เที่ยวบอสตัน

dscf3283

กะเป็นอีกหนึ่งปุบปับทัวร์ ที่กว่าจะรู้สำนึกว่ามีวันหยุดไปเที่ยว 3 วันได้ ค่าตั๋วรถไฟเอย ค่าโรงแรมเอย…ก็แพงทะลุมิติไปแล้ว เดชะบุญได้เงิน 100 เหรียญเป็นรางวัลจาก airbnb ในฐานะ super host ติดต่อกัน 1 ปี เลยเอามาลดค่าห้อง พอประทังชีวิตไปได้บ้าง… #แม่บ้านสุดๆ

บอสตันมีอะไรเที่ยว? สรุปง่ายๆ ก็คงแบบนี้
1. เดินเทรลหลักๆ เช่น Freedom Trail, Harbor Trail
2. ตามรอยเมืองที่ในหลวงที่รักของพวกเราประสูติ และที่ประทับของสมเด็จย่า
3. กินซีฟู้ดให้คลอเรสเตอรอลทะลุเพดาน เพราะที่นี่เป็นเมืองท่า อุดมด้วยนานาซีฟู้ด
4. เดินเล่นย่านมหาวิทยาลัย Harvard, MIT เข้ามิวเซียม่ของ Harvard
5. เดินย่านชอปปิ้ง Newbury street
6. ไปอะแควเรี่ยมและ Whale Watch

ไปมา 3 วัน เลยขุดมาได้แค่นี้ ถ้าไปนานกว่านี้คงไปขุดซอกอื่นมาได้อีก

dscf3427

 

Day 1
Harbor Walk / Union Oyster House / Italian town / Freedom Trail / Newbury St. / Marliave

ออกเดินทาง จากนิวยอร์กนั่งรถไฟ Amtrak ที่ Penn Station  ราว 3.5 ชม.ก็ถึงบอสตัน ถ้าลงดาวน์ทาวน์ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักๆ เขาเลยก็ลงสถานี South Station 

รถไฟเที่ยวเช้าม๊ากคือ 7 โมง พอได้ที่นั่งอิฉันก็หลับเงก ผ่านไปสักชม.คุณบูตื่นมาให้ดูวิวสองข้างทาง ที่เป็นใบไม้เปลี่ยนสีเหลืองส้มแดงสวยเชอ จะว่าไปเส้นทางรถไฟนิวยอร์ก-บอสตัน จัดเป็นหนึ่งในเส้นทางกินลมชมวิวแจ่มๆ เหมาะจะนั่งชมวิวกะสุดที่เลิฟมาก

แต่อิฉัน…ดูๆ ได้สักพักหนังตาก็เริ่มหย่อน จึงเฝ้าพระอินทร์อีกรอบ คร่อก…

สถานี South Staion เป็นสถานที่มีทั้ง Starbucks, Au bon pain, dunkin donut คือหิวๆ มาไม่อดตายอะพูดง่ายๆ เล็งแก้วกาแฟสะสมเมือง Cambridge ของตาบักไว้ด้วย ขากลับค่อยมาสอย จะได้ไม่ต้องแบกไปมาตลอดทาง 

img_7825
South station,Boston.
img_7826
ทางลงสถานีรถไฟในบอสตัน


12.00 : Harbor Walk
เป็นทางเดินเลาะริมชายฝั่งไปเรื่อยๆ วิวทิวทัศน์งี้แจ่มมาก ขาว ฟ้า น้ำเงิน มองเห็นเครื่องบินขึ้น-ลงสนามบินได้สวยๆ  แต่วันที่เราไปลมแรง Level 4 (สูงสุด) เดินๆ นี่ตัวแทบจะปลิว หัวเหอฟูฟ่อง เวลาเดินต้องเอาหัวพุ่งแหวกอากาศไปก่อนไม่งั้นไม่มีแรงต้าน เอาเป็นว่าใครอยากมา…ออกจากสถานี South Station เดินมาทางขวาไม่นานก็จะเจอป้ายบอกทางชัดเจน

 

เส้นทางนี้ผ่านสิ่งที่เขาเรียกว่า “Tea Party” ของบอสตัน เดินไปเดินมาในเมืองจะเห็นคำนี้อยู่เนืองๆ ซึ่งอย่าเผลอเข้าใจผิดเหมือนอิฉันตอนแรกล่ะ ว่ามันคือปาร์ตี้น้ำชาสำราญเฮฮา เพราะแท้จริงคำนี้คือจุดเริ่มต้นในกระบวนการปฏิวัติเพื่อแยกตัวออกจากอังกฤษของเมกาเขา

(เนื้อหาต่อไปนี้เป็นส่วนประวัติศาสตร์นิดๆ ใครไม่อินก็ข้ามๆ ไป:
ยุคแรกที่คนอังกฤษอพยพมายึดเมกา บริอิชทั้งหลายก็มาที่บอสตันก่อนเป็นอันดับแรก ที่นี่จึงกลายเป็นเมืองที่เก่าแก่เกือบจะที่สุดของประเทศก็ว่าได้ พี่บริอิชท่านครองเมืองอย่างสำราญ สร้างตึกอาคารหลายแห่งที่ละม้ายคล้ายอังกฤษ ชื่อแซ่อะไรหลายอย่างก็เอามากันดุ้นๆ เหล่าชนชาติอื่นที่มาอยู่ร่วมก็คงอึดอัดเหมือนกันแหละแต่เก็บข่มไว้

ตะบมาแตกตอนที่เรือขนชากำลังจะลอยตุ๊บป่องมาเทียบท่าที่บอสตัน พี่อังกฤษเขากักไว้แล้วบอกว่าถ้าอยากดื่มชานี้ ยูวต้องจ่ายค่าภาษีให้ไอก่อน … เหล่าเมกันก็ของขึ้นสิคะ นี่มันประเทศฉันนะเฟร้ย เราอยู่ด้วยกันแท้ๆ ทำไมต้องจ่ายภาษีให้แกวะ ฉันไปเป็นเมืองขึ้นแกตอนไหน! พิษรักแรงหึงเลยทำให้หน้ามืด เทชาทั้งลำเรือลงปากแม่น้ำประชดหมูหมาซะเลย จากนั้นขบวนการขับเคลื่อนเพื่อแยกตัวเป็นอิสระจากอังกฤษก็เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรกที่แมสซาซูเซตต์ และมีการประกาศอิสรภาพตามมา ซึ่งเกิดขึ้นก่อนการประกาศอิสรภาพในฟิลลาเดลเฟียในวันที่ 4 กค. เสียอีก เพียงแค่ตอนนั้นเมกายังไม่มีการรวมประเทศ แต่ละเมืองอยู่กันอย่างเสรี การประกาศอิสรภาพในแมสซาซูเซตต์จึงไม่ถือเป็นเรื่องระดับประเทศ และขณะที่นี่พยายามแยกตัวจากอังกฤษ ทางเมืองอื่นๆ เช่นฟิลลาเดลเฟียก็เริ่มเคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน)

img_7833
จุดเกิดเหตุ Tea Party ที่ตอนนี้กลายเป็นเรือร้านอาหารไป ปาร์ตี้จิงละ

12.30 : Union Oyster House ย้อนอดีต 1 สัปดาห์ก่อนมาบอสตัน เรานั่งกินสเต็กฟริตซ์ที่ร้าน Balthazar ในนิวยอร์ก มีโอกาสคุยกับคู่รักเยอรมันที่นั่งโต๊ะติดกัน พอรู้ว่าเขาเพิ่่งมาเที่ยวบอสตันเลยให้แนะนำที่กินเที่ยวซะเลย (แล้วคู่รักนั้นก็ให้เราแนะนำที่เที่ยวเมืองไทยเป็นการตอบแทน) นางบอกว่าร้านนี้เด็ด เป็นร้านอาหารเก่าแก่ที่สุดในเมกา ขายพวกซีฟู้ด พวกยูวต้องจองล่วงหน้าก่อนนะ เพราะคนแน่นมาก

คุณบูเลยจองผ่าน top table ก่อนวันไป 3 วันเพื่อจะพบว่า…ดินเนอร์เต็มค่าาาาา เหลือแต่ลันช์…ดังนั้นพอหลุดจากขบวนรถไฟได้ เราก็พาตัวเองมากินด้วยความหิวโฮก (ตั้งกะตี 5 ได้กินแค่กราโนล่ากะนมเย็นๆ ชามเล็กจิ๋ว)

จริงๆ ตัวร้านใหญ่มาก แต่ลูกค้าแยะกว่า บรรยากาศบนชั้นสองนี่พาให้นึกถึงอดีต เพราะสลัวจนแทบมองอาหารไม่เห็น เพ่งเมนูตาแทบหลุด แต่ฟันธงว่า “อาหารอร่อย ราคาไม่เว่อร์” เราชอบเกือบทุกอยา่งโดยเฉพาะ Clam Chowder …จัดให้อยู่อันดับ 1 ของทริปเลย มันครีมมี่ รสกลมกล่อมกำลังดี เนื้อหอยหนึบๆ ผัวเมียคู่นี้จ้วงแข่งกันแบบไม่มีใครยอมวางช้อน  (ทริปนี้กินเมนูซ้ำๆ ทุกวัน เพราะอยากพิสูจน์ว่าที่ไหนอร่อยกว่ากัน) มีโต๊ะปธน.Kennedy ด้วย แต่พวกเราไม่ได้นั่ง

img_7871
คงไม่ต้องเซดถึงความสลัว…..เมนู Ye old seafood platter จุดเริ่มต้นแห่ง fried clams ของโปรดของเฮา ทอดดีงามมาก จานนี้สำหรับ 2 คนกำลังดี
img_7868
Clam Chowder อันดับหนึ่งประจำทริป ร้าน Union Oyster House
img_7961
ร้าน Union oyster house

