
วอชิงตันคือเมืองหลวงของประเทศอเมริกา เป็นที่ตั้งของทำเนียบขาว และอนุสรณ์สถานสำคัญหลายแห่ง สำหรับเราไฮไลต์ที่นี่คือการเป็น “มิวเซียมแห่งโลก”เพราะเก็บของชิ้นประวัติศาสตร์ไว้มากมาก และมีมิวเซียมให้เข้าชมเยอะมากจนเลือกกันไม่หวาดไม่ไหว ส่วน อาหาร แถวๆ มิวเซียมมี food trucks เพียบโดยเฉพาะตรง Washington monument ถ้าไม่คิดมากก็กินได้ในราคาประหยัด ร้านอาหารเมืองนี้ส่วนใหญ่เป็นอาหารเมกัน รสติดเค็มและมาขนาดค่อนข้างใหญ่ ทิปเหมือนเมืองอื่นคือ 18-22% ตามอัธยาศัย แต่ร้านส่วนใหญ่เปิดสายถ้าไม่คิดอะไรมากการกินอาหารเช้าที่รร.ก็เป็นทางเลือกที่ดี หรือจะไปกินในคาเฟ่มิวเซียมตอนเปิดก็ได้ (10 โมง) เรื่อง ความปลอดภัย ไม่ต้องพูดถึงเพราะค่อนข้างเข้มงวดมากโดยเฉพาะย่านมิวเซียมและทำเนียบขาว เดินกลางคืนไม่กลัวเลย แท็กซี่ มีทั้งแบบปกติและแบบ Uber (ต้องใชับัตรเครดิต) อากาศช่วงต้นเดือนตุลาคม(ใบไม้ร่วง) กำลังดี อยู่ที่ราว 10-17 องศา แต่ลมแรงจัดหนักทีเดียว
ทริปนี้เราไป 3 วัน 2 คืน เดินทางจากนิวยอร์กด้วยรถไฟ Amtrak แผนเที่ยวในวอชิงตันคร่าวๆ เป็นแบบนี้
Day1:
นั่งรถไฟเที่ยว 7.05-10.30 น. จากสถานี Penn Station นิวยอร์กถึงวอชิงตัน ใช้เวลา 3.5 ชม.
11.30 น. กิน steak & crab claw ที่ร้าน Joe’s ใกล้ทำเนียบขาว (แนะนำ)
14.45 เอากระเป๋าไปฝากที่รร.Holiday Inn (ใกล้กับมิวเซียมต่างๆ มาก เช็คอินเอาท์เร็ว ห้องสะอาด)
15.30 เข้า National air & space museum (ฟรี)
17.00 museum ปิด เดินออกไป Washington monument (ฮิต)
19.30 กินอาหารเย็นร้าน Firefly (อาหารเมกัน)
Day2:
9.00 กินแซนวิชที่ร้าน Red Apron
10.00 เข้ามิวเซียม Natural history (ฟรี)
12.00 ไป flea market และกินอาหารกลางวันอิตาเลียนร้าน Acqual al 2 (สาขาแรกอยู่ฟลอเรนซ์)
15.00 เข้ามิวเซียม American History (ฟรี)
17.00 มิวเซียมปิด ถูกเตะออกมา เดินไป Lincoln monument
19.30 กินอาหารเย็นร้าน Founding Farmers เป็นร้านต้นแบบ farm to table (คนแน่นป๊อบมาก)
Day3:
9.00 นั่งบัสจากรร. ไป Georgetown ย่านที่อยู่นักการเมืองคนสำคัญของเมกา (สุดยอด)
9.30 กินอาหารเช้าร้าน Leopold’s Kafe + Konditorei (อาหารโอเค บรรยากาศดี แรงขับเคลื่อนเฉื่อย)
10.30 เดินไปย่านหน้ามหาลัย Georgetown + เดินเล่นป่าหลังมหาลัย เลาะริมน้ำวกกลับเข้าเมือง (ไฮไลต์ของเราเลย)
13.00 กินกลางวันร้าน Martin’s Tavern ได้นั่งโต๊ะที่ JFK เคยขอภรรยาแต่งงานด้วย! (บรรยากาศได้โล่ อาหารแปลกมี)
15.00 กลับจาก Georgetown เข้าเมือง เดินเล่น United States Botanical gardens (สวนเรือนกระจกใหญ่บะเฮ่ง)
