ทริปนี้ขึ้นเครื่องบินคนเดียวจากฮ่องกง ไปเปลี่ยนเครื่องที่ดูไบ แล้วนัดเจอคุณบูที่สนามบินมาดริดเลย เพราะนางจะบินออกจากลอนดอนไปหาเราหลังเสร็จงาน

บนเครื่อง
ระหว่างเครื่องยังไม่ออก นั่งมองออกนอกหน้าต่าง ดูลุงเหวี่ยงกระเป๋าเดินทางจากรถบรรทุกเล็กขึ้นสายพานเพื่อโหลดใต้เครื่อง ลุงเหวี่ยงมันมาก ตุ้บ ตั้บ โครม ไม่สนว่าเป๋าใครจะแพงจะถูก เราก็เออ สงสารเอวลุงเนาะ เจ้าของกระเป๋าน่าจะเข้าใจ สักพัก…พลั่ก! อ้าวนั่นกระเป๋าตู! ลุง ช่วยเบาๆ หน้อยยยย!!!!
นั่งข้างคุณป้าครอบครัวฮ่องกงที่มากัน 3 คน แอร์สจ๊วตต้องคิดว่าฉันเป็นลูกสาวป้าแน่ๆ เพราะหมวยเหมือนกัน ไม่พอป้ายังขอให้เราสั่งไวน์เผื่อหน่อย (เราไม่กิน) และป้าไม่ได้เก็บกินทีหลังนะคะ นางเปิดกินทุกขวดที่สั่งมาดื่่มอย่างเมามัน (ป้าลำยองมาก 5555) ขาฮ่องกง-ดูไบนี่จำได้ว่าเมื่อยก้นมาก เบาะนั่งไม่สบายสุดๆ แต่ก็สนุกตรงได้เห็นทะเลทรายเต็มๆ ตาตอนแลนดิ้ง ส่วนขาดูไบ-มาดริดนี่จำได้แค่ว่า อาหารเช้ามาน้อยมาก ยังกะอาหารมิเนเจอร์! ปกติ Emirates ไม่ค่อยหวงเรื่องของกินนะ สักพักพอถึงเวลาอาหารกลางวันถึงเข้าใจ เพราะอาหารกลางวันเขาจัดเต็มมาก กินไม่หมด ต้องเก็บพวกขนมปังกรอบๆ ไว้กินทีหลัง

สนามบินมาดริด
สวยอะ สวยแบบเท่ๆ เรโทรนิดๆ จำได้ว่าเสียเวลากับการถ่ายรูปพักใหญ่จนกระเป๋ามารอเราที่สายพานนานเลย จากสนามบินมีแท็กซี่ใหม่นิ้งจอดรอเพียบ รถบัสก็มี แต่เราเข้าเมืองด้วย share shuttle ด้วยการจองมาก่อน รถทั้งคันมีคนนั่งราว 6 คน 3 คู่ ค่ารถคู่ละ 21 ยูโร ใช้เวลาเดินทางราว 30 นาที เค้าจะแวะส่งถึงหน้าโรงแรมเลยสบายมากๆ แต่อาจจะเสียเวลาหน่อยถ้าเขาส่งเราเป็นคนสุดท้าย (เสียเวลารอนานพอควรเลย เพราะต้องให้รถเต็มก่อนถึงจะออก)
ลักษณะนึงของมาดริดที่โดดเด่นมากๆ คือร้านอาหารเปิดสาย-ปิดดึก คนเริ่มกินข้าวเย็นกันราวๆ 2-3 ทุ่มเพราะเขามี siesta ซึ่งจะหยุดพักกันตอนกลางวัน อันเป็นปัญหาสำหรับเรานักท่องเที่ยวพอสมควร ยิ่งมาวันแรกๆ ที่ยังเจ็ตแล็กนี่แบบ อยากจะนอนก็อยาก หิวก็หิวแต่บางทีไม่มีไรกิน T^T ดังนั้นติดพวกธัญพืชแท่งไว้ในเป้ก็พอจะช่วยเยียวยาได้บ้าง
One Shot Hotels
เป็นรร.ที่ดีที่สุดในทริปสเปนของเราละ คือเตียงนุ่มนอนสบาย อาหารเช้าอร่อย แขกน้อยเพราะเป็นรร.เล็กๆ อยู่ห่างจากสถานีรถไฟเดิน 10 นาที โดยรวมชอบรร.นี้นะ ยกเว้นแค่เช้าวันที่ 2 ที่เค้าเข้าใจผิดเรื่องอาหารเช้า คิดว่าเราไม่มีอาหารเช้าเลยให้แค่ขนมปัง และพวกเรานั่งรอนานมากๆ โดยที่พนักงานไม่มาถาม หรือไม่สงสัยบ้างเลยว่าเรานั่งรอไรกัน (ทั้งที่วันแรกทุกอย่างปกติ) เลยโกรธมาก (โมโหหิว?) และไม่ได้แนะนำให้ใครไป (ไม่มีคนถาม 5555) แต่โดยรวมรร.ค่อนข้างน่ารักล่ะ
