เที่ยวเจจู 2 : สถานที่ท่องเที่ยวเจจู

 

อย่างที่เกริ่นใน “เตรียมตัวก่อนไปเจจู” ว่าเราไป 4 วัน แต่ฝนตกแบบลูกหมาตกน้ำซะ 2 วัน ไม่ผิดกับที่พี่แอนเตือนก่อนมาว่า “เกาะเจจูมีได้ถึง 4 ฤดูในหนึ่งวัน” ดังนั้นแผนที่พี่แอนครุ่นคิดไว้ จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้งานกร่อยอะไร

IMG_2078
วันที่ 2 ฝนตกและหมอกหนาจัดขนาดนี้ ต้องขอบคุณพี่แอนที่ประคองสติขับอย่างปลอดภัย

Jeju Teddy Bear Museum

a002Jeju Teddy Bear Museum

ที่เที่ยวแรกในเจจูของเราคือที่นี่…
“เป็นเท็ดดี้แบร์มิวเซียมที่แรกในเกาหลีเลย ที่อื่นคือทำตามทีหลัง” พี่แอนบอกอย่างนั้น ด้วยความที่อยู่ไม่ห่างมากจากรร. เก็บกระเป๋าเสร็จก็ยักย้ายส่ายสะโพกกันขับรถออกมา

เราเคยเข้าเท็ดดี้แบร์มิวเซียมที่โซลมาแล้ว ตอนไปพาแม่ไปเกาหลีกับทัวร์เมื่อปี 2013 จำได้ว่าตอนนั้นนั่งรถจากต่างเมืองเข้าโซล เหนื่อยล้ากับการเดินทางมาก (ทั้งที่หลับตลอดศกระหว่างนั่งรถ) เลยไม่ค่อยเอ็นจอยกับดูหมีประวัติศาสตร์ชาติเกาหลีสักเท่าไร  แต่ครั้งนี้มาแบบกระชุ่มกระชวย เลยสนุกกับการถ่ายรูปที่ Jeju Teddy Bear Museum มาก เขาจัดแสดงหมีดีนะ มีอย่างอื่นปนๆ ด้วยเช่นงานอาร์ตจริงจัง (แต่เป็นหมีๆ) มีหมีตัวโตๆ ให้ถ่ายรูปเซลฟี่เยอะมาก เราไปตอนใกล้ปิดแล้วคนไม่เยอะเท่าไรสบายอารมณ์สุดๆ และได้ของฝากพอสังเขป

อันว่าสถานที่ท่องเที่ยวในเกาะเจจู ก็เหมือนทั่วๆ ไปในเกาหลี คือมี “ที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ” และ “ที่ท่องเที่ยวแมนเมด” จำพวกมิวเซียมสารพัดรูปแบบที่จะคิดกันขึ้นมาได้ (เช่น Teddy Bear Museum แห่งนี้) และทั้งสองแบบก็มีจำนวนเกือบจะมากพอๆ กันเลย ดังนั้นวางแผนเดินทางให้ดี เพราะบางแห่งก็ใช่ว่าจะคุ้มค่ากับการไป

Manjanggul Cave

เบอร์โทร.7834818
ค่าเข้า 2000  วอน/คน

เนื่องจากวันที่ 2 ของการเที่ยวฝนตกหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา คิดว่าถ้ารอยังไงก็ไม่มีวันหยุด ดังนั้นพอกินข้าวเสร็จก็กระดืบไปขึ้นรถ ใช้หมองนั่งสมาธิ ปรึกษาหารือกัน ได้ข้อสรุปว่าถ้าจะตกหนักขนาดนี้ไปถ้ำกันดีกว่า อย่างน้อยในถ้ำก็ไม่เปียกละ!  (แต่ก่อนเดินถึงถ้ำก็เปียกอยู่ดี เลยซื้อเสื้อกันฝนคนละตัว…หลังจากนั้นไปซื้อร่มเพิ่มที่่น้ำตกด้วย เพราะตกหนักเอาไม่อยู่จริงๆ)

ขับรถไป 1 ชม.ถ้วน ด้วยสภาพอากาศน่าเป็นห่วง หมอกจัดบนยอดเขา ต้องเปิดไฟติ๊กต่อกเป็นระยะ ระหว่างทางก็เห็นรถคว่ำ รถพุ่งเข้าพงข้างทาง และรถล้อหลุดกระจุยรวมแล้ว 3 คัน นั่นทำให้เราพอใจกับการขับรถในความเร็วที่เขากำหนด (คือราวๆ 60-70 กม/ชม.) มาก และพี่แอนก็สติดีมากๆ ขอปรบมือให้จริงๆ