16.30 กลับรร.ไปเอากระเป๋า แล้วนั่งแท็กซี่ไปสถานีรถไฟ จบทริปวอชิงตันแอปเปิล

การเดินทางในวอชิงตันดีซี
วอชิงตันดีซีเป็นเมืองใหญ่ เราสามารถเลือกเดินทางด้วยรถบัส หรือรถไฟใต้ดิน ซึ่งสะอาดสะอ้าน(กว่านิวยอร์กเยอะม๊ากกก) สถานีไซไฟสุดๆ (มองอีกแง่ เหมือนวาฟเฟิลยักษ์ทรงโค้ง) ค่ารถไฟและรถบัสเท่ากันคือ 1.75 เหรียญ ใช้บัตร Smartrip บัตรเดียวขึ้นได้หมด (ใช้วิธีแตะเข้า-ออกรถไฟ ส่วนรถบัสแตะตอนขึ้นอย่างเดียว) สามารถซื้อจากสถานีได้เลย ดูวิธีซื้อจากคลิป สาธยายโดยบูศักดิ์
เที่ยวอะไรในวอชิงตันดีซี
จากประสบการณ์รอบนี้ เราแบ่งลักษณะเที่ยวในดีซีได้คร่าวๆ 2 ส่วนคือ
1. เข้ามิวเซียม (โหลดดูแผนที่จาก mall map)
2. เดินดูเมือง
มิวเซียมในดีซีบริหารงานโดยองค์กรชื่อ Smithsonian ย่านที่มีมิวเซียมชุกชุมเรียกว่า The National Mall แถวนั้นรวมทุกสิ่งไว้เยอะมาก ทั้ง Washington Monument, Abraham Lincoln, United States Botanic Gadens, the White house มิวเซียมใหญ่ๆ เที่ยวได้ 2-3 วันติดแบบไม่ต้องออกไปไหนเลย ถ้าไม่อ้วกออกมาเป็นมิวเซียมก่อนล่ะก็ ที่สำคัญค่าเข้ามิวเซียมฟรีเกือบทั้งหมด! ยกเว้นส่วนของ Imax และงานพิเศษเท่านั้นที่เก็บเพิ่ม
***** ถ้าใครมาดีซีก่อนไปนิวยอร์ก เราบอกได้เลยว่ามิวเซียมส่วนใหญ่ของที่นี่เทียบเท่า หรือดีกว่าที่นิวยอร์กอีก อย่าง Natural History Museum ของที่ดีซีเราว่าดีกว่าอีก และ Air & space museum ที่นิวยอร์กก็ไม่มีด้วย (มีแต่ Sea, Land, Air ซึ่งเราว่าสู้ไม่ด๊ายยยยย) ดังนั้นแวะให้เต็มที่เลยนะ ไม่ต้องกั๊กรอมาเข้าที่นิวยอร์ก…อีกเหตุผลนึงก็คือ ที่นึ่มิวเซียมฟรี แต่ที่นิวยอร์กเก็บตังค่าาาาาาาาาาาา ****
รร. Holiday inn ที่เราพักก็อยู่ในย่านนี้ซึ่งสะดวกต่อการเดินมามิวเซียมมากๆ แต่ข้อเสียคือ…แทบไม่มีอะไรเลย ร้านอาหารน้อยมาก ไม่มีย่านช้อป คนโลคัลก็น้อย ตอนค่ำเดินกลับรร.ทีแทบไม่พบเจอมนุษย์! คงเพราะใกล้ทำเนียบขาว เขาเลยค่อนข้างเข้มงวด ร้านรวงเลยทนอยู่กันไม่ไหว ขนาดตอนกลางคืนจะเดินกลับรร.ยังห้ามเดินฝั่งรั้วทำเนียบขาวเลยคร่า แต่ถ้าโฟกัสจะมามิวเซียม พักแถวนี้สะดวกสุด กระนั้นถึงจะพูดว่าไม่มีอะไรแต่เราอยู่กันได้สบายมาก เพราะวันๆ เดินมิวเซียมเสร็จ กินข้าวก็หมดแรงแล้ว
ส่วนการเดินเมืองนั้น เป็นสิ่งที่ถ้าขาดจะเหมือนไม่ได้มาเที่ยว 2 วันแรกพวกเราหมกตัวอยู่ย่านมิวเซียม ยังนึกสงสัยเลยว่าคนไปไหนหมด (แถวนี้มีแต่นทท. แต่ก็เป็นคนเมกันซะส่วนใหญ่) วันสุดท้ายตัดสินใจตัดมิวเซียมทิ้งบ้าง จะได้ไปเดินเล่นนอกเมือง และพบว่าตัดสินใจไม่ผิด! เพราะมันคือสีสันของทริป ย่านที่เราไปชื่อย่าน Georgetown ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยการเมืองเก่าแก่ 200 กว่าปี เป็นบ้านของนักการเมืองดังๆ เช่นคุณ JFK, Nixon เป็นต้น
