสมือนนางฟ้าที่เข้ามาช่วยเด็กตัวน้อยในสถานการณ์อันยากลำบาก รักอ้ะ รักผู้หญิงคนนั้นมาก ก่อนจากฉันจึงขอบคุณยกใหญ่ แทบจะโผเข้ากอด เรื่องเล็กๆ แต่ให้คุณค่าทางใจมหาศาลจริงๆ
จำไม่ได้แล้วว่าไก่กะฟรายส์นั่นอร่อยรึเปล่า จำได้แต่เหตุการณ์ผู้หญิงใจดีคนนั้นมาช่วย แค่นั้นก็พอแล้วมะใช่เหรอ
หลังจากนั้นต่อมา ถึงเริ่มเข้าใจว่าคนอิตาลีตอนเหนือเค้าพูดภาษาอังกฤษกันไม่ได้มาก แต่น้ำใจเค้าประเสริฐกว่านั้นมากๆ กันเองสุดๆ ไม่ว่าจะไปไหนเลยทำให้เรารู้สึกอบอุ่นปลอดภัย แม้จะพูดภาษาอิตาลีไม่ได้เลยนอกจาก “กราซี” (ขอบคุณ)
พวกเราเดินเล่นบนถนนช้อปปิ้ง ที่ดูเหมือนจะยาวจนไร้ที่สิ้นสุด และนั่งรถไฟเที่ยว 16.05 น. กลับเทรนโต แม้ตอนเดินจากป้ายรถเมล์เข้าบ้าน เท้าจะปวดนิดหน่อย ไหล่ล้าเล็กน้อยจากการแบกข้าวของที่ชอปตลอดทางจนเป๋าตุง แต่ก็แฮปปี้และหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เมื่อได้กินอาหารอร่อยๆ ฝีมืออุ้ม เมนูวันนี้คือพาสต้าเห็ดออรินจิที่ก้อยหอบมาจากเมืองไทยนั่นเอง อุ้มนวดแป้งและรีดเป็นเส้นยาวตากไว้ตั้งแต่กลางวัน ตกค่ำเส้นก็แห้งพอใช้ทำอาหารได้พอดิบพอดี เราสองคนนี่โชคดีเสียนี่กระไร