เมนูที่เพิ่งกินครั้งแรกคือ *** fried clams *** (ดอกจันทน์เพราะชอบฝุด) มันปนๆ อยู่ในเมนู ye old seafood platter เป็นการเอาซีฟู้ดไปชุบแป้งทอด กินกับฟรายส์และเมโย (จะสั่งจานเดี่ยวก็คงมี) กัดคำแรกนึกว่าเป็นหนวดปลาหมึก มันหนึบๆ รสนัวๆ เหมือนหอยนางรมที่ไม่ฉ่ำเท่า แล้วเพิ่มความเคี้ยวหยึบเพลินมากเข้าไป อีกอย่างร้านนี้ทำชุบแป้งทอดอร่อย ไม่อมน้ำมัน แป้งไม่เยอะเกิน แค่เป็นเปลือกกรอบๆ เคี้ยวเพลินตัดกับความนุ่มของซีฟู้ด

บูมาบอกตอนหลังว่า fried clams เป็นของพื้นถิ่น มีเรื่องเล่าขานว่าต้นกำเนิดมาจากเจ้าของโรงงานผลิตมันฝรั่งทอด ทดลองเอาหอยนี้มาชุบแป้งทอด ปรากฎฮิตเลยกลายเป็นเมนูที่ทุกร้านซีฟู้ดในบอสตันต้องมี (และยัยเมียก็สั่งกินมันทุกวัน วันละ 1 จานคร่า ชอบมากกกก)

อีกเมนูนึงที่คุณบูเธอปลาบปลื้ม บอกว่าอร่อยมากๆๆๆ คือ Oyster สด ร้านนี้ขายแค่อย่างเดียว เป็นหอยนางรมตัวใหญ่เนื้อเต็ม หวานและไร้ความคาว เสิร์ฟพร้อมฮอร์ชแรดดิชฝนกับทาบาสโก้  และร้านนี้เขาเซลฟ์นะ มีมุมขายของที่ระลึกของตัวเองด้วย

ร้านอาหารที่มีมุมขายของที่ระลึก ไม่ค่อยเห็นนะ นางเริดบอกเลย (อยากได้หมวกล็อบสเตอร์ แต่บูไม่ยอม)

img_7877
ทำไมอะ น่ารักออก…

14.30 : Italian Town ออกจากร้านก็เดินย่อยไปตามถนนลิตเติ้ลอิตาลีของเขา สาวเสิร์ฟร้าน Union oyster บอกว่ามีร้านขนมคาโนลี่อร่อยๆ อยู่ พวกเธอไปลองกินกันสิ ก็เลยจัดให้ตามประสงค์

(คาโนลี่คือขนมอิตาเลียน เป็นแป้งกรอบสอดไส้ต่างๆ ที่มีเบสเป็นครีม มันเลยต้องแช่เย็นตลอด เคยลองกินครั้งนึงที่ลิตเติลอิตาลีในนิวยอร์ก ก็ไม่ค่อยชอบนะ แต่มาถึงที่นี่เหมือนมี peer pressure เห็นคนถือกล่องคาโนลี่ออกมาจากร้านมากมาย ความริษยาเขาเลยขับเคลื่อนให้อยากลองตามไปด้วย)

img_7897
Modern Pastry คิวเดี่ยว หางแถวทะลักมานอกร้าน

เจอร้านแรกชื่อ  Modern Pastry โต๊ะเก้าอี้ให้นั่งกินแต่มันเต็ม คิวยาวราว 15 คน แถวทะลุมานอกร้านนิดหน่อย คุณบูชะเง้อชะแง้ทำหน้าเหมือนไม่อยากรอ บอกว่ามีอีกร้านใกล้ๆ เราจะลองเสี่ยงไปดูไหม …อะไปก็ไป…

img_7909
อยู่ห่างจาก Modern Pastry แค่จึ๋งเดียว

สละคิวที่รอมา 5 นาทีจาก Modern Pastry แล้วดุ่มๆ ไปร้าน Mike’s Pastry อ๊ะ…ดูดีเชียวไม่มีคิวย้วยออกมานอกร้าน ทว่าความจริงคือพอเปิดประตูร้านเข้าไป…จึงพบคนครึ่งบอสตันมารวมกันอยู่ในนี้คร่าาาาาาาาาาาา คือบับ…ไรอะ มันเริดขนาดนั้นเลยเหรอ ไอ่คาโนลี่เนี่ยยย

รีบต่อแถวค่ะ…55555
ร้านนี้มีรสให้เลือกเยอะมากๆ คือเห็นคิวแล้วท้อนะ กะว่าน่าจะรอสัก 20-30 นาที อีกอย่างเราจะซื้อกินแค่ชิ้นเดียวดูไม่คุ้ม ขณะที่คนอื่นเขาหอบกล่องโตๆ ออกมาจากเคาน์เตอร์กัน เอาไงดีๆ…

img_7902
ร้าน Mike’s Pastry คิวแยกเป็นหลายๆ แถว แถวไหนสั้นก็ไปต่อเลย

ความง่วงทำให้เหลือบไปเห็นเคาน์เตอร์สั่งกาแฟ+คุกกี้ ที่แทบไม่มีคนต่อ เลยบอกบูว่าจะไปสั่งกาแฟรอนะ ปรากฏพอยัยเมียไปยืนเป็นคิวที่ 2 พบว่าคนข้างหน้านอกจากจะสั่งกาแฟแล้ว ยังขอให้พนักงานหยิบคาโนลี่จากอีกฟากนึงให้ได้ด้วย…

ความคิดปีศาจผุดขึ้นในหัวทันที พอได้กาแฟเสร็จเลยลองเชิงบ้าง…
“ฉันขอสั่งคาโนล่าชิ้นนึงจากตรงนี้เลยได้ไหม”
พนักงานงงค่ะ…. “หา อะไรนะ?”
“รสริคอตต้าอ่ะค่ะ”
“อ๋ออ…..คาโนลี่รสริคอตต้า ได้ค่ะได้” แล้วนางก็เดินไปหยิบให้
ตัดภาพมาที่ยัยเมียขำตัวเองจนแทบทรุดลงไปที่พื้น หลังจากปล่อยความเป็นกะเหรี่ยงรุนแรงในตัว ด้วยการเรียกคาโนลี่ว่า “คาโนล่า” (จะซื้อน้ำมัน????) ตอนนั้นใจคิดว่าจะสั่งรสริคอตต้าไง (สระอ้าเหมือนกันไง!)

img_7906
สองอย่างรวมกันน่าจะสัก 5 เหรียญได้

ได้เสร็จก็มานั่งกินกันในร้านนั่นแหละ เพียงแค่โต๊ะเก้าอี้ร้านนี้ตั้งไว้ลวกๆ ให้รีบกินแล้วรีบไสตูดออกไปซะ ไม่ได้ทำให้บรรยากาศดูดีมีตระกูลเหมือนร้านแรก บูมองการตกแต่งร้านแล้วเปรยๆ ว่า “ร้านนึ้กึ่งๆ ระหว่างเบเกอรี่โหลยๆ กับ…” แล้วนางก็นิ่งไป เรามองตามสายตา เห็นร้านที่แทบไม่มีการตกแต่ง เพดานกรุด้วยฝ้าแบบลายหลุยส์สีเงินๆ แลดูไม่เข้าอย่างแรง ไฟฟลูออเรสเซนส์สีขาวจั๊วะแต่ก็สว่างดี สิ่งเดียวที่เน้นคือสเปซตรงกลางกว้างๆ สำหรับให้ลูกค้ายืนต่อแถวรอ คำว่าโหลยดูไม่มากเกินไป และเขาคงไม่ใส่ใจเพราะเน้นความอร่อยที่ยังไงซะ ลูกค้าก็ต้องเข้ามาอยู่ดี

ลองกัด…อืม…ครีมเข้มคลั่กพอๆ กับเท็กซ์เจอร์ของครีมชีส คอนเฟิร์มว่าครอบครัวตัวพีไม่อินกะคาโนล่า เอ้ย! คาโนลี่
แต่ความพิเศษของร้านนี้รู้สึกเลย ตรงแป้งค่ะ…แป้งเค้าจะบางกรอบเหมือนแค่ห่อครีมไว้เฉยๆ การกินคาโนลี่กับกาแฟร้อนๆ มันช่วยล้างคอได้มาก เห็นบางคนกินเข้าไปดิบๆ แบบนั้นเลยอิฉันนี่แทบจะฝืดคอแทน

img_7950


15.00 : Freedom Trail
 (พวกเราเดินกันราว 2-3 ชม. แวะทุกจุด) จริงๆ เราอยู่บนเทรลนี้โดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่เดินเข้ามาอิตาเลียนทาวน์ละ เดินตามเทรลนี้จะผ่านแลนด์มาร์กซึ่งเป็นบ้านเก่าแก่ 3 แห่ง และย่านบ้านเมืองสวยแจ่มระหว่างทาง ความเจ๋งคือเค้าปูอิฐเป็นเหมือนเส้นนำให้เราเดินตามตลอดทางเลยค่า คือไม่ต้องดูแผนที่เลยอะ มองพื้นแล้วเดินตามอย่างเดียวเลย ถ้าใครซื้อทัวร์ก็จะมีไกด์ในชุดโบราณเดินพาเราไปตามที่ต่างๆ ด้วย มันได้อารมณ์มาก (แต่นอกจากค่าทัวร์แล้ว ยังต้องจ่ายทิปให้ไกด์ด้วย นี่แหละหนอเมืองศิวิไลซ์ อะไรก็ต้องทิป!)

img_7946
ไกด์หนุ่มในชุดโบราณ เข้ากะบรรยากาศมาก

 