เลยจะแบ่งบล็อกเป็น 2 ส่วนคือส่วนมิวเซียม กับส่วนของ Georgetown

National Air & space museum
จัดว่าชอบมากที่สุดแล้วในมิวเซียมทั้งหมด เราใช้เวลาเกือบ 3 ชม.ที่นี่แบบเดินดูไม่หยุดพักเลย เพราะมีหลักฐานชิ้นสำคัญๆ ของโลกมากมาย โซนอวกาศนี่สนุกสุดเพราะมันคือของไกลตัว ไม่ค่อยมีโอกาสเห็นที่อื่น ชิ้นส่วนยานอพอลโลซีรี่ส์ต่างๆ (ของจริง!) คอนโซลเครื่องบินหลายๆ รุ่น รถบั๊กกี้ที่ใช้วิ่งบนดาวอังคาร การให้เข้าไปดูภายในยาน Skylab ที่เคยได้ยินตั้งแต่เด็ก เพิ่งมารู้ว่ามันเป็นยังไง เต็นท์แบบที่แมตต์เดมอนอยู่ในหนังเรื่อง Martian! ห้องส้วมอวกาศ กล้องเทเลสโคปดูดาวอันใหญ่บะเลิ่มที่เอามาโชว์กันแบบไม่หวง มีพนักงานคอยอธิบายจักรวาลอันกว้างใหญ่ด้วยเลโก้ มีหินดาวอังคารให้จับ มีคลิปการปล่อยตัวของยานอวกาศ ที่คนพากันแหงนหน้ามองได้เป็นสิบๆ นาที แต่ที่ชอบมากๆ คือรายละเอียดจุกจิก เช่นว่า manual นักบินอวกาศมีอะไร ของอะไรที่ต้องเอาติดตัว (สมัยก่อน)
ส่วนนี่เป็นคลิปวิธีนอนหลับของมนุษย์อวกาศ
ไหนจะโซนเครื่องบินอีกล่ะ เครื่องร่อนของพี่น้องตระกูลไรต์ก็อยู่ที่นี่ (ของจริง!) เครื่องบินรบสมัยต่างๆ เครื่องบินการค้าก็มี มาปัจจุบันหน่อยก็พวกเครื่องยนต์เจ็ตที่อธิบายการทำงานอย่างละเอียดยิบ จำลองเสมือนเราอยู่บนเรือที่ลอยลำเป็นฐานให้เครื่องบินต่างๆ กลางทะเล เครื่องกามิกาเซ่ก็มีมาโชว์ (เคยแต่ได้ยินชื่อ)

นี่ยังไม่รวมโซนพวกให้ความรู้ ที่เด็กเล่นได้ ผู้ใหญ่เล่นได้ เช่นว่าวัตถุบินได้อย่างไร ซึ่งเค้ามีกิจกรรมให้เลือกเล่นไม่รู้กี่สิบอย่าง คนแน่นแค่ไหนก็ยังมีจุดว่างให้เข้าไปทดลองทำ นี่แค่เท่าที่พอจำได้นะ แต่ของจริงคือมีเยอะมาก ถ้าอ่านละเอียดคิดว่าทั้งวันคงไม่ได้หลุดออกมา
IMAX ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าพลาด เขาคิดผู้ใหญ่ 9 เหรียญ/หนัง 45 นาที (เด็กน่าจะ 6 หรือ7) แต่ตอนไปเราเข้าสาย 10 นาทีเค้าลดให้เหลือแค่คนละ 6 เหรียญเองล่ะ หนังมีให้เลือกดู 3-4 เรื่อง เราดูเรื่อง A beautiful planet ซึ่งเป็นการเอาภาพของโลกที่ถ่ายจากกล้องบน space station มาตัดต่อแล้วบรรยายทับ สลับกับภาพชีวิตบน space station ของนักอวกาศหลายๆ คนซึ่ง…สนุกไม่น่าเชื่อ!!!!!!! คือเป็นการให้ความรู้หลายๆ อย่างที่เรามองข้ามไป ลืมเลือนไป ลืมนึกถึง ได้เห็นภาพที่น่าตะลึงเช่นตอนกลางคืนของเกาหลีเหนือและใต้…มันเป็นอะไรที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เกาหลีเหนือมืดสนิท ขณะที่เกาหลีใต้สว่างไสว และเขาไม่ลืมกระตุ้นให้คนหันมาสนใจเรื่องภาวะโลกร้อน เพราะการมองจากนอกโลก มันเห็นได้ชัดจริงๆ ว่าชั้นบรรยากาศโลกเราถูกทำลายและน่าวิกฤตแค่ไหน