Manganggul Cave เป็นถ้ำยาวสิบกว่าโล แต่เปิดให้เดินเข้าชมแค่ราว 1.3 โล เป็นถ้ำที่เกิดจากลาวาไหลผ่าน ดังนั้นเราจะเห็นผนังถ้ำมีรอยริ้วเป็นสายโดยเฉพาะช่วงทางโค้งสวยงามมาก ขนาดถ้ำใหญ่ไม่น่ากลัว บางจุดมืดหน่อย แต่บางจุดก็สว่าง (ถ่ายรูปได้) ที่นี่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย

ตอนแรกไม่เข้าใจทำไมไม่ให้ใส่รองเท้าส้นสูงเข้า (ก็บางคนเค้าเก่ง ใส่ส้นสูงเดินได้ทุกหนแห่ง) แต่พอเข้าไปถึงเก็ท เพราะพื้นถ้ำตะปุ่มตะป่ำมาก บางแห่งน้ำขังลื่นด้วย เดินต้องระวังให้ดีเชียว

ด้านในสุดของถ้ำ คือหินย้อยที่ใหญ่มากกกก! (รูปที่มีเด็กน้อยถ่ายคู่) เหมือนคนจงใจปั้นแล้วเอาไปวางแปะไว้ตรงนั้น เป็นความสวยงามทางธรรมชาติที่ยืนจ้องได้เป็นนาน แม้ระหว่างนั้นจะมีคนเข้าออกพยายามถ่ายรูปแล้วบังตลอดก็ตาม ฮ่าๆ อากาศในถ้ำเย็นมาก โดยเฉพาะตอนฝนตก เตรียมเสื้ออุ่นๆ เข้าไปด้วย

ห้องน้ำที่นี่สะอาดมาก โดยเฉพาะจุดที่อยู่ด้านหลังบูธขายตั๋ว
อย่าลังเล…เข้าไปใช้บริการเลย

 

 

น้ำตก Jeongbang (จองบัง)

DSCF1709

โทร. 7606341
ค่าเข้าคนละ 2000 วอน (มั้ง…ตอนจ่ายฉุกละหุกจำไม่ค่อยได้)
คณะฉ่ำฝนยังเที่ยวต่ออย่างไม่เกรงกลัวฟ้า ออกจากถ้ำมาเราก็ไปน้ำตกต่อเลย ด้วยการเดินทางเกือบๆ 1 ชม.เช่นเดิม

ที่นี่เป็นน้ำตกที่ตกแล้วไหลลงทะเลเลย ตำนานบอกว่ามีมังกรอยู่ข้างใต้ และน้ำที่ไหลลงมาเป็นน้ำวิเศษรักษาโรคได้ (เลยวักลูบหัวสักนิด เผื่อวันนี้เป็นหวัด ฝนตกฉ่ำเกิ๊น) 

คือตอนที่แอนเล่าให้ฟังก็รู้สึกเฉยๆ แต่ตอนเห็นของจริงนี่แจ่มอู้ ว้าวมาก เพราะภาพแบบนี้ไม่เห็นที่ไหนมาก่อน น้ำตกสูงๆ อยู่ๆ ก็ไหลซู่ๆๆๆ ลงมาแล้วเลยลงทะเลไปเลย สวยจริงไรจริง ถ้าเข้าไปใกล้ๆ จะรู้สึกถึงพลังน้ำตก ที่มีละอองน้ำปลิวหวือๆๆ ใส่หน้าด้วย

ใกล้ๆ กันมีอาจุงม่าเอาหอยสดมานั่งแงะขายนทท. เราก็แบบอยากลองเนาะ ก็เห็นในซีรี่ส์มานี่นา เลยไปเลียบๆ เคียงๆ อยากสั่งบ้าง แม้เขาจะขายแต่หอยสดไม่มีหอยย่างเลยก็ตามที (กลัวท้องเสีย มันจะพาลเที่ยวไม่หนุกเอา)

