aenoi_adaytrip:
เป็นร้านไดเนอร์แถวที่พักค่ะพี่หญิง ชื่อ Brooklyn Diner ลักษณะร้าน “ไดเนอร์”ในความคิดเอ๋คือร้านที่มีที่นั่งเป็นแบบพนักตรงเรียงแถวติดริมหน้าต่าง และเสิร์ฟอาหารอเมริกาจ๋ามากๆ (แปลว่าอ้วน มัน นมเนยมาก บางอย่างก็ได้รับอิทธิพลมาจากที่นั้นที่นี่ แล้วรวบหัวรวบหางเป็นอาหารโลคัลไปซะ) พอนึกถึงร้านไดเนอร์น้องจะนึกถึงฉากที่นางเอกกลายร่างเป็นอิบ้าในหนัง Silver Lining: playbook ทุกครั้ง (สงสัยเพราะดูมัน 3 รอบ!) แต่ไปกะบูน้องไม่กลายร่างเป็นยักษ์นะคะ น้องทำตัวน่ารัก จิบกาแฟสวยๆ (แต่พออาหารมาก็กลายร่างเป็นพุดเดิลอดโซ)

อยู่นิวยอร์กมาจะเดือนนึงก็เพิ่งเจอร้านนี้แหละค่ะที่อาหารไซส์ยักษ์ผิดชาวบ้านเขา อาทิตย์ก่อนพวกเราเพิ่งมากินเฟรนช์โทสต์ยักษ์ Tony Bennett’s thick cut cinnamon raisins & pecans french toast (ยาวไปไหนน??) ซึ่งเดาว่าเป็นขนมปังบริออช (Brioche) มาหั่นซะหนา (thick cut) ทำให้มันนุ่มฉ่ำ สังเกตความนุ่มของขนมปังที่ถูกสตรอว์เบอร์รี่ทับสิคะ “ดุ๋ม” ลงไปเลย ละมุนลิ้นในทุกคำที่เคี้ยว เป็นรสสัมผัสที่พิเศษไม่เคยพบเจอในเฟรนช์โทสต์มุมอื่นใดในโลกมาก่อน น้องจึงแนะนำมากๆ ให้เราสั่งมาแชร์กันจิ้มๆ ค่ะ

อาทิตย์นี้ไม่เข็ดกลับมากันอี๊กค่า (กลัวคลอเรสเตอรอลในเลือดจะตกค่ะ เลยต้องหมั่นเติมเสมอๆ) เหตุผลที่ชอบร้านนี้ แม้ปริมาณอาหารเหมือนเสิร์ฟให้ยักษ์ปักษี คือรสชาติเค้าอร่อยดีจีจีค่ะ
กระนั้น…ถ้าพี่ชอบทานคาวยามเช้า ต้องนี่เลย “Pastrami hash with fried eggs” คือมันดีงาม (สังเกตว่าน้อง Bold ตัวอักษรหนาเพื่อความสะดุดตา!) หน้าตาอาจจะไม่ใคร่เร้าใจ แต่รสชาตินี่แบบนัวมาก! ไม่เค็ม ไม่มัน ไม่แรงเกินไป ผิดวิสัยอาหารรสชาติเมกันที่เค็มก็ถึงกึ๋น ครอบครัวตัวพีแย่งกันตักหนุบหนับหมดจานไม่รู้ตัวค่ะ สองอันนี้ไฮลี่เรคคอมเมนด์ ส่วนของคาวอีกจานที่น้องลองสั่งมากินคือ omlette classic เฉยๆค่ะ (สังเกตไม่ bold ตัวอักษร) เสริ์ฟพร้อมโทสต์ 2 แผ่น เนยและสตรอว์เบอร์รี่แยม อารมณ์คล้ายไข่เจียวบ้านเราที่แถมท้ายชีสหนืดๆ เข้าไปด้วย ถือว่าใช้ได้นะคะแต่ระดับความ “ว้าววว” ยังไม่โลดทะยานทะไหร่ เราอาจจะแวะซุเปอร์ฯ ซื้อไข่กับชีสไปทำกินเองที่บ้านได้แบบสวยๆ ในวันรุ่งขึ้นนะคะ

ส่วนตัวการ “แพนเค้กยักษ์ / แพนเค้กบานเท่าหน้า / โคตะระแพนเค้กบนไอจีน้องนี้” เป็น Blueberry pancake มองเผินๆ เหมือนมีแค่แป้งกับบลูเบอร์รี่ ที่น่าจะเทลงไปสักกิโลนึงได้ค่ะ เบื้องหลังเค้ามี orange zest หรือเปลือกส้มฝอยๆ ใส่ลงไป 2 รถบรรทุก ทำให้ได้กลิ่นส้มทุกคำที่กัดตัดกันดี เนื้อแพนเค้กฟูๆ เบาๆ ไม่แป้งมาก พอฟัดพอเหวี่ยงกับ buttermilk pancake ที่น้องชอบทำกินที่บ้านได้แบบข่มกันไม่ลง (กล้าที่จะเทียบ!)
ทุกสิ่งที่สั่งมา จะไหลลื่นลงคอ ถ้าได้กาแฟร้อนๆ กลั้วผลักลงไป (กาแฟเติมไม่อั้น $3.45)
เนื่องจากสโลแกนตามท้ายเค้าคือ ‘The finer diner’ แปลว่าเค้าเลือกวัตถุดิบดีกว่าไดเนอร์อื่นๆ (เช่นไข่ฟรีเรจน์ ขนมปังมีแบบกลูเตนฟรีให้เลือก) ค่าอาหารโดยรวมเลยสูงกว่าหน่อย คร่าวๆ น้องจำได้ว่าราว 16 เหรียญต่อจานอัพ
ถ้าพี่ญ.กลัวอ้วน ไม่อยากทานแป้งๆ ก็มีพวกโยเกิร์ต ซีเรียล อะไรแบบนั้นให้เลือกสั่งได้ (95% ของคนในร้านเลือกสั่งอะไรให้ทาย?)
มีน้ำส้มแก้วใหญ่ 6.95 ซึ่งน้องว่าเด็ดยอดกีฬามันมาก เพราะรสชาติคล้ายน้ำส้มเขียวหวานฉ่ำๆ ที่กินแล้วชื่นจาย จริงๆ น้องไม่ได้สั่งนะคะ แต่แย่งบูกินเกือบหมดแบบไม่รู้สึกผิดอะไรเลยค่ะ (อว่ะอ่ะอะ)
ที่นี่เป็น All day dining ซึ่งเมนูจะเปลี่ยนไปตามมื้ออาหารค่ะ เราตั้งใจว่าจะกลับมากิน Hot dog ซึ่งเป็นมื้อกลางวัน เพราะเป็นของขึ้นชื่อเค้าไม่แพ้เบอร์เกอร์ซึ่งฮิตฮอตไม่แพ้กัน แล้วน้องจะให้บูถ่ายรูปอัพไอจีนาง ยั่วยวนพี่หญิงเป็นการแก้แค้นบ้างนะคร้าาา ฮี่ๆๆ