สรุปว่าควรไปดูเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีวันเห็นบางสิ่งได้จากที่อื่นแน่นอน น่าจะเตรียมเวลามาสัก 3 ชม.
ค่าเข้าฟรี
Natural History museum
เป็นอีกหนึ่งมิวเซียมที่คนพาลูกหลานกันมาเยอะมากกกกกกกกกกกก น่าจะมากกว่า air & space เพราะมันเข้าถึงกว่า สอนลูกหลานได้ง่ายกว่า ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าเดินๆ ไปต้องหลบรถเข็นเด็กไปเกือบตลอดทาง 5555
แน่นอนว่า natural history museum ต้องมาพร้อมกับไดโนเสาร์ ฟอสซิล หินดาวอังคาร กระดูกมนุษย์หิน มัมมี่ สัตว์สตัฟฟ์ ผีเสื้อ แร่ ธาตุ โคตรเพชร พลอย และอีกหลายสิ่งราวๆ นี้ ที่ลอนดอนและวอชิงตันมีรูปแบบสิ่งของจัดแสดงคล้ายกัน แทบจะเรียกว่าไปแทนกันได้ ไฮไลต์ที่นี่มีหมึกยักษ์ขนาดยักษ์จริง และอุกกาบาติอันบะเลิ่มที่พอผ่าออกดูข้างในพบว่าเป็นแร่เหล็กหมด! รวมถึงสัตว์สตัฟฟ์น่ารักๆ หลากหลายรูปแบบ
หนัง Imax ของที่นี่อาจจะไม่แจ่มแจ๋วเท่า air & space เราดูเรื่อง national park ซึ่ง…สนุกดี ดูแล้วอยากไปอุทยานแห่งชาติหลายๆ แห่งของเมริกาขึ้นมา มันสวย ธรรมชาติ ตามฤดูกาลของเขา ขอแค่เรามีแรงไปเฮอะ ค่าดู 9 เหรียญเท่ากัน เข้าสาย 5 นาทีป้าไม่ยอมลด T^T
live butterfly garden จ่ายค่าเข้าคนละ 7 เหรียญ สนุกเพลินดีนะ ผีเสื้อตูมมาก คนเข้ามาทั้งเด็กทั้งแก่สนุกกันทุกคน
ที่ยังไม่เคยเห็นก็คือ โซนห้องทำงานของนักวิเคราะห์ฟอสซิล เค้ากรุกระจกห้องทำงานให้คนดูได้ พอเจ้าหน้าที่ส่องดูอะไร เราก็สามารถเห็นจากจอทีวีที่หันออกมาให้ดูเช่นกัน ฟอสซิลบางชิ้นมันเล็กเหมือนกรวด เค้าต้องส่องกล้องคัดเลือกมันออกจากกรวดอีกเป็นพันๆ ก้อนที่หน้าตาคล้ายกันหมด และวันๆ ก็ต้องทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น แต่ก็น่าเบื่อในคราวเดียว ถ้าไม่รักไม่หลงกันจริงคงจะยากอยู่ ชอบตรงเค้าติดป้ายว่า “อย่าเคาะกระจก เดี๋ยวจะรบกวนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่กำลังวิเคราะห์ฟอสซิลด้านใน” แถมมีการเอาตุ๊กตุ่นยางไดโนเสาร์มาเป็นพรีเซนเตอร์ฟอสซิลตัวเองด้วย อารมณ์ขันเหลือล้นมาก
American History Museum
