
มาอยู่นิวยอร์กได้เดือนที่ 4 ฤดูใบไม้ร่วงก็คืบคลานเข้ามา เริ่มต้นตั้งแต่เดือนตุลาอากาศผันผวนน่าดู วันนึงฝนตกฟ้ารั่ว อุณหภูมิตกหนาวโฮก วันถัดมากลับอุ่นจนถอดเสื้อกันหนาวเก็บไว้บ้านแทบไม่ทัน หรือเมื่อวานฟ้าครึ้มฝนปรอย วันถัดมาแดดแจ้งจางปาง จะออกไปไหนทีต้องเช็คอุณหภูมิก่อนเสมอ จะได้ไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาวไปให้เก้อเล่น
ตัวเราเดินป่า-ขึ้นเขามาได้ 2-3 ปี แต่ยังไม่มีโอกาสเดินตอนใบไม้เปลี่ยนสีเลย มีบ้างตอนไปญี่ปุ่นแต่นั่นก็แบบหยอมแหยมให้ได้ตื่นเต้นนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เปลี่ยนสีเพียบเป็นพรืดเหมือนผืนพรม ดังนั้นวันนี้เลยเป็นครั้งแรกที่ตื่นเต้นกับการจะได้ไปปีนเขากับคุณบู (นานๆ จะเกิดขึ้นที ปกติจะเลี่ยงตลอด) เพราะอยากเห็นใบไม้สวยๆ ขึ้นคลุมเต็มเขาอย่างที่เคยเห็นแต่ในรูปบ้าง แม้โชคชะตาจะพิสูจน์ความมุ่งมั่น เพราะเราดันขาพลิกจนข้อเท้าซ้ายบวมนิดๆก่อนไปแค่วันเดียว ใจก็กลัวจะไปตกเขาตายอยู่เหมือนกัน แต่อีกใจก็คิดว่าน่าจะไหว เพราะรองเท้าที่ใส่เป็นแบบหุ้มข้อ คงพอช่วยพยุงมันไปได้ และสุดท้ายยัยเอ๋น้อยก็อึดมาก…ไม่หกล้ม ขาไม่พลิกซ้ำ และยังไม่ตกเขาตาย กลับมาอย่างปลอดภัย ฮูเร…

Bear Mountain State Park
ปีนเขาหน้าฟอลล์ครั้งแรก เราเลือก Bear Mountain เป็นจุดหมาย คุณบูศึกษาข้อมูลมาแล้วว่าสัปดาห์นี้ (ปลายตุลา) ที่นี่ใบไม้เปลี่ยนสีพีคสุด ซึ่งการความพีคของใบไม้เปลี่ยนสีในแต่ละจุด มีรายงานชนิดประชิดต้นคอจากเว็บไซต์ I love NY คลิกที่นี่
การจะมาก็ไม่ยาก ไปขึ้นรถบัสที่ Port Authority (ใกล้ๆ times square ที่ Port authority มีคาเฟ่ au bon pain ขายขนมอบเยอะมาก starbucks ก็อยู่ฝั่งตรงข้าม ซื้อตั๋วเสร็จก็นั่งกินกาแฟขนมปังรอได้เลย จะซื้อติดไปกินระหว่างทางเดินป่าก็ได้เช่นกัน) เป็นรถของ Coach USA รถเที่ยวแรกคือ 8.40 น. ใช้เวลาราวเกือบ 2 ชม.หลับไปสบายๆ สักตื่นก็ถึงแล้ว ค่ารถคนละ 25 เหรียญ (ไป-กลับ) รถจะจอดที่ Bear Mountain Inn ทางขึ้นเขาก็อยู่ข้างอินน์นั้นเอง (ให้บอกคนขับไว้ก่อนว่าจะลงไหน) เราจะแวะเข้าห้องน้ำ ซื้อขนมที่อินน์ก่อนก็ได้ เค้าต้อนรับนักเดินเขาและนักท่องเที่ยวทุกคนเลย น่ารักมากๆ แม้เราจะไม่ใช่แขกก็ตาม ส่วนขากลับคือเวลา 15.30 น. กับ 17.30 น. เราต้องเตรียมกะเวลามายืนรอรถบัสให้ทัน (จุดรอไม่มีป้าย แต่มันจะอยู่ตรงข้ามกับตอนเราลง คนมักไปยืนออๆ แถวนั้นตอนใกล้รถจะมา)
พวกเราเคยมา Bear Mountain แล้วครั้งนึง เป็นช่วงเริ่มเข้าออทัม ดอกไม้แข่งกันบานเต็มทุ่ง ต้นไม้สีเขียวสด ซึ่งก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบเหมือนรูปด้านล่างนี้