คุณบูพาไปเริ่มเทรลที่โบสถ์ Episcopal Church (old north church) ซึ่งด้านหน้ามีร้าน Captain Jackson’s ขายช็อคโกแลตเลียนแบบโบราณ กับโรงพิมพ์จิ๋ว พนักงานใส่ชุดโบราณแสนน่ารัก ขุดหลุมรอนักท่องเที่ยว เอ้ย…รอสาธิตทำช็อคฯ อยู่

img_7888
มีงานอาร์ตประปราย
img_7918
อาคารเก่าแก่
img_7933
หน้าร้านคุณกัปตัน
img_7938
สาวน้อยชุดวินเทจ กำลังแสดงวิธีทำช็อคโกแลตแบบศตวรรษที่ 18 นางขายของเก่งน่ารักมาก

ไอเดียช็อคโกแลตอุ่นๆ ในอากาศหนาวเหน็บนี่มันเริดนะ เพียงแต่ช็อคฯที่นี่ทำตามสูตรโบราณศตวรรษที่ 18 สมัยที่น้ำตาลแพงลิ่ว เค้าเลยผสมสไปซ์เช่นนัทเม็ก กับซินนามอนลงไปเพิ่มมิติความอรอ่ยแทนความหวานมัน ผลที่ได้คือเด็กน้อยซึ่งกระตือรือร้นอยากชิมพร้อมเราบอกว่า “ไม่หย่อยอะแม่ ให้พ่อกินนะ” กร๊ากกกกกกกกก

ได้ช็อคฯแท่งติดกระเป๋ามา 2 อัน แล้วเดินต่อ…

อ่าว กลับมาถนนอิตาเลียนทาวน์ที่เดิม เจอร้าน Modern Bakery ที่ตอนนี้คิวยาวทะลักออกมามากกกก เดินผ่านแบบเชิดๆ เริดๆ (เพราะต่อคิวมากแล้วรอบนึง กร๊ากก) ไปบ้านของคุณ Paul Revere House ซึ่งเป็นผู้นำการปฏิวัติแยกตัวจากอังกฤษ เป็นบ้านยุคเก่าที่เขาพยายามบูรณะให้เหมือนเดิมที่สุด ด้านในจำลองการวางเฟอร์ฯ แบบเดิมไว้และไม่ให้ถ่ายรูป ค่าเข้าราว 2-3 เหรียญแต่คุณบูซื้อบัตร Go Boston card ระหว่างเราหลับหัวผงกบนรถไฟ ข้อดีคือไม่ต้องไปรับบัตรอะไรให้เปลืองเวลา เพราะโหลดมาเป็นแอปบนมือถือใช้ได้ทันที แถมมีที่ท่องเที่ยวแนะนำในตัว

Go Boston card เป็นพาสเมืองบอสตันที่อยากไหว้นะ คือเข้าได้ทุกอย่างที่เรากำลังจะไป คุ้มค่ายิ่งกว่าแฟลตปลาทอง! (มุขเก่าไปขออภัย) แนะนำให้ซื้อนะสำหรับคนที่อยากลุยบอสตันรวดเดียว มีให้เลือก1-2-3-5-7 วันตามอัธยาศัย เดี๋ยวอ่านบล็อกนี้ไปเรื่อยๆ จะยิ่งรักมันยิ่งขึ้นบอกเลย

img_7948
บ้านคุณผู้นำ Paul Revere


ผ่านตลาดสด
ที่ผลไม้ถูกเว่อร์วังกว่านิวยอร์กมาก (บูชิงบอกทันที ว่าไม่ขนผลไม้ข้ามเมืองนะหล่อน!) ไม่พอมีงานอาร์ตทำเป็นรูปขยะบนพื้น เล่นเอาทั้งเราและคุณตาคุณยายคู่นี้เหวอไป เอองานอาร์ตขยะตรงตลาด จะว่าเข้าก็เข้านะ เออจะทำให้มองเป็นขยะก็ได้นะ แบบนี้…

 

Old State House ซึ่งเป็นทำเนียบสมัยก่อน ด้านในรวบรวมประวัติทางการเมืองของบอสตันไว้แบบม้วนเดียวจบ ใครสนใจเรื่องประกาศอิสรภาพครั้งแรกในเมกา ก็มีให้อ่านเต็มที่

ความสนุกคือตอนมองจากด้านนอก จะเห็นว่าตึก Old State House ที่สมัยก่อนยิ่งใหญ่ เดี๋ยวนี้เล็กจึ๋งเดียวท่ามกลางตึกสูงระฟ้า จะว่าไปเมืองนี้เค้าอนุรักษ์ตึกเก่าไว้มากมาย แล้วตึกพวกนี้ก็แทรกๆ อยู่ระหว่างตึกใหม่ใหญ่โต ได้กลืนๆ มองไปก็เพลินตาดี เก่า-ใหม่ลงตัว

img_7966
Old State House, Boston.

จุดสุดท้ายของเทรลนี้คือ Old South Meeting House เข้าไปดมๆ เข้าห้องน้ำแล้วก็เด้งออกมาอย่างรวดเร็ว ในนั้นมีครูพาเด็กนักเรียนมาสอนประวัติศาสตร์ด้วย คือ…อยากให้วิชาประวัติศาสตร์ตัวเองเป็นแบบนี้บ้าง (#ฝัน)

img_7980
ครูกำลังนั่งสอนนักเรียนอย่างตั้งใจ


ออกมาเดินผ่าน Granary Burying Ground ซึ่งเป็นสุสานโบราณ มันเรียบง่ายมาก มีแค่หินป้ายหลุมศพธรรมดาๆ (มีแอบสลักกะโหลกบ้างไรบ้าง) ที่นี่เป็นที่ฝังศพของคุณพ่อ Benjamin Franklin (ตัวคุณเบนจามินย้ายไปอยู่ฟิลลาเดลเฟีย) ช่วงที่ไปสวยเพราะมีใบไม้เหลืองๆ หล่นเกลื่อนไปหมด

img_7990
Granary Burying Ground

ไม่ไกลกันคือ Boston Common สมัยก่อนตรงนี้เป็นที่ๆ ชาวบ้านจะพากันมาทำการเกษตร แต่ตอนนี้กลายเป็นสวนสาธารณะกว้างใหญ่ ใบไม้เปลี่ยนสีสวยงาม น่าพาทรามเชยมาจับมือเดินเล่น ทว่า…ตอนนี้คนมาชุมนุมประท้วงเรื่องทรัมป์กับฮิลลารี่

เลยเดินลงสถานีรถไฟใต้ดินไป…(กลัวลูกหลง)

img_8006
Boston Common ground จุดชมวิวเมืองสวยดีในฤดูนี้ยิ่งแจ่ม
img_8011
Boston Common ground ในวันที่เขาประท้วงกัน

พบกับคุณ Charlie บอสตันมีแทรมนะ เป็นรถไฟใต้ดินและบนดินในหนึ่งเดียว คุณบูเข้าไปถามว่าถ้ามา 3 วันควรซื้อตั๋วอะไรดี พนง.เลยยื่นตั๋วชาร์ลีให้ บอกว่าเอาไปเติมเงินที่ตู้ได้เลย และที่เด็ดคือ 2 คนใช้บัตรใบเดียวกันก็ได้คร่าาาาา (เติมได้ครั้งละ 4 / 9 เหรียญ เงินสดหรือบัตรเครดิตก็ได้)

ค่าแทรมเที่ยวละ 2.25  เหรียญ ที่ตลกคือพาสมีแค่1 วันกับ 7 วัน…แล้ว 3 กับ 5 วันหายไปไหน? ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการซื้อพาสกับการเติมตังอันไหนดีกว่ากัน ลองพิจารณาดูเอง ทริปนี้คิดว่าเติมไป 4 รอบ รอบละ 9 เหรียญ รวมเป็น 36 เหรียญ และพวกเราก็ไม่ใช่คนที่เอะอะจะขึ้นรถไฟนะ เดินซะเป็นส่วนใหญ่ (งงๆ แต่ก็ช่างมัน)

ระบบแทรมที่นี่ก็เหมือนบ้านเรา ดูสถานีปลายทางเอา แม้เมืองจะเก่าแก่อันดับต้นๆ ของเมกา แต่สถานีเขาสะอาดน่าพิศมัย…ไม่เหมือนนิวยอร์กที่…ทั้งสกปรกและน่ากลัว ฮืออออออออออออ….

dscf3434

img_8237


Newbury Street
ว่ากันว่าช่วงหน้าร้อนแถวนี้จะสวยมาก เพราะแต่ละร้านจะตกแต่งสวนด้านหน้าบับว่าสวยสุดเลย ตอนนี้ออทัมแล้ว ต้นไม้ดอกไม้ก็ออกแนวแห้งเฉา แต่ร้านเด็ดๆ มารวมตรงนี้เป็นแนวไฮสตรีทกิ๊บเก๋  Muji, Uniqlo มาเปิดที่นี่  Vibram ที่ไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อน พวก Zara, patagonia, cafe ทั้งหลายก็มา มีร้านกะโหลกกะลาพวกขายเสื้อยืดร็อค ของที่เด็กหนุ่มวัยรุ่นซื้อแกล้งกันวันเกิดสลับๆ บ้าง เดินไปเพลินๆ ไม่คิดมาก ตึกเขาสวยดี เดินๆ ไปเหมือนอยู่ในยุโรปมากกว่าเมกา…

ได้ปฎิทินปี 2017 มาจากร้านหนังสือ/คาเฟ่/เครื่องเขียน

img_8028
Newbury Street, Boston
img_8029
Newbury Street, Boston
img_8032
Newbury Street, Boston
img_8033
Newbury Street, Boston

สรุปจบวันที่ร้านอาหารชื่อ Marliave เป็นคลาสสิกอาหารฝรั่งเศส/อิตาเลียน เปิดตั้งกะปี 1875 ที่เดินเข้ามาเพราะเห็นมันเก่าแก่ดี แต่ในร้านทำใหม่ดูดีเชอ