อิตอนต่อแถวเข้าไปก็ยังงงๆ นะ ว่าเธอก็ไม่ได้อินอะไรนักหนากับประวัติศาสตร์ชาติอเมริกา เพราะประวัติไทยตั้งกะร.1-9 นี่ฉันยังจำได้ไม่ครบถ้วนเลยเหอะ! แต่จริงๆ การมามิวเซียม (หรือการกระทำ การเรียนรู้อะไรสักอย่าง) เรามักออกไปพร้อมความรู้ ข้อเท็จจริงใหม่ๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และที่นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามีมากกว่าที่คิด
แน่นอนว่าการรวบรวมชาติ การต่อสู้เพื่อแยกตัวจากอังกฤษและประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 กค. รวมไปถึง สงครามกลางเมือง การแบ่งแยกสีผิว สงครามเวียดนาม สงครามเกาหลี เพิร์ลฮาร์เบอร์ ต้องถูกกล่าวถึงในมิวเซียมนี้ แต่ด้วยความที่ผอ.มิวเซียมคนแรก เป็นวิศวกรรมเครื่องกล เค้าจึงสนใจเครื่องจักรกลทั้งหลายและนำพวกมันมาเก็บไว้ในนี้ให้สมเป็นมิวเซียมแห่งประวัติศาสตร์ชาติ (ตอนแรกชื่อว่ามิวเซียมจักรกลอะไรสักอย่างด้วย) เช่นเครื่องปันไฟสมัยเก่า มิเตอร์ไฟสารพัดแบบ หลอดไฟแรกๆ รถไฟ รถบัส รถเมล์มาหมด ทำดีมากๆ เราขึ้นไปนั่งรถรางยังรู้สึกเลยว่าเหมือนจริง เพราะมีแรงสั่น มีแสงไฟ มีบรรยากาศอะไรมันใช่หมด เด็กๆ ต้องกรี๊ดกร๊าดแน่
เราจะได้เห็นเรือรบลำเล็กลำสุดท้ายที่ยังเหลือของอเมริกา รวมไปถึงวิวัฒนาการด้านอาหาร และมีครัวของคุณป้า Julia Child ด้วย การมาที่นี่ทำให้รู้ว่า คุณป้ามีอิทธิพลกับวงการทำอาหารอเมริกามากกว่าที่คิด (คือตอนดูหนัง Julie & Julia นึกว่าเป็นการแรนดอมเลือก แต่จริงๆ เค้าตั้งใจจับป้าจูเลียมาพูดถึง เพราะเธอคือซีเลปเชฟที่มาโฮสต์รายการทีวียุคบุกเบิกก็ว่าได้) นี่ยังไม่รวมข้าวของเครื่องใช้สมัยก่อนที่เรายังเดินไปดูไม่ถึง เพราะมิวเซียมปิดซะก่อน น่าเสียดายจริงๆ


Pollinator Garden
เป็นเหมือนสวนที่คอนเน็คระหว่าง 2 ถนน เป็นสวนทางผ่านที่เดินเพลินมาก มีดอกไม้สวยๆ เยอะ มีกระรอกที่เฟรนด์ลี่กับคนเดินเตาะแตะมาขอถั่ว (ได้ปุ๊บนางวิ่งจู๊ดดหนีไป) ทั้งที่ปกติกระรอกในเมกาเหมือนจะคุ้นคน แต่มักไม่ค่อยเดินเข้ามาหาหรอก เป็นอีกที่ๆ ชอบเดินผ่านมากๆ (แต่ตอนกลางคืนมีโฮมเลสมานอนคนนึงนะ)
Smithsonian Castle
แค่ดูจากข้างนอกก็รู้สึกสวยดี ถ่ายรูปจากข้างนอกให้ความรู้สึกเหมือนไปยุโรป! 555 เราเข้าไปข้างในแว้บๆ เหมือนทางผ่าน ค่าเข้าฟรีเช่นกัน
Washington Monument
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนของ National Mall ก็แทบจะเห็นเสาแท่งต้นนี้ เห็นว่าไอเดียในการสร้างคือ “นิ้วของพระเจ้า” เป็นแท่งที่คนจะพากันไปรวมตัวกันราวๆ หลัง 5 โมง (มิวเซียมทุกแห่งปิด 555) เราเองก็ไปเชิ้บๆ กับเขาด้วย ลมแรง บรรยากาศดี ล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้าสวย