เดินเล่นเมืองเก่า
วันแรกของทริปสเปน และวันแรกที่มาดริด พอกินอาหารเช้าเสร็จ คุณบูพาเดินออกกำลัง แรกๆ ผ่านอาคารหน่วยงานรัฐบาลต่างๆ ของมาดริดก่อน โหว…ใหญ่เว่อวังอลังการมาก เหมือนปราสาทอะไรสักอย่าง บ้างก็มีรูปปั้นสำริดคนสำคัญขี่ม้า นกฟีนิกส์กางปีกกว้าง และรูปปั้นต่างๆ อีกมากมายที่คร้านจะเข้าไปค้นหาความหมาย ตามน้ำพุ กำแพง ฯลฯ อดคิดไม่ได้ว่าพี่คะ ใหญ่เกินไปไหม๊….ก่อนที่ยัยเอ๋น้อยจะเริ่มคลานเข่าเข้าปราสาท เราก็เดินมาถึงย่านเมืองเก่าที่น่าจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยประวัติศาสตร์ เพราะเห็นไกด์ทัวร์พาคนกลุ่มเล็กๆ มาพูดถึงอาคารบ้านช่องแถวนี้ พวกเราได้แต่เดินเล่น ถ่ายรูป อู้ว…อ้าว…ตื่นตากับความเก่า น่ารัก บางอันก็เก๋
มาที่นี่ลงสถานี Anton Martin จะใกล้
อาร์ตมิวเซียม The Museo Thyssen-Bornemisza
มีงานอาร์ตสำคัญๆ เยอะพอสมควร ตอนเราไปมีนิทรรศการของ Dufy พอดี คุณบูชอบที่นี่มาก เราเดินตามดูงานไป หาวไป จะตาวาวขึ้นมาก็ตอนเดินเข้าไปที่ museum shop ได้โปสการ์ดและภาพพิมพ์งานของ Dufy ที่ตอนนี้เอามาแปะฝาบ้านสร้างสีสัน
ร้าน El Brillante
ร้านอาหารนี้อยู่ในจัตุรัสหน้ามิวเซียม Museo Nacional Centro de Arte Reina Sofía ของเด็ดร้านนี้เค้าว่าเป็น คาลามารีบัน (Bocadillo de calamares) ที่เนื้อปลาหมึกจืดไม่หวาน แต่คนน่าจะชอบที่เท็กซเจอร์กรอบนอกนุ่มในมากกว่า ที่เราติดใจคือ เชอริโซ่บันจากร้านนี้ เพราะรสมันเปรี้ยวนิเดๆ ไม่มีกลิ่นหมูเท่าไร กินไม่เลี่ยนเลย ส่วนแคลม (navaja) ที่สั่งผิด เพราะบูพยายามสั่งน้ำส้ม (naranja) ก็อร่อยดี หวานไม่มีกลิ่น เป็นความผิดพลาดที่น่ายินดี ส่วนอาหารอื่นในร้านเป็นพวกอาหารกระป๋องหรือถนอมอาหารแล้ว โปะบนขนมปังหรือทานเป็นจานเล็กๆ
Museo Nacional Centro de Arte Reina Sofia
พวกเราเดินปุเลงๆ ไปอาร์ตมิวเซียมที่สอง ซึ่งเน้น fine arts คล้ายๆ Tate Modern (แต่งานเข้าถึงง่ายกว่าเทตเยอะข่ะ) ที่มีงานแยะมาก และจัดกรุ๊ปตามประเภทของสื่อ เดินกันขาลากเหอะ! แต่สนุก ได้เห็นงานหลากหลาย มีรูปใหญ่ๆ ดังๆ ก็คือ rape of Spain ของปิกัสโซ่ คนออกันตรงรูปนี้เยอะมาก เราเองก็ยืนจ้องงานเค้าอยู่นาน รูป Rape of Spain ของจริงนี่มันใหญ่ม๊ากกกเลยนะ แล้วบางจุดก็มีเหมือนลบแล้ววาดทับด้วยไรด้วย ไม่รู้จงใจหรือไม่ตั้งใจ