ปกติอาหารในเมกันจะมาไซส์โตๆ ถ้าไม่แน่ใจขนาดสามารถเดาจากราคาบนเมนูได้ แต่ทฤษฎีนี้ใช้กับร้าน Marliave บ่ได้ เพราะราคาแพงแต่อาหารมาจึ๋งเดียว ะ (รวมๆ แล้วมื้อนี้ราวร้อยกว่าเหรียญ)

แต่สิ่งที่ได้ตอบแทนคือ “โคตรอร่อย”  Beef wellington ที่บูสั่งคือแลดูผู้ดีมาก หากินยากด้วยไม่ใช่ไร คือเนื้อนุ่มเหมือนไหมฝัน แป้งพายบางเฉียบหอมเนยฉุย ส่วนราวีโอลีมันหวาน หอยเชลล์ กับเห็ดของเราก็หวานสุด ดึ๋งสุด

ข้อเสีย…อาหารเมนไม่เสิร์ฟพร้อมไซด์อะไรทั้งสิ้น ไม่มีผักสักเส้น นางมาดุ้นๆ เลย
บูถึงกับร้องขอชีวิตด้วยการสั่ง baked brussels sprouts มาแกล้มเนื้อตามหลัง และร้านไฟสลัวพอๆ กะร้านตอนกลางวัน คือมองแทบไม่เห็นว่าสเปราซ์ใบไหนไหม้แล้วบ้าง มืดไป๊! (แต่ก็กินจนหมด)

เมนูที่สั่งทุกโต๊ะคือ หอยเอสคาร์โก้ มาแบบชุ่มๆ เนยเล้ยย เนื้อหอยแกะให้แล้ว หวานนุ่มละลายในปาก **แนะนำมาก** กลับถึงที่พัก กลิ่นน้ำมันเนยติดเสื้อหนาวแบบสะบัดเท่าไรก็ไม่หลุดข่ะ ทุกโต๊ะรุมสั่งกันขนาดนั้น

และด้วยความที่ชอบอาหาร เราเลยมั่นใจว่าขนมเค้าต้องอร่อย จึงจัด Butterscotch pudding มาลองแซะ … พอพนง.เอามาตั้งทะนั้นล่ะ ถึงกะประกาศกะบูว่า “ไม่ต้องกินหมดนะ” ใหญ่ซะจนแค่ดูก็จุก

3 นาทีผ่านไป ผัวเมียคู่นี้ “ขูดก้น” บัตเตอร์สกอตช์พุดดิ้งคร่าาาาาา 5555555
ก๊อกก๊อก – อิฉันเพิ่งผ่านการผ่าตัดมาได้แค่ 1 สัปดาห์ จำเป็นไหมที่สามีสุดที่รักต้องพามาอัดคลอเรสเตอรอลมากมายเพียงนี้!!???

คลำทางไปที่พัก ท่ามกลางความหนาวเหน็บเกือบ 0 องศา และลมหอบโตที่ทำเอาตัวเกือบปลิวเป็นระยะๆ จบวันกันด้วยรูปจากวันนี้…ทั้งหมดใช้ไอโฟนถ่าย เพราะชี้เกียจแคะกล้องออกจากกระเป๋า

 

Day 2 :
Harvard / Harvard museums / Bhumibol square / Boston Public Library / Isabella Gardner Museum / แปลงดอกไม้ / Summer Shack

ที่พักของเราอยู่ตรงกลางระหว่าง MIT กับ Harvard เป็นบ้านไม้สีพาสเทลแสนสวยที่เคยฝันใฝ่ว่าอยากอยู่นักหนา แต่พอได้มาอยู่แล้วจึงเกิดคำถามว่า…นี่มันฉากในสตูดิโอป่าววะ?

คือทุกอย่างเหมือนเป็นไม้บัลซ่า เบาหวิวติดมือ พื้นยวบยาบ อยู่ชั้นสามเดินทีได้ยินไปถึงชั้น 1 ทำอะไรหล่นนี่บ้านสะเทือนทั้งหลัง สรุปคือเวลาอยู่ในห้องนี่ไม่กล้าล้ม กลัวล้มแล้วจะทำผนังพังครืนลงมา ป้าๆ ชั้นล่างคุยหัวเราะกันได้ยินมาถึงชั้นเรา ใครอาบน้ำนี่ได้ยินเสียงน้ำไหลผ่านท่อซู่ซ่าตลอดคืน แถมห้องไม่ค่อยสะอาดเท่าไร ฝุ่นและเศษผมยังมีให้เห็นตามมุม (ข้อเสียของการพัก airbnb คือความแรนดอมแบบนี้ล่ะ)

แต่ข้อดีคือบ้านอุ่นแม้ในวันที่หนาวเฉียบ น้ำไหลแรงอุ่นดี และอยู่ในย่านที่สงบไร้เสียงรบกวน …

บูพาไปกินอาหารเช้าที่ Petsi Pies ใครพักแถวเรานี่แนะนำนะ เค้าเด่นเรื่องพาย (Aka คีช) ทำแป้งอร่อย บูสั่งเบคอนพาย (อร่อยมาก) กับอาหารพิเศษประจำวัน เบเกิลไข่ชีสผัก กินกับกาแฟดำขนาดกลาง (ไซส์จัมโบ้มากกก ถ้าสั่งขนาดใหญ่คงใส่มาในโอ่ง) ราคาไม่แพงด้วย รวมๆ แล้ว 20 กว่าเหรียญ คนเข้าออกร้านตลอดเว พิสูจน์ได้ว่าของเขาดีใจไม่ไก่กา

 

แล้วเราก็เดินเลาะเพื่อไปม.Harvard อีกราว 20 นาที เดินเพลินมาก ผ่านบ้านสวยๆ ที่มีแท่งหอคอยเหมือนบ้านมูมิน ใบไม้เปลี่ยนสีงดงามอร่ามตา ยืนมองกะถ่ายรูปรัวๆ จนบูบอก “เร็วหน่อย เดี๋ยวไม่ทันรอบทัวร์”
อะชิ…

 

ทัวร์ Harvard เป็นกิจการที่จัดขึ้นโดยนักศึกษาม.ฮาวาร์ดเอง มีเกือบทุกชม. ใช้เวลาราว 1 ชม. ค่่าทัวร์เท่าไรไม่รู้ แต่ใช้พาส Go Boston Card ได้ฟรี จุดรวมตัว แลกตั๋วให้มองป้ายสูงๆ คำว่า Cambridge Savings Bank

dscf3330
ฮาวาร์ด (ไม่ต้องกระดกลิ้นอาร์ตรงคำว่าฮา – น้องไกด์บอกมา) เป็นมหาลัยเก่าแก่ที่ตึกเขาแลฮัมเบิลมาก มันไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการแต่ขลัง ไม่มีรายละเอียดพันลึก แต่อัดแน่นด้วยประวัติศาสตร์ แทบจะเรียกว่าเป็นตึกอิฐแดงธรรมด๊า ธรรมดา พอถามดูถึงรู้ว่าส่วนหนึ่งเพราะลัทธิ Puritan ที่เน้นความเรียบง่ายเข้ามาที่นี่พร้อมการสร้างเมือง ดังนั้นไม่ว่าจะอาคารหรือหลุมศพ ก็จะเน้นความเรียบง่ายไม่หวือหวา ซึ่งส่วนตัวเราคิดว่ามันคือเสน่ห์อย่างนึงนะ

ฮาวาร์ด เป็นนามสกุลของคนบริจาคที่ดินให้กับมหาลัย ไม่ใช่ผู้ก่อตั้ง เริ่มแรกเป็นมหาลัยเล็กๆ ไม่โด่งดังอะไร และสมัยแรกรับแต่ผู้ชายเข้าเรียนเท่านั้น เด็กเฟรชชี่จะได้อยู่หอล้อมรอบ old yard เพื่อให้ทุกคนได้คุ้นเคยกับมหาลัยโดยเร็วพอขึ้นปี 2 จะย้ายไปอยู่ตึกที่ห่างออกไปหน่อย และทุกคนมีโอกาสเลือกที่จะอยู่กับใครก็ได้ เนื่องจากต้องอยู่กันไปอีกนาน จึงควรได้อยู่กับคนที่เราสบายใจและอยากจะสังคมด้วย

น้องพาเราไปรูปปั้นคุณฮาวาร์ด ซึ่งมีชื่อเล่นว่า 3 lies แปลว่ามันรวมเอาคำโกหก 3 อย่างไว้ด้วยกัน อย่างแรกคือรูปปั้นนี้ไม่ใช่คุณฮาวาร์ด 555555 เพราะไฟไหม้ทำให้ไม่มีรูปเขาอยู่ คนปั้นเลยมโนเอาคนอื่นเป็นต้นแบบ (คนปั้นก็เป็นศิลปินดัง) สองคือที่เขียนว่าผู้ก่อตั้งนั้นไม่ใช่ เพราะเขาเป็นแค่ผู้บริจาคที่ดิน และสามคือน่าจะเป็นปีค.ศ.ที่สร้างไม่ตรง (คุณฮาวร์ดบริจาคที่ดินหลังจากก่อตั้งมหาลัยไปแล้วราว 2 ปีมั้งถ้าจำไม่ผิด)

ตำนานของรูปปั้น 3 lies คือถ้าอยากเข้าฮาวาร์ด ต้องลูบเท้าซ้ายของรูปปั้นนี้ที่มันแว้บบบบบบผิดกะส่วนอื่นอย่างเห็นได้ชัด น้องไกด์ของเราบอกว่า หนูก็มาตอนเกรด 6 นะคะ (ตอนนี้นางเรียนไบโอที่นี่)

แล้วอยู่ๆ คุณบูก็เดินไปลูบกะเขาด้วยคร่าาาาา 55555
อะๆ จะมาทำปริญญาโทใบที่สาม หรือด็อกเตอร์ที่นี่ ก็ขอให้สมหวังนะค้าบูน้อย … เพี้ยง!!!!
(บูบอกถ้าเอ๋น้อยหาเลี้ยงบูได้เมื่อไร ค่อยคิดเรื่องลางานมาทำด็อกเตอร์ ตึ่งโป๊ะ!)