Lincoln Memorial
เราเองไม่ได้อินกับคุณอับราฮัมมาก เพราะไม่รู้จักเท่าไร แต่คนเมกันเค้าอินจริงๆ ไปเมืองไหนจะมีบางสิ่งที่ใช้ชื่อท่านมาตั้ง เช่น Lincoln Center ใน nyc หรือที่นี่ก็มีอนุสรณ์สถาน อันจะว่าไปคุณอับราฮัมเค้าคล้ายเสด็จพ่อร.5 ตรงการต่อสู้ให้มีการเลิกทาสชาวผิวดำในเมกา ก่อนที่จะขึ้นเป็นประธานาธิบดีของเมกาเสียอีก การต่อสู้ครั้งนี้มันไม่ง่ายอย่างที่พวกเราเคยรู้ผ่านสื่อต่างๆ มามากบ้างน้อยบ้าง และเมื่อเค้าทำสำเร็จ อนิจจา คนทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างท่านต้องมาจากไปด้วยการลอบสังหารขณะดูละครที่ Ford theatre ในเมืองดีซีนี้เอง โลกเรามันตกต่ำเพราะความเห็นแก่ตัวของบางคนเช่นนั้นเองหนอ
พอคุยเรื่องนี้ได้ความรู้จากคุณบูว่า จากนั้น Martin Luther King Jr. ก็สานต่อด้วยการแคมเปญเรื่องการเหยียดสีผิว ไม่ให้มีการแบ่งแยก ขอความเท่าเทียม เขาเป็นนักพูดที่ทรงพลังและโน้มน้าวคนเก่ง สุนทรพจน์ที่โด่งดังของเค้าคือ “I have a dream” และสุดท้าย…เขาก็ถูกลอบสังหารอีกเช่นกัน …. อย่างน้อย สิ่งที่ทั้งสองท่าน และอีกหลายๆ คน (ที่พบเห็นได้ตามป้ายข้อมูลต่างๆ ในดีซี) ก็ทำให้อเมริกาเป็นอย่างทุกวันนี้ ที่ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพเท่ากันจริงๆ
ไฮไลต์อีกอย่างของการมาที่นี่ คือมุมถ่ายรูปสวยเชียว โดยเฉพาะถ่ายลงไปเห็น Washington monument ตอนเย็นที่แสงสุดท้ายจากดวงอาทิตย์ส่องบนแท่งสีขาวให้โดดเด่นสีส้มตัดกับฉากหลังสีฟ้าหม่น
White House
เป็นที่ๆ คนพากันมาชุมนุมตลอดวันตั้งแต่เช้ายันค่ำ รู้สึกเหมือนเวลาทำการเค้าจะเปิดให้เข้าไปดูห้องทำงานด้วย มีรั้วเหล็กกันไว้ไกลพอควร และมีรปภ.หน้าดุคอยทำหน้าที่ดุคนที่พยายามจะโลดโผนด้วย เ้ป็นสิ่งที่เห็นและได้ยินในหนังสายลับ การเมือง มนุษย์ต่างดาว ฯลฯ เป็นประจำ พอมาเห็นจริงก็เหมือนในรูปนะ 55555

United States Botanic Garden
จุดเด่นคือเป็นเรือนกระจกขนาดยักษ์ ทำให้คนสามารถเข้ามาดูดอกไม้ต้นไม้ได้ตลอดทั้งปี เน้นไม้เมืองร้อนชื้น และไม้เอเชียเป็นหลัก (ก็นะ บ้านเขาก็อยากเห็นต้นไม้บ้านเรา มีคนตื่นเต้นเห็นกล้วย เหมือนเราตื่นเต้นเห็นทิวลิปอะแหละ) มีดอกไม้ ต้นไม้จากมาดากัสการ์ และพืชพันธุ์หายาก ใกล้สูญพันธุ์จัดแสดง พื้นที่เรือนกระจกใหญ่แต่ก็ไม่มากจนเดินไม่ไหว สวนด้านนอกเขาก็สวยงาม เดินสนุก เดินเพลิน เข้าชมฟรี มีไกด์พาชมหากต้องการ สวนด้านนอกเขาก็ไม่เลวเลยจริงๆ เดินเพลินมากโดยเฉพาะหน้าร้อน-ราวปลายตค. ดอกไม้สวยๆ เพียบ!