ถ้ามีเวลาแวะแค่มิวเซียมเดียวในมาดริด เราแนะนำที่นี่ โดยเฉพาะคนชอบพวกอินสตอลเลชันอาร์ตแบบสนุกๆ แนวไม่ค่อยซ้ำกันในแต่ละห้อง เข้าถึงไม่ยาก ดูเพลินๆ ผ่านๆ ก็ยังได้ หายง่วงเลย
จัตุรัส Plaza mayor
เป็นจัตรัสสำคัญของเมือง สร้างสมัยฟิลลิปส์ที่ 3 (ศตวรรษที่ 16) จากนั้นไฟไหม้ และสร้างใหม่ปลายศตวรรษ 18 ถูกใช้งานหลากหลาย ตั้งแต่ดูการสู้ว้ว เล่นเกมต่างๆ การประหารชีวิต รูปปั้นตรงกลางคือรูปปั้นกษตริย์ฟิลลิปที่ 3 นั่นเอง ตอนนี้ที่นี่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวและส่องคนเหมือนจัตุรัสเก่าแก่ทั่วไปในยุโรป มีคาเฟ่เอาเก้าอี้มาวางให้คนนั่งชิลลก์เก๋ๆ และมีคนมาแสดงดนตรีบ้าง ปาหี่บ้างไรบ้าง โปรดระมัดระวังกระเป๋าของท่านเมื่อมาแถวนี้ คนเยอะแยะไปหมด
Mercado de sanmiguel (เปิดถึงตี 1)
ไม่ไกลจากจัตุรัส คือตลาดอาหารที่ใหญ่ที่สุดแห่งนึงในมาดริด ตลาดนี้เป็นตลาดหลักของนักท่องเที่ยว เราพบคนเอเชียมาเยอะที่สุดแล้ว แต่ก็ยังจัดว่าน้อยมากๆๆๆ คือคนฮ่องกง 2 คนกะเกาหลี 2-3 กลุ่มนี่แหละ
เข้าไปละลานตามาก อาหารแต่ละร้านไม่มีซ้ำกันให้ตัวเลือกน้อยลงเลย เรากินอะไรหลายอย่างมากสั่งมาร้านละอย่าง ที่ติดใจคือพินโชส์ที่โปะสโม้คซาร์ดีน เพราะไม่เคยกินมาก่อน บูยังลองหอยอะไรสักอย่างที่เรากินแล้วคาวมากกกก แต่บูบอกกินตัวที่ 5 ก็เริ่มพบว่ามันไม่เห็นคาวเลย อร่อยดีด้วย ตึ่งโป๊ะ! หลังจากนั้นก็ห้ามบูจับมือไปพักใหญ่เพราะนางแกะหอยที่ว่าแล้วมือเหม็นคาวมากกก บูดื่มเหล้าเชอร์รี่ 2 แก้ว (ถูกและดี) ออยสเตอร์ที่นี่เราว่าไม่อร่อยเท่าลอนดอน และไข่หอยเม่นรสชาติก็ต่างจากญี่ปุ่นมาก คือไม่หวานเท่าและมีกลิ่นทะเลมากกว่า สรุปว่าอาหารทะเลในตลาดนี้ไม่เวิร์กสำหรับเรา กินพินโชส์เถอะเชือ่เรา สนุกกว่าแยะ
temple of debod
ออกจากตลาดเราเดินผ่านสถานที่สำคัญจำนวนมาก ประกอบไปด้วย plaza de la villa, cathedral ใหญ่ของสเปน เพื่อมุ่งหน้าไป temple of debod ซึ่งเป็นวัดอายุ2,000 กว่าปี ขนาดเล็กที่รื้อมาจากอียิปต์ เพื่อส่งเป้นของกำนัลให้ในฐานะที่สเปนช่วยพวกเค้าปกป้องวัดใหญ่ไว้จากคนที่จะมายึดได้เมื่อปี 1968 แล้วเสร็จและเปิดให้คนเข้า 1972 ค่าเข้าด้านในฟรี
คนชอบมาถ่ายรูปตอนพระอาทิตย์ตกกันเพราะมันสวยมาก แต่เวลามันจะคล้อยไปราวๆ 2-3 ทุ่ม (เรามาเดือนเมษา) เลยไม่รออ่ะ รวดไปเดินเล่นที่สวนด้านหลังซึ่งเห็นเมืองมาดริดมุมสูงได้จากระยะไกล และเห็นสวนขนาดใหญ่มากกกกก มีเคเบิลคาร์ส่วนตัวด้วย
Mercaso de san ildefonso (เปิดถึงตี 1)