dscf3340
ขอให้สมหวังนะฮะที่รักข๋า…

นอกจากชี้ให้ดูตึกที่มาร์ก ซุกเกอเบิร์กและบิลล์ เกตต์เคยอยู่ก่อนดร็อปไปสร้างธุรกิจร่ำรวยระดับโลก ยังมีรายละเอียดจุกจิกอีกเยอะที่ได้จากน้องไกด์ ฟังบ้างไม่ฟังบ้างก็ยังสนุก เพราะเขาจะมีมุขสอดแทรกเกือบตลอด

สิ่งนึงที่น่าจดจำคือห้องสมุด ที่นางเทียบว่าเป็น ‘Tip of the iceberg’ เพราะผู้บริจาคคือขุ่นแม่ที่เสียลูกชายศิษย์เก่าฮาวาร์ดไปกับเรือไทเทนิค (อ้าว ไม่ใช่แค่เรื่องแต่งในหนังเหรอ?) นางจึงบริจาคเงินจำนวนมหาศาล-ศาล-ศาล ให้มหาลัยพร้อมข้อเสนอ 3 ข้อ คือหนึ่งมีห้องเตรียมให้ เผื่อลูกชายนางจะกลับมาอ่านหนังสือ และไม่ให้คนอื่นนอกจากลูกชายและคนเอาดอกไม้เข้าไปวางเข้าเด็ดขาด (นางบอกว่าลูกชายว่ายน้ำเป็น สักวันต้องกลับมาได้) สองคือต้องห้ามเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาคารเด็ดขาด (นางคงกลัวคนจะมาลบชื่อลูกชายนางที่สลักบนอาคาร) และสามคือนักศึกษาทุกคนต้องว่ายน้ำเป็น (เราก็เข้าใจว่านางเสียใจมากนะ) แต่สุดท้ายข้อสามต้องเปลี่ยนแปลงไปเพราะมันขัดกับกฎหมายสิทธิความเท่าเทียม (คือคนว่ายน้ำไม่เป็น ก็มีสิทธิ์เรียนเหมือนกันนะคะ)

dscf3348
และนี่คือ tip of the iceberg AKA ห้องสมุด

เมื่อเวลาผ่านไป ห้องสมุดต้องการขยาย แต่ต่อเติมด้านบนไม่ได้ จึงขุดค่ะ ขุดลึกลงไป 4 ชั้น (ห้องสมุดหลายแห่งเป็นแบบนี้ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เช่นในลอนดอน) และมีขนาดกว้างเท่า new yard มันใหญ่ขนาดที่ว่าถ้าวิ่งมาราธอน 2 รอบแล้วก็จะยังไม่ผ่านหนังสือเล่มเดิม

ทัวร์จบที่ร้านขายของที่ระลึกของนักศึกษาเอง เป็นพวกเสื้อยืด ฮู้ดดี้ พวงกุญแจ หมวก ไอเราก็อยากได้สายคล้องคอพิมพ์คำวาฮาวาร์ดมันดูน่ารักดี แต่เอ๊ะ…ฉันไม่ได้เป็นพนักงานประจำ จะเอาสายนี้ไปทำไร 555555 จึงออกมามือเปล่า เอาเงินจ่ายค่าทิปน้องไป

dscf3353
จบทริปกันแถวๆ veggies patch ของ Harvard เค้าล่ะ น่ารักเชอ มี green house เล็กๆ ด้วย

 

Harvard natural history museum เราไป natural history มิวเซียมมาหลายที่นะ แต่ที่นี่มีเอกลักษณ์ที่สุด ปกติมิวเซียมพวกนี้จะใหญ่โตโอ่โถง เพราะมีโครงกระดูกของสัตว์สูญพันธุ์ตัวใหญ่ๆ และมีอะไรต่ออะไรให้ต้องเก็บมากมาย

แต่ที่นี่เหมือนเป็นมิวเซียมในบ้านใครสักคน มันเล็กกว่าเลยรู้สึกอบอุ่นกว่า เน้นแบบจำลองของสัตว์มากพอๆ กับซากสัตว์สตัฟฟ์จริงๆ ที่เราชอบมาก-มาก คือห้องดอกไม้ที่ทำจากแก้ว รู้สึกเหมือนเดินเข้าไปในสมุดภาพดอกไม้สวยๆ สักเล่ม รายละเอียดจุกจิกนี่บับ…ต้องไหว้อะ ทั้งสวยทั้งละเอียด คือดูเพลิน เหมือนของจริงมากๆ

dscf3400
Harvard natural history museum


พอเดินไปห้องนก ก็บับ…เหมือนเดิมเข้าไปในสมุดภาพนก น่ารักและคลาสสิค เหมือนมีพันธุ์นกมากกว่าที่อื่นๆ ที่เราเคยเห็นมา คือประทับใจมาก ถ้าไม่ได้มาดูจะต้องเสียดายแน่ๆ (ตอนแรกกะไม่เข้า)

Peabody museum อันนี้อยู่ติดกับ Natural museum เดินเลยๆ มาแบบไม่รู้ตัวได้เลย เหมือนเค้าจะเปลี่ยนนิทรรศการไปเรื่อยๆ ช่วงนี้เป็นการพูดถึงพิธีกรรมไหว้บรรบุรุษของคนท้องถิ่น

img_8100
Peabody museum

ภูมิพลสแควร์ คือเสียดายที่ไม่รู้ เลยไม่ได้หาช่อดอกไม้ติดมือไป ยืนน้อมรำลึกถึงและย้ำกับตัวเองเสมอว่าจะเป็นคนดี ทำตามหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

dscf3368


ที่ประทับแรกในอเมริกาของสมเด็จย่า 
คิดว่าถ้าแผนที่ตามรอยในหลวง ก็น่าจะมีพิกัดของที่นี่รวมอยู่ด้วย หน้าบ้านมีป้ายให้อ่าน ว่าตอนนั้นพระบรมชนกเป็นผู้มาต้อนรับนักเรียนไทยด้วยตัวเอง จึงทำให้ได้พบสมเด็จย่า อา…ช่างโรแมนติกอะไรเยี่ยงนี้ เราว่าแถวนี้สวยบรรยากาศดี สงบ น่าอยู่ แค่ยืนหน้าบ้านก็รู้สึกสบายใจแล้วล่ะ


Luke’s Lobster
นี่คือมื้อกลางวันกันตาย เป็นพาสต์ฟู้ดอาหารทะเลใกล้ห้องสมุด พวกเราเลยตัดสินใจเข้าไปกิน มีเมนูแบบรวมให้ลองชิมนอกจาก lobster roll ก็คือปูและกุ้ง (แต่เราว่า lobster อร่อยสุด รองลงมาคือปู) เรากิน clam chowder ของที่นี่ด้วย…ไม่อร่อย อาหารโดยรวมคือกินได้

แนะนำเฉพาะคนที่จะมาห้องสมุด และไม่รู้จะกินอะไรดีแถวนี้ ไม่เน้น ยังงงว่าทำไมคนแน่นร้าน อาหารธรรมดาและราคาก็ไม่ถูก (สงสัยมากินกันตายเหมือนเรา?)

dscf3438
Luke Lobster platter

Boston Public Library อะโธะ…คนเยอะมาก! ความรู้สึกแบบเงียบๆ ขลังๆ ต้องกระซิบกันแบบห้องสมุดทั่วไปคือแทบไม่มี โดยเฉพาะโถงกลางที่สวยสง่าโอ่อ่านั่น…คนพากันมาเซลฟี่บ้าง เสียงชัตเตอร์ดังรัวทางนั้นที ทางนี้ที เดินไปมาน่าเวียนหัวอยู่ (ขนาดฉันคือคนเดินเอง) คือถ้าใครทำรายงาน หรืออ่านหนังสือตรงนี้แล้วมีสมาธิควรได้โล่ ผู้ประคองสติดีเด่นแห่งเมืองบอสตัน

แต่สวยล่ะ น่ามาสักครั้งถ้ามีเวลา

dscf3443
Boston public library.


Isbella Gardner Museum
ตอนบูบอกให้หาสิว่าอยากไปไหนบ้างในบอสตัน ก็เห็นรูปจากมิวเซียมนี้และคิดว่าอยากมา อีกอย่างชอบสวนด้วย ตอนอ่านผ่านๆ สมองเข้าใจว่าเป็น Gardener (จริงๆ คือ Gardner = การ์ดเนอร์ นามสกุลคุณทวดเขา ไม่ใช่การ์เดนเนอร์ = คนทำสวน) มาโป๊ะแตกตอนจะเดินเข้าไป บูพูดขึ้นมาว่า ที่นี่มีงานอาร์ตเพียบ

“อ้าว ไม่ใช่มิวเซียมคนทำสวนเหรอ” แล้วยัยเมียก็ปล่อยไก่กะเหรี่ยงออกไปอีกสามตัว ตลอดๆ…

img_8161
สวนสวย exotic มาก มองเท่าไรก็ไม่เบื่อ

คนชอบความเควิร์กกี้ ถ้าไม่มานี่ถือว่าพลาดนะ พลาดหนักเลย เพราะนอกจากสวนสไตล์เวนิซที่คุณทวดจ้างนักออกแบบมีชื่อมาทำให้ ของสะสมและการจัดเรียงของคุณป้านี่แบบ..เทพเลย