Hirshhorn sculpture garden
อยู่ติดๆ กับ Smithsonian Castle เป็นสวนเล็กๆ ที่มีสครัปเจอร์กระจัดกระจายตามมุมต่างๆ
สำหรับคนไม่คิดอะไรมาก และขี้เกียจเดินหาร้านอาหาร
(มี shake shack นะแถวนี้) จะเลือกต่อคิวกินจาก food truck ที่จอดรอหน้ามิวเซียมทั้งหลายก็ได้ แต่มันหนาวอะ พวกเราเลยเดินไปหาที่นั่งในร้านอุ่นๆ กินสบายๆ ดีกว่า ร้านทั้งหมดนี้เดินได้จาก Natinal mall
Joe’s seafood, prime steak & stone crab
เป็นร้านที่น่าจะใช้รับรองนักการเมืองดังๆ หรือคนสำคัญที่มาเมืองนี้ เพราะอยู่ใกล้ทำเนียบขาว อาหารเขาดี บรรยากาศดีมาก พนักงานโคตรประทับใจ ไม่ได้นอบน้อมจนเกร็ง แต่เป็นกันเองในระดับเหมาะสม แนะนำอาหารให้เราได้กินหลายอย่าง ในปริมาณไม่มากเกินไป ร้านนี้มีอีกสาขาในเมกานี่แหละ เป็นต้นแบบที่ทำให้ร้านมีชื่อขึ้นมา
อาหารเด็ดของเค้าคือก้ามปู stone crab ที่แนวคิดเค้าคือการจับปูจากทะเล มาเด็ดก้ามออกก้ามนึง จากนั้นโยนมันกลับลงไปทะเลใหม่เพื่อให้ปูยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ และคนก็สามารถอรอ่ยกับก้ามปูได้เช่นกัน รสชาติเหมือนกันมีให้เลือก 3 ไซส์คือก้ามใหญ่ กลาง เล็ก เราชอบทางสายกลางเลยเลือกแบบกลาง ก้ามปูมาแบบเย็น เสิร์ฟพร้อมมะนาวและมายองเนส แต่เราแทบไม่จิ้มเลย อร่อยมากจริงๆ
สเต็กฟิเลมิยองเนื้อก้อนเล็กๆ แต่รสเข้มข้น กินกันสองคนอิ่มเลยอะ เสิร์ฟพร้อมไซด์ที่ไม่เคยกินไหนมาก่อน มะเขือเทศลูกโตโปะด้วยผักโขมและชีสร้อนๆ หลุดจากเตา และมันฝรั่่งบดโรยชีสและขนมปังป่น เคี้ยวไปได้เท็กซ์เจอร์ทั้งหนึบ กรอบ นุ่ม
ปิดท้ายด้วย king crab และ oyster ที่หวาน ทะเล และไม่คาวเลย สเต็กเสิร์ฟพร้อมขนม 1 อย่าง แต่เค้าให้เราเลือก 2 อย่าง ซึ่งแต่ละอย่างจะมา 1/2 ชิ้น … ขนาดมาครึ่งชิ้นก็ใหญ่พอๆ กะมาตรฐานบ้านเราเลยอะ แม่เจ้า key lime pie เขาขึ้นชื่อ (อร่อยดี แต่เนื้อพายไม่หอมนมเนยมากนะ) กับ Havana ซึ่งพนง.แนะนำว่า มันเป็นเหมือนเค้กเบาๆ ทำจากครีมและนมข้นหวาน อันนี้เราเฉยๆ สั่งมากินกับเอสเพรสโซ่แล้วมันตัดขมหวานก็ใช้ได้
ราคาอาหารวมทิปราว 180 เหรียญ
Founding farmers