ขึ้นรถไฟจากสถานี anton martin ไป Tribunal เพื่อกินอาหารในตลาดที่ 2 เป็นอาหารเย็น ตลาดนี้เพื่อนชาวมาดริดของคุณบูเป็นคนแนะนำมา มีลักษณะคล้ายฟู้ดคอร์ต 3 ชั้น ที่ทำได้เก๋กู้ดมาก ดีไซน์อะไรแบบชิคไม่ใช่คลาสสิกเหมือนตลาดแรก ชั้น 1 มีแผงขายอาหารราว 4-5 แผง ชั้นสองจะแยะกว่ามากคือเกือบ 20 ได้ ตรงกลางเป็นโต๊ะเก้าอี้ให้นั่ง กระเป๋าเราเอาเกี่ยวตะขอตรงขาโต๊ะไว้ได้เลย คนเวียนเข้าออกส่วนนี้สม่ำเสมอมาก และอาศัยนั่งแชร์ๆ กันเพราะโต๊ะมีน้อยกว่าคน อ้อ เค้ามี patio ออกไปนั่งรับอากาศ(หนาว)ข้างนอกได้ และมี rooftop terrace ด้วย ส่วนชั้น 3 เป็นบาร์ และมีคนขึ้นไปสั่งเครื่องดื่มมมายืนพิงระเบียงเมาท์มอยกันจำนวนมาก
คุณบูตื่นเต้นดีใจ ถึงกับเลือกสั่งอาหารไม่ถูก (แยะจัด) สุดท้ายได้ไก่ในมัสตาร์ดครีมซอส กินกับฟรายส์จิ๋วทอดกรอบมันเข้ากันมาก ชอบสุดๆ ส่วนคอหมูอิเบอริโก้ย่างหอมฉุยมาก ไม่เหม็นกลิ่นหมูเลย แล้วก็มีอะไรอีกล่ะ…ชีสเบอร์ราต้ากับมะเขือเทศบนขนมปัง อร่อยและนุ่มละลายในปาก และโครเกตต์เห็ดป่ากับฮาม็อง อันนี้ไม่ค่อยรู้สึกถึงเห็ดเท่าไหร่ แต่โดยรวมแล้วอร่อยดี
บรรยากาศดีอ่ะ คนลันลาฮาเฮมาก และไม่ touristy เลย มีแต่คนโลคัล! เห็นคนเอเชีย 2 คนเองบูบอก (คือฉันกับเธอใช่มะ?)
ตลาดนัดข้างทาง
เดินไปตลาดนัดข้างทาง สนุกดี แต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย เพราะตอนนั้นฝนหยดแหมะๆ เลยเอาผ้าพันหัวเป็นหนูน้อยหมวกแดง แล้วเดินเลาะไปทางโน้นที ทางนี้ที หึ…ถ้าฝนไม่ปรอยๆ ล่ะก็ ได้เห็นดีกันแน่ แม่ตลาดริมทางในมาดริด!
เขียนไปเขียนมา พบว่านี่เรารวมที่เที่ยว 2 วันไว้ตรงนี้หมดแล้ว 555555 เบลอเอง มิน่าล่ะทำไมมันไปเที่ยวเยอะจังฟระ เอาเป็นว่าคุณบูปิดโปรแกรมวันที่สองของเราในมาดริดที่ การดูเต้นฟลามิงโก้ ซึ่งเปรียบประหนึ่งการมาเมืองไทยแล้วต้องดูรำไทยเบอร์นั้น เป็นหนึ่งใน A Must ที่ต้องดู คุณบูจองไว้รอบทุ่มหรือหกโมงเย็นนี่แหละ รอบนึงคนไม่เกิน 30 คิดว่า นั่งกันสบายๆ จะสั่งเครื่องดื่มมาจิบไปดูไปก็ได้ เค้าเต้นกันสักชม.
ตอนแรกยัยเอ๋น้อยก็นั่งดูนิ่งๆ หรอกนะ สักพัก…หลับข่ะ!!! ทั้งที่เสียงดนตรีฟลามิงโกนี่มันโจ๊ะพรึมๆ เขย่าประสาทหูมากเลยนะ แต่ด้วยความที่ยังเจ็ตแลกไง ร่างกายไม่ชิน พอถึงเวลาหลับมันก็พยายามปิดสวิตซ์ตัวเองซะงั้นน่ะ เลยโงกเงกซบไหล่คุณบูหลับไป กลัวนักเต้นเขาจะปาขวดใส่เหมือนกัน หาว่าฉันเต้นสวยๆ หล่อนยังบังอาจมาหลับต่อหน้าฉันได้
จบจากดุฟลามิงโก้ พวกเราแวะกินสเต็กกันก่อนกลับที่พัก (จำได้ว่าสเต็กอร่อยมากๆ) แล้วก็กลิ้งตัวกันกลับโรงแรม แต่ยังหลับไม่ได้ เพราะต้องจัดกระเป๋าเพื่อย้ายเมืองต่อ แต่สู้ว้อยยยยยย