คุณทวดอิสซาเบลล่าเกิดระหว่างปี 18ปลายๆ มาเสียตอน 1926 (ถ้าจำไม่ผิด) เป็นคนนิวยอร์กฐานะร่ำรวย แต่แต่งกะคนบอสตันเลยย้ายมาปักหลักอยู่นี่ มีลูกชายได้ 2 ขวบ ลูกชายก็ตายจากไป คุณทวดเสียใจจึงออกเดินทางไปเอเชียพร้อมสามีเป็นเวลานานมาก ตระเวนทั้งสิงคโปร์ ไทย เขมร อินเดีย ฯลฯ จนเขียนหนังสือออกมาได้ 1 เล่ม (ซึ่งน่าซื้อมาก มีทั้งภาพเอเชียและเรื่องราวในสมัยก่อนที่เขียนจากมุมมองฝรั่งแท้ๆ คุณทวดถ่ายรูปสวยด้วย) ต่อมาไม่ช้าไม่นานคุณพ่อก็เสีย ได้มรดกมาเกือบ 2 ล้านเหรียญ (สมัยนั้น! ถ้าเป็นสมัยนี้คงเป็นร้อยล้านเหรียญ) พ่อเสียไม่นานสามีก็เสียตามไปอีก คุณทวดเลยใช้ทรัพย์สินทั้งหมดซื้องานอาร์ตที่ตัวเองสนใจมาสะสม และจ้างนักออกแบบมาสร้างอาคาร ตั้งใจให้เป็นมิวเซียมเพื่อคนรุ่นหลังจะได้ชื่นชมศิลปะงามๆ รวมถึงเนรมิตสวนแบบเวนิซที่ท่านชอบมาก อันเป็นไฮไลท์หลักอันดับหนึ่งของมิวเซียมเลยก็ว่าได้ ส่วนตัวคุณทวดอาศัยอยู่บนชั้น 4 ของมิวเซียมนั่นเอง

ก่อนสิ้นใจ คุณทวดทำพินัยกรรมไว้ว่า ตำแหน่งงานศิลปะที่ฉันจัดเรียงไว้ ห้ามใครเคลื่อนย้ายเด็ดขาด ดังนั้นสิ่งที่เห็นก็คือฝีมือการจัดเรียงของคุณป้า ที่เรียกได้ว่าอัดแน่นทุกกระเบียดนิ้ว มีสิ่งที่ไม่น่าจะอยู่มารวมกันอยู่ในที่เดียว เดินไป อ้าปากหวอไป มีภาพวาดของคุณทวดให้ดูด้วย เห็นปุ๊บก็รู้เลยว่าคุณทวดไม่ธรรมดา เป็นหญิงสาวหัวก้าวหน้าที่มีหัวใจน่ากราบ…

ใช้เวลาอยู่ในนี้นานพอควร เสียเวลากับการถ่ายรูปสวนมุมเดิมๆ ซ้ำๆ ราว 50 รูป จนบูมองบน

จึงเดินออกมาที่อาคารหลังใหม่ (แบ่งเป็นหลังเก่าที่คุณทวดเคยสร้างไว้ กับหลังใหม่ที่ทางมูลนิธิคุณทวดเป็นคนจัดการหลังท่านเสีย) พบว่ามีห้องแสดงคอนเสิร์ตที่เขากำลังซ้อมไวโอลิน และคนทั่วไปสามารถดูการซ้อมได้ แค่อย่าเสียดังก็พอ

เราเข้าไปนั่งฟังเค้าซ้อมกันรอบนึงแล้วก็ออกมา…เจ๋งดีอะ

dscf3460
#ช่วงเผาบู รูปนี้คือต้องการถ่ายอะไร ตอบ!!! 555555555
dscf3462
Isabella Gardner museum
dscf3463
Isabella Gardner museum

 

สวนแถว Fenway บูอ่านอะไรในมือถือก็ไม่รู้ บอกว่ามีสวนดอกไม้ที่เข้าดูได้ตลอด 24 ชม.อยู่ใกล้มิวเซียมคุณทวด เราลองเดินไปดูกันหน่อยดีกว่า

จริงๆ บูก็เร่งให้รีบเดินเพราะอาทิตย์ตกไปนานแล้ว ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ แต่ยัยเมียโดนสกัดดาวรุ่งแถวริมน้ำที่มีเป็ดลอยคอรวมกันจำนวนมาก บ้างก็เตาะแตะขึ้นจากน้ำมาหาอาหารบนบกพร้อมลูก บ้างก็ว่ายบรื้นไปบรื้นมา เลยเสียเวลาดูนาน (บ้านเมืองหล่อนไม่มีเป็ด?)

dscf3472dscf3473
กว่าจะถึงสวนก็สลัวมัวหมอง แทบต้องเปิดไฟฉายเดิน….จะไปโทษใคร๊

อันว่าสวนนี้เหมือนทางการเขาแบ่งเป็นแปลงๆ ให้คนมาจับจองทำสวนปลูกดอกไม้ได้ และน่าจะมีการประกวดด้วย บางแปลงมีเฟสบุ๊ก ไอจีของตัวเองงิเก๋ๆ (คงคล้ายตรง Boston Common แต่เปลี่ยนจากการทำเกษตรเป็นปลูกดอกไม้แทน) จำนวนแปลงคะเนจากสายตานี่ปาเข้าไปหลักร้อยได้ กินพื้นที่กว้างเชอ ถ้าเป็นฤดูร้อนคงสวยมาก แต่เนื่องจากตอนนี้ออทัม อากาศหนาวแล้ว สิ่งที่เราเห็นก็คือ…

dscf3482

55555555 อาจเรียกได้ว่าเป็น “เศษซากอารยธรรมที่หลงเหลือ” ของการทำสวน เอาเป็นว่าเดินๆ ดมๆ แล้วก็พอจิ้นออกแหละ ว่าช่วงพีคมันต้องสวยมาก ดังนั้นใครมาบอสตันช่วงหน้าร้อน ก็ลองแวะเข้ามาดูกันนะ

dscf3477
อันนี้ยังพอมีดอกไม้
dscf3483
เดินๆ ไปอุ๊ยทำไมดวงจันทร์โตจัง มารู้ตอนหลังว่าเป็นซูเปอร์มูนค่ะ

Summer Shack เป็นร้านซีฟู้ดที่ต้องนั่งแทรมออกนอกเมืองมานิดนึง เหมือนสุดสายสีแดง ไม่ไกลๆ ออกจากสถานีมาเดินแค่ 5 นาทีก็ถึง ร้านใหญ่มากมีหม้อต้มลอบสเตอร์อยู่กลางร้าน แลดูอลังการและจะผิดบาปมากถ้าไม่สั่งลอบสเตอร์เขา  อ่ะจัดแบบ pan roast มาเพราะมีซอสเนยๆ แลดูอ้วนดี

img_8213
นี่เลยค้าบ หม้อลวกลอบสเตอร์ บ่อเขาก็อยู่ห่างออกไปแค่ 3 ก้าว

ครอบครัวตัวพีไม่ใช่แฟนลอบสเตอร์นะ กินบุฟเฟต์นี่ไม่เคยหยิบเลย แต่บอกแล้วไงว่ามาร้านนี้ไม่สั่งลอบสเตอร์เหมือนเป็นการทำบาป …พบว่าเนื้อหวานแซบมาก ตัวนึงหนักราว 1.5 ปอนด์ (ราว 750 กรัม) ราคา 44 เหรียญ คิดๆ ดูแล้วมันไม่แพงกับลอบสเตอร์สดเนื้อเทพขนาดนี้ คือเชียร์ให้สั่งกิน มีแบบสตีมไม่หมัก และอื่นๆ อีกหลายรายการ เสิร์ฟพร้อมข้าวโพดฝักนึงที่หวานซะจนเราเหมาหมดไม่เผื่อบูเลย (มือเมอนี่เยิ้มเนยมากตอนกิน)

แน่นอนว่าเราสั่ง Clam chowder มาลองเพราะอยากเทียบกับร้านอื่นๆ ว่าที่ไหนอร่อยสุด (คำตอบคือ Union Oyster) ร้านนี้มีมันฝรั่งชิ้นใหญ่ๆ เยอะมาก รสออกแนวกลิ่นทะเล ไม่ได้นัวๆ ครีมๆ เหมือน Union Oyster house …เราเฉยๆ

ส่วน Fried Clams จานที่ 2 ของเราประจำทริป ร้านนี้ทอดแบบเทรดิชันนัลเลยค่ะ เพราะดั้งเดิมเขาเอาหอยไปจุ่มนมข้นจืด แล้วมาคลุกกับเกรนข้าวโพด เนื้อแป้งเลยจะมีเม็ดๆ เกาะมาด้วย หอยร้านนี้เน้นตัวเล็ก กะให้เราเมามันกับเท็กซ์เจอร์นุ่มๆ กรุบๆ รสชาติเลยไม่ถูกเน้นมากเท่า แต่ก็อร่อยนะ…อร่อยมาก (แต่อร่อยสุดสำหรับเราคือ Union Oyster) สั่งแบบเป็น appetizer มาก็พอเพราะที่นึงนี่ใหญ่มาก (ถ้าสั่งเป็นเมนคอร์ส คิดว่าคงได้ฝันถึงหอยทอดคืนนี้แน่)

อีกจานที่กะเหรี่ยงนอกคอกสั่งในร้านซีฟู้ดคือ “ไก่ทอด!!!” ค่าาาาา
คือคิดอะไรยังไง ทำไมมาสั่งไก่ทอดในร้านซีฟู้ด….ตอบ???