เราจองโต๊ะกันก่อนด้วยแอป top table (แนะนำให้จองถ้าจะมาร้านนี้) เพราะคนแน่นมาก! ไปก่อนเวลา 5 นาที ได้โต๊ะหลังเวลาจอง 10 นาที แต่ถือว่าไม่แย่ เพราะมีคนรอก่อนเราเยอะมากๆ แล้วยังไม่ได้ที่นั่งด้วย
อาหารร้านนี้เป็นสไตล์อเมริกัน พวกไก่ทอดกับวาฟเฟิล, pot roast, สเต็ก เบอร์เกอร์ สลัด เทือกๆ นั้น ใช้แนวคิดจากฟาร์มสู่โต๊ะนั่นแล แต่ด้วยความที่เป็นร้านแรกๆ และแถวนี้ไม่ค่อยมีร้านอาหารมากนักอย่างที่บอก คนเยอะเยอะเป็นพิเศษ (แต่ก็ไม่ได้มีนักท่องเที่ยวเป็นหลักนะ)
ของกินเล่นมาเร็วมากคือพวกขนมปังแบนกับดิปต่างๆ หรือไม่ก็ชิปส์ แต่เราเลือกสั่ง corn bread in skillet เสริ์ฟพร้อมเนย เกลือทะเลและน้ำผึ้ง ซึ่งอร่อยมาก! ปกติ corn bread จะมาป่นๆ รสกลางๆ แต่ร้านนี้จะออกหวานนิดๆ ตัดกับเนยที่โรยเกลือเกล็ดๆ เค็มปะแล่มดี ตอนแรกคิดว่าใหญ่ไป ที่ไหนได้กินกันหมด…
ส่วนเมนสั่งไก่ทอดกับวาฟเฟิล ซึ่งรสเข้มข้นดีมาก เข้ากับวาฟเฟิลใส่เมเปิลซีรัปหวานๆ เป็นอย่างยิ่ง แต่ด้วยความที่อาหารใหญ่ทำให้ mac&cheese ที่มาในจานไม่ค่อยได้รับการแตะต้อง จุก!
อีกจานเป็นปลาแซลมอนวางบนไม้ sedalwood ก็อร่อย แปลกตรงที่มันหนักไปทางรสหวานมากกว่านมเนยครีมมัน อรอ่ยดีเพราะปลาสดมากๆ
ขนมผ่านแล้วผ่านเลย เนื่องจากอิ่มสุดๆ ที่สำคัญโต๊ะข้างๆ สั่งขนมอะไรไม่รู้ ใส่มาในชามอ่างใหญ่ม๊ากกกกกกกกก น่ากลัวสุดๆ
ราคาอาหารวมทิปราว 100 เหรียญ
Firefly
อีกร้านอาหารอเมริกันที่คนเขาว่าอร่อย สังเกตจากคนแน่นร้านก็รู้ละ เราเลือกกิน firefly burger กับทรัฟเฟิลฟรายส์ซึ่ง…น่าเสียดายที่เค้าทำซอสหวานเกินไป เลยข่มกลิ่นรสของเนื้อไปซะหมด ขนมปังก็ดูจะน้อยไม่ถูกสัดส่วน เลยเหมือนกินเนื้อบดกับผัก ฟรายส์อร่อยมาตรฐาน
ที่ชอบมากกว่าคือ risotto ผัก ที่มาพร้อมผักหลายอย่างรวมถึง wild rocket รสชาตินัวเนียนหอมมัน จ้วงๆ เข้าปากแบบต่อเนื่องเพลินมาก
คนชอบ dessert wine หรือไวน์หวาน เขามี virginia wine ซึ่งหอมหวานราวกับ vin santo หรือ ice wine เสิร์ฟแก้วละ 13 เหรียญล่ะ เราแอบชิมของบูแล้วคิดว่าอร่อยมาก ถ้ากินอิ่มแล้วไม่อยากจุกด้วยของหวาน ก็ลองสั่งมาชิมดู
ราคาอาหารรวมทิปราว 130 เหรียญ