กลับมาคราวนี้ มีคนมาปิคนิคดูใบไม้เปลี่ยนสีกันเยอะเหมือนมีงานเทศกาล เพราะที่นี่คือหนึ่งใน best spot to see fall foliage in Hudson valley แถมมีสนามหญ้ากว้าง มีกิจกรรม มีรถอาหาร มีเทศกาล october fest ด้วย ใครจะมาปูเสื่ออาบแดดเขาก็ไม่ว่าอะไร หรือจะเอาถ่านมาปิ้งบาร์บีคิวริมสระน้ำเขาก็มีโต๊ะให้ เรียกว่าวันนี้มีการเสริมรถเพิ่มอีก 3-4 คันเลย เพื่อรองรับจำนวนคน ไม่ต้องกลัวไม่ได้กลับ (แต่ตอนแรกเราก็กลัวเหมือนกันว่าจะไม่มีรถกลับ)
สำหรับการปีนเขา คนทั่วไปมีทางตรงดิ่งให้ขึ้นไปจนถึงยอดเขาได้ ใช้เวลาราวชม.นึง แต่เราเคยไปแล้วคราวก่อน เลยเลือกที่จะเดินเข้าป่าชมต้นไม้ มากกว่าจะขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดท่าเดียว เพราะสีสันของการเดินคราวนี้อยู่ที่การชมใบไม้สวยๆ ระหว่างทาง ไม่ใช่การได้เห็นวิวจากมุมสูงแค่อย่างเดียว โดยรวมแล้วใช้เวลาเดินเขาทั้งหมด 3.5 ชม. ระยะทางราว 10 กม.
ปกติเดินเขาเรามักแซงคนอื่น ไม่ใช่เพราะเดินเร็ว แต่เป็นเพราะเดินสม่ำเสมอ คราวนี้เรากลับรั้งท้ายปล่อยให้คนอื่นเดินแซงไปเรื่อยๆ เพราะสนุกกับการถ่ายรูปนั่นนี่ไม่เบื่อเลย คุณบูก็ปักหลักหยุดรอเป็นระยะๆ ไม่ได้เร่งอะไร เพราะเธอรู้ดีกว่าเราไม่เคย ฮ่าๆๆ
ที่รวดร้าวสุดวันนี้คือลมค่ะ…ลมแรงมากกกกกกกกกก เราใส่เสื้อเชิ้ตสักหลาด ทับด้วยฟลีซตัวนึง ใส่หมวกไหมพรมบางๆ ไว้ใต้หมวกปีนเขากันแดด ก็ยังรู้สึกเลยว่ามันหยาวเยือกโดยเฉพาะเวลาลมพัดผ่าน จนต้องควักเอาเสื้อขนเป็ดตัวบางๆ มาใส่ทับเป็น 3 ชั้น มือเมอนี่เย็นเฉียบอะ น้ำมูกใสๆ ไหลยืดตลอดการเดินทางแบบห้ามไม่ได้ แม้ตอนเดินขึ้นเขาจะมีเหงื่อซึมเล็กๆ เพราะร่างกายใช้พลังงานเยอะ แต่พอหยุดพักแค่นาทีเดียวเท่านั้นแหละ ความหนาวจะคืบคลานเข้ามาทันที จำได้ว่าตอนพักกินเบเกิลป้ายครีมชีสเป็นอาหารกลางวันกับกาแฟร้อน (ใช่ๆ มาเดินเขาหน้านี้ พกเครื่องดื่มร้อนๆ มาแกล้มขนมปังด้วยจะฟินมาก!) แม้บรรยากาศจะดี๊ดีคือกินใต้ร่มเมเปิ้ลใบสีแดงสวยเชียว แต่ความหนาวมันทำให้เราต้องรีบกินให้เสร็จ จะได้เดินต่อเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
บางจุดที่ใบไม้ถูกลมพัดร่วงมากองรวมกันเยอะๆ เหมือนมีผืนพรมธรรมชาติปูคลุมทั่วทั้งป่า ดูสวยและมหัศจรรย์มาก ต้นโอ๊คสูงใหญ่เหมือนเสียดฟ้า พากันพร้อมใจเปลี่ยนสีใบเป็นเหลืองสด เวลาต้องแดดก็สวยไปแบบนึง เวลาไร้แดดก็สวยอีกแบบนึง ระหว่างเดินอยู่บนพรมใบไม้หนานุ่มพวกนั้น รู้สึกเหมือนเราหลุดเข้าไปในอีกโลกนึง (เมืองในตู้เสื้อผ้า?) ที่เงียบงันเพราะมีกันแค่ 2 คนซะส่วนใหญ่ จากปกติมาเดินซัมเมอร์จะเจอกระรอกและนกบ้าง มาหนนี้หนูกระรอกหาแซบ นกก็ไม่ค่อยได้ยินเสียงเลย เริ่มหนาวแล้วมันคงพากันบินลงใต้










ou























2 thoughts