แต่อร่อยนะ เนื้อไก่ไม่ได้หมักสไปซ์อะไรมาก เน้นการทอดที่ดี ไม่อมน้ำมัน กินกับซอสมะเขือเทศแล้วเหมาะ เอามาตัดเลี่ยนซีฟู้ดหน่อย จิง ปิดท้ายมื้อด้วยซันเดย์ที่ไม่ได้ดีเด่อะไรมาก นอกจากครีมมันเต็มพิกัด จนสองผัวเมียต้องกลิ้งร่างออกจากร้าน พร้อมใจกันเกือบจะเดินกลับบ้านถ้าไม่หนาวขนาดนี้ (ทั้งหมดราวร้อยกว่า)

 

Day3:
ร้าน Friendly toast / เดินเล่นมหาลัย MIT / New England Aquarium / Whale watch / ร้าน Legal Sea Foods

เก็บกระเป๋าออกจากที่พักเสร็จ บูให้เลือกระหว่าง “คาเฟ่เก๋ที่ขายแค่แซนวิชไม่กี่อย่างกับกาแฟ” กับ “ร้านที่ขายบรันช์เต็มสตีม” แต่ปิดท้ายว่า “วันนี้คงไม่มีโอกาสกินกลางวัน เพราะจะรวดลงเรือไปดูปลาวาฬเลย ควรกินตุนไว้เยอะๆ หน่อย”

เอิ่ม…เอ็งก็มีคำตอบอยู่ในตัวแล้วนี่ฝ่า จะมาทำเป็นถามข้าเพื่อ!

ระหว่างทางก็พบเจออาคารและถนนเส้นสวยๆ ให้พอชื่นใจ  มีโปรแกรม Cambridge mini marathon ช่วงรอข้ามถนน ก็ปรบมือเชียร์คนวิ่งด้วย เข้าใจลึกซึ้งเป็นอย่างดีว่าการวิ่งมันเหนื่อยโฮก ถ้ามีคนปรบมือเชียร์ แรงฮึดน่าจะมีมา (ไม่เคยลงวิ่งเลยไม่เข้าใจลึกซึ้ง)

dscf3499


ร้าน Friendly Toast คนเยอะอะ เสิร์ฟอาหารไดเนอร์สเมกันจ๋าๆ พวกแพนเค้กแผนเท่าหน้า ประโคมมันฝรั่งและของมันๆ ทั้งหลายให้แบบทะลักจาน มีโฆษณาครีมป้ายเท้าอยู่ข้างโต๊ะเป็นต้นแบบเน้ บอกตามตรงว่ารสชาติเฉยๆ มาก แต่ได้ความฮาตรงการตกแต่งร้านและชื่อเมนู

บูสั่งเมนูที่เรียกว่า Sklarmageddon (คงจะเลียนเสียงคำว่าอะมาเกดอน) ซึ่งเป็นไข่เจียว สอดไส้ด้วยไส้กรอก เบคอน พีแคน ราดด้วยเมโยผสมเมเปิลซีรัป เสิร์ฟกับขนมปัง 2 ชิ้นเบ้งๆ และมันฝรั่งอีก 2 กระสอบ … เรากินไม่หมดอะ เลี่ยน

 

 

ขณะที่เมนู Kiss my grits (คงจะตั้งใจล้อเลียนเหมือนจูบก้นฉันสิ เพราะกริตส์มันหนืดๆ แหยะๆ เหมือนอุนจิ ที่ติดก้นอยู่ป้ะ? 5555) ไก่ทอดในนั้นกลับอร่อย สารภาพนะ ที่เมกานี่ฮิตซอสศรีราชาเวอร์ชั่นเวียดนามมาก แต่เราไม่เคยกินหรอก ปรากฏพอบีบปู้ดกินกะไก่ทอดทะนั้น…ก็สลักในใจไว้เลยว่า กลับนิวยอร์กตูต้องซื้อติดบ้านไว้สักแกลลอนละ คือเผ็ด เปรี้ยวนิดๆ แซบเว่อร์วัง แบบคนละเวอร์ชั่นกะศรีราชาบ้านเราเลย

คะแนนความฮาเต็ม 10
คะแนนอาหารแค่ 3
คะแนนความจุกเอาไป 15 เต็ม 10
สมใจพี่บูเขาล่ะ อิ่มยาวถึงเที่ยงคืนแน่งานนี้

dscf3509

เมื่อวานได้ดื่มด่ำกับความขลังแบบ Puritan ของม.ฮาวาร์ดกันไปแล้ว วันนี้เข้าสู่โซนอวกาศของ MIT กันบ้าง แม้จะเก่าแก่และน่ากราบเหมือนกัน แต่ต่างค่ะ คือคนละเรื่อง คนละโลก

เริ่มจากการตั้งชื่อตึกเป็นรหัสตัวเลข ถ้าตึกไหนมีผู้อุปถัมภ์ ก็ตั้งชื่อตึกเป็นชื่อคนนั้น แต่ก็ยังมีรหัสตัวเลขกำกับอยู่ดี วิชาต่างๆ ก็เรียกเป็นตัวเลขเช่นกัน คือเรียกว่าเอามันให้เนิร์ดสุดขอบโลกไปเลยว่างั้น

dscf3507
ตึกเขาเยอะมากนะ นี่แค่ส่วนนึงเอง

ตึกแรกที่เห็นนี่บับ…อยากยกมือไหว้ อยากได้รูปทรงไหนเขาก็ทำตามอำเภอใจเลย มองมุมไหนก็อืม…นี่เข้าโซน space ของยูนิเวอแซลสตูดิโอแล้วช่า ตึกดูหลุดโลกสุดๆ ไปขึ้นไรด์ spider man กันเถอะพวกเรา

dscf3514
บูน้อยอินสเปซแลนด์


ความสนุกของม.นี้คือมีไรเจ๋งๆ เยอะมาก บูเล่าว่าเป็นม.ที่ร่ำรวยสุดๆ เพราะถือลิขสิทธิ์ของอาวุธและเทคโนโลยีสำคัญๆของโลกนี้ไว้มากมาย แต่ไม่คอมเมอร์เชียลเท่าทางฮาวาร์ดที่ใกล้ตัวพวกเรามากกว่า ที่สำคัญเขาสนับสนุนคนเก่งที่มีหัวธุรกิจ ด้วยการให้ทุนเปิดบริษัท เอื้ออำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ เท่าที่จะทำได้ ไม่เหมือนฮาวาร์ดที่ไม่คิดจะสนับสนุนนักศึกษาหัวธุรกิจใดๆ จนนศศ.ต้องดร็อปไปเสี่ยงดวงเอาเอง ออกแนวอนุรักษ์จ๋า จนเพิ่งมาเมื่อไม่นานนี้เองที่เริ่มๆ จะสนับสนุนบ้างแล้ว

DSCF3527.JPG
ถังลิควิดไนโตรเจน…แบบว่า…นี่โรงงานหรือมหาลัย?
dscf3528
นั่น? โดมพระธรรมกาย? หรือหอดูดาว?
img_8231
อีกที…นี่โรงงานหรือมหาลัย? น่าตืนตาตื่นใจมาก

ที่เราเดินนี่แค่ส่วนเล็กๆ ส่วนเดียวของมหาลัยเขาเองนะ…


ใน MIT มีแทงก์ไนโตรเจนบะลึ่ม เครื่องยนต์เจ็ตอยู่ในแลป ตึกที่ด้านในมีชื่อเล่นว่า ‘infinite corridor’ คือการเชื่อมหลายๆ อาคารเข้าด้วยกันผ่านทางเดินเดียวยาวม๊าก เพราะพอหน้าหนาวนักศึกษาจะได้เดินเรียนได้โดยไม่แข็งตาย ในอาคารก็จะเห็นห้องแลปสารพัดรูปแบบที่เราส่องดูการทำงานของนักเรียน อาจารย์ นศศ.ได้

สรุปว่าเดิน MIT สนุกกว่าที่คิดเยอะเลย

dscf3538
กิจกรรมนักศึกษา
dscf3540
MIT, Boston.
dscf3541
infinite corridor จริงๆ ยาวม๊ากกกกกกกกกก
img_8234
MIT, Boston.

New England Aquarium: ชื่อนี่ช่างบ่งบอกถึงการอพยพมาอยู่ของชนชาวอังกฤษเสียจริงๆ ค่าเข้า 27/คน ใช้บัตร Go boston card เข้าฟรี

อะแควเรี่ยมที่นี่ค่อนข้างเล็ก มีแทงก์ใหญ่ตรงกลาง ต้อนรับพวกเราด้วยเพนกวิน 3 เผ่าพันธุ์ที่ยืนนิ่งยังกะหุ่น ชอบพันธุ์เล็กสุดอะ ว่ายคึกยังกะอัพยา ไม่พอส่งเสียงร้องเจี๊ยวจ๊าวเรียกร้องความสนใจตลอดๆ

 

ด้านนอกมีแทงก์สิงห์โตทะเล ซึ่งตอนเราไปเหมือนกำลังนอนกันอยู่ สักพักตัวนึงขยับ

บูบอก “สงสัยฝันว่าเจอหอยแน่ๆ”
“ทำไมอะ” เราถาม
“ก็มือมันขยับ คงขยับไปหยิบหอยกินไง” เอิ่ม…คิดได้

img_8241
นี่ๆ สรุปเธอฝันว่าเจอหอยจริงรึเปล่า?

ส่วนอีกตัว “ตัวนี้ฝันว่าเจอปลา”
ต่อมมโนของบูทำงานหนักมาก บอกเลย

img_8243
ตัวนี้ฝันเห็นปลา…บูกล่าว

จุดขึ้นเรือไปดูปลาวาฬอยู่เพียร์ 4 ตรงอะแควเรี่ยมนั่นเอง บูจองตั๋วไว้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง หน้าร้อนเรือจะออกหลายรอบกว่า ส่วนตอนนี้เรือมีแค่วันละรอบตอนเที่ยงตรง กลับถึงฝั่งตอน 4 โมงเย็น ซึ่งรถไฟพวกเราเที่ยว 5.40 น. แหมมันช่างพอดีพอดิบจริงๆ

ดีใจได้ขึ้นเรือดูปลาวาฬครั้งแรก ไม่นึกไม่ฝัน เพราะอ่านไม่เจอ
บัตร Go Boston Card ขึ้นเรือดูปลาวาฬฟรีด้วยล่ะ (ปกติ 50/คน)

dscf3558

เรือดูปลาวาฬนี้จัดโดยอะแควเรี่ยมเองเลย เขายินดีจ่ายเงินคืนถ้าออกไปแล้วไม่เห็น หรือถ้าวันไหนคลื่นลมแรงออกเรือไม่ได้ โชคดี…พวกเราไปวันที่ลมสงบมาก กระนั้น…ก็รีบหยิบยาแก้เมามากินกันไว้ก่อน เพราะมันขึ้นชื่อว่าคนอ้วกกันเยอะมาก (หาได้จากร้าน CVS, Walgreens, Duaneread ในเมืองเลย)

เขาจะขับเรือราว 1 ชม.ออกไปจนถึงจุดที่เรียกว่า Stellwagen National Marine Sanctuares ซึ่งมีลักษณะเป็นสันทราย อุดมด้วยอาหารนานา เป็นแหล่งชุมนุมของปลาและแพลงตอน น้ำเขาเลยจะไม่ใสแจ๋ว พอเข้าโซนนี่รู้สึกได้เลยนะ จะเห็นนกลอยตัวเกาะกันเป็นกลุ่มๆ บ้างก็บินวน นกเยอะมากจนเป็นภาพที่แปลกตา เมื่อก่อนเคยคิดว่านกพวกนี้บินผ่านมหาสมุทรกว้างใหญ่มันจะพักที่ไหนคงเหนื่อยแย่ อ๋อ…พวกเธอลอยน้ำได้นี่เอง จบ

dscf3685

จังหวะนี้ผู้คนพากันเพ่งสายตามองไปยังขอบฟ้า หาปลาวาฬค่ะ… ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ เงียบจนได้ยินเสียงนกที่ร้องอยู่ไกลๆ ทุกคนรวมแรงรวมใจเป็นหนึ่งเดียวมาก ไกด์เรือจะคอยบอกว่าอยู่ตรงไหน คนก็จะกรูกันไปตรงนั้น

เทคนิคในการดูปลาวาฬแบบเต็มตา คือ … ปักหลักอยู่ที่หัวเรือด้านหน้าให้เร็วที่สุด แล้วยืนมันตรงนั้นไม่ต้องวิ่งไปทางซ้ายทีขวาที (เหมือนอิฉัน) เพราะสุดท้ายก็ได้เห็นเต็มตาทั้งสองฝั่งอยู่ดี เชื่อหัวไอเรือง

เรือมี 2 ชั้น ถ้าดูหัวเรือชั้นล่างจะได้ใกล้ชิดกว่า แต่ถ้ายืนบนชั้นสอง จะได้เห็นแบบมุมกว้างลักเชอรี่ (เลือกเอา)

dscf3576
ยัยเมียตัวเตี้ย เลยดูบนชั้นสอง นั่นไงฟองฟู่ที่พี่วาฬเค้าทำ

อิเมียนี่ตอนแรกปักหลักมุมซ้ายค่ะ แต่ปลาวาฬดันออกฝั่งขวาก่อน ตอนแรกตั้งใจปักหลักรอนะ เพราะคิดว่ายังไงก็ต้องมาฝั่งนี้บ้างแหละ แต่คุณบูคะยั้นคะยอให้ไปดูอีกฝั่งข่ะ (เข้าใจ นางกลัวภรรเมียไม่ได้เห็นปลาวาฬ) ก็เลยผละจากจุดที่ไม่มีคนบัง ไปยืนอยู่หลังคนรัสเซียสูงโย่ง ต้องเขย่งเก็งกอยจนขาแทบตะคริวกินอยู่นาน การถ่ายรูปก็ใช้วิธียืดมือขึ้นไปกะระยะเอา ได้ไม่ได้ช่างมัน (ค่ะ … 99% คือไม่ได้)

และจากร้อยๆ รูปที่ถ่ายมา รูปนี้ดีสุด…เห็นเสี้ยวข้างหางพี่วาฬเค้า…
dscf3612

 

รูปนี้ดีรองลงมา คือเห็นปลาวาฬ 2 พันธุ์กำลังกางครีบเหนือผืนน้ำพร้อมเพรียงกัน ทุกคนตื่นเต้นมากๆ ตอนนั้นจำได้ว่ารัวกดชัตเตอร์แบบไม่ยั้งเลยนะ คิดว่าต้องมีรูปดีๆ น่าอวดอ้างสักรูปแน่นอน แต่ทว่า.. (เล็งต่ำตลอดๆ)
พอกันที….
dscf3707
ไกด์บนเรือเล่าว่าวันนี้พวกเราโชคดี เพราะเห็นปลาวาฬถึง 3 พันธ์ จำนวนเป็นสิบตัวทั้งใกล้และไกล เห็นแบบเยอะบ้าง หรือเห็นแค่พ่นน้ำออกมาฝอยๆ บ้าง

มี 2 ตัวที่เค้า association กัน คือมาว่ายวนมุ้งมิ้งกันไปๆ มาๆ ทั้งที่ปกติปลาวาฬมันสันโดษอยู่ตัวเดียว … ระหว่างยืนดูก็จะเห็นตลอด ใกล้บ้างไกลบ้าง แต่ถ่ายรูปออกมาแล้วมันไม่ค่อยเป๊ะน่ะ

โชคชั้นสองคือ มีฝูงปลาโลมามาดำผุดดำว่ายเล่นกับแก๊งค์ปลาวาฬด้วย!! ปลาโลมานี่ลายแปลก คือสีขาวดำเหมือนวัว ไม่เคยเห็นมาก่อน มันน่าประทับใจตรงฝูงโลมาว่ายผลุบๆ โผล่ๆ เล่นกับเรือบ้าง หรือไม่ก็ว่ายนำหน้าปลาวาฬสองตัว ที่สลับกันดำผุดดำว่าย แล้วก็มีนกบินวนๆ รอกินเศษปลาที่คุณปลาวาฬทั้งหลายตีฟองให้มันลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ก่อนอ้าปากฮุบ

คือมีความสุขมาก คือหลังๆ ไม่ถ่ายรูปแล้ว ดูด้วยตานี่ล่ะฟินสุด เพราะใช้การกะเอาไง ไม่ได้เล็งจริงจังไง แถมกล้องไม่มีเลนส์ซูม รูปที่ได้ส่วนใหญ่เลยเป็นแบบนี้…

dscf3622

คือนี่ถ่ายไรลงไป๊!!!
เลยยืนดูเฉยๆ แล้วดอยเอาคลิปที่บูถ่ายมาลง 55555 บูเองก็ดูสนุกกับการดูปลาวาฬมาก แม้นางจะหนาวสั่นที่ใบหูเพราะไม่ได้เอาหมวกปิดหูมา (เออ หน้าหนาวนี่เตรียมเครื่องหนาวพอกตัวไว้เลยนะ ลมทะเทแรงเชอ)

 

กลับขึ้นฝั่งราวบ่าย 4 ตามคาดหมาย ไปหยิบกระเป๋าที่ฝากไว้ในล็อกเกอร์ของอะแควเรี่ยม (ล็อกเกอร์ใหญ่ 7 เหรียญ/วัน) แล้วกินอาหารเย็นที่ร้าน Legal sea foods ตรงข้ามกับอะแควเรี่ยมนั่นเอง

สมองยังรู้สึกโคลงเคลงเหมือนอยู่กลางทะเลไปจนอีกวันนึงเลยนะ…คิดถูกแล้วล่ะที่กินยาแก้เมากันไว้

ร้านนี้เป็นเชน และใช่ค่ะ เราสั่ง clam chowder มาลองเทียบ…โอเคนะ แต่ยังไม่ครีมมี่เท่า ให้เป็นที่สองแล้วกัน

ส่วน Fried Clams อิฉันสั่งแบบเป็นเมนคอร์สเลยค่า มาแบบตูมๆ ภูเขาเลากา จัดทิ้งท้ายทริปซะหน่อย เดี๋ยวจะมะได้กินละ หอยร้านนี้เขาคิดตามนน. ตัวใหญ่เนื้อฉ่ำเคี้ยวเต็มปากเต็มคำมาก รสชาติดีเชียวล่ะ อ่ะให้เป็นอันดับสองรองจาก union oyster ละกัน คือคะแนนสูสีกันเลยอะ ตัดสินใจไม่ค่อยถูก แต่ประสบการณ์ครั้งแรกมันฝังใจอะ เลยทำให้ลืมยาก ถ้ากลับไปกินซ้ำที่ union oyster อาจจะไม่อร่อยเท่าครั้งแรกอะเนาะ

คุณบูสั่ง crab cake ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ควรค่าแก่การลองในบอสตัน เนื้อปูจัดเต็มมาก เสิร์ฟพร้อมกุ้งและหอยเชลล์ ที่เราว่าหอยเชลล์หวานฉ่ำเลย อร่อยกว่าปูเองซะอีก 5555

img_8262

 

กินเสร็จก็ออกมาถ่ายรูป Super moon หน้าร้าน แล้วเดินกลับไปที่สถานีรถไฟเตรียมขึ้นกลับนิวยอร์ก เพื่อจะพบว่า…

ร้านตาบักปิดแย้ว อดได้แก้วสะสมเมือง Cambridge T^T
คือยัยนี่ก็แปลกนะ กาแฟตาบักไม่กินนะปกติ แต่สะสมแก้วเค้า 555555

สรุปเป็นทริป 3 วัน 2 คืนที่กำลังดี อาหารอร่อย ตัวเมืองน่าประทับใจ
เมื่อไม่คาดหวังอะไรมากมาย พอมาแล้วได้เกินกว่าที่คิด ชีวิตก็มีความสุขแล้วอะเนาะ

กลับบ้านไป ต้องงดอาหารทะเลอย่างน้อย 2 สัปดาห์ละ รู้เลยว่าระดับคลอเรสเตอรอลกระฉูดแบบไม่ต้องตรวจเลือด!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s