แต่แหม…สภาพตอนนั้น ในเพิงป้ามันทั้งแฉะ ทั้งเหนอะ บนหินที่นั่งมีซอสแดงจิ้มหอยหยดแหมะๆๆ กระจายทั่ว กลัวเอาตูดนั่งไปเปรอะมันซะจริง ประจวบกับหันไปมองหน้าพี่แอน ที่แสดงให้เห็นว่าเอ็งอย่าเลย (มารู้ทีหลังว่าพี่แอนไม่ค่อยชอบกินของสด) อีกทั้งอาจุงม่าขายหอยไม่สนใจใยดีเราเลย (แกคงรู้ว่าคุยไม่รู้เรื่อง) แถมสั่งก็ลำบาก หอยมีหลายชนิดด้วย ก็เลยบ๋ายบาย T^T

ถ้าได้มาที่นี่วันฟ้าเปิด คงเจิดน่าดู แต่ความทุลักทุเลทั้งตอนถ่ายรูป ที่ต้องควักกล้องมาจากในเสื้อฝน มือก็ต้องถือร่ม ไม่พอยังเอาหลุนๆ ไปทรมานด้วย กลัวเปียกก็กลัวแต่ก็อยากให้ได้ไปเที่ยว (เกิดเป็นลูกแม่ต้องอดทน!) พื้นหรือก็แฉะนอง เหยีบบผิดไปนี่ชุ่มได้เลย แต่ตอนนั้นไม่หงุดหงิดหัวเสียอะไรนะ ฮามากกว่า สนุกในความทุลักทุเล เป็นอีกรสชาตินึงของการเที่ยว (ใช่ป่าวพี่แอน?) 

เดินจากน้ำตกกลับมาที่รถในสภาพชุ่ม ขนาดต้องถอดถุงเท้าออกเพราะรองเท้าแฉะจนซึมลึก ขืนทนใส่ต่อไปมีหวังต้องพึ่งโทนาฟ

IMG_2164
เพื่อป้องกันอาการน้ำกัดเท้า…เราจึงตากถุงเท้าไว้ที่ประตูรถ

 

Osulloc Tea museum
& Innis Free Jeju House

DSCF1726
Osulloc Tea Museum … สองคนนี้จะแต่งเหมือนกันไปไหน! (ไปไร่ชา?)

โทร. 7945312
ไม่เสียค่าเข้า

ไปถึงแล้วอึ้งไป เพราะคนเยอะมากกกก มีรถทัวร์มาจอดเป็นแพๆ อันแสดงให้เห็นว่ามันป๊อบปูลาร์ละเกิน โชคดีที่มาถึงตรงนี้ ฝนแค่ปรอยๆ แล้ว (ฮูเร!) กระนั้นลมก็ยังกรรโชก ร่มจุดราคาไม่แพงที่ซื้อมา ขาโค้งวิ่นตามแรงลมทีเดียว

เราไปถ่ายรูปเล่นกันที่ไร่ชา พบว่าคนออกันอยู่ในร้านขายของฝากไร่ชาเยอะมาก เลยเดินเลยไป Innis free Jeju House ซึ่งอยู่ติดๆ กัน ที่นี่เป็นร้านขายคสอ. และมีคาเฟ่ด้วย  เห็นอาหารหน้าตาดี เลยตกลงกินข้าวเย็นกันที่นี่เลย (ภายหลังตกใจกับค่าอาหารมาก จะแพงไปไหน แค่อาหาร 3 เซ็ต กะเครื่องดื่มเย็นสอง! ใครจะสั่งโปรดระมัดระวังนะคะ) อารามสั่งตอนหิวอาหารมาเยอะ พวกเราถึงกับกินปานีนี่ไม่หมด ต้องลักลอบห่อใส่ทิชชู่กลับมากินที่โรงแรม (ร้านอาหารไม่มีภาชนะให้ห่อกลับ)

อาหารโดยรวมคล้ายจะสุขภาพดี แต่จริงๆ มันก็แอบแป้ง (แต่ก็ใช้ได้) ข้อดีของคาเฟ่นี้คือด้านนึงเป็นกระจกกรุจรดเพดาน มองออกไปเห็นวิวไร่ชาระหว่างกันกินชิลล์มาก แต่เราดันนั่งติดกับเด็กที่มาจัดปาร์ตี้วันเกิดพอดี (อืมมม)

กินเสร็จพวกเราวนในร้าน Innis Free ได้ของที่ขายเฉพาะแต่ในเจจูมาคนละนิดหน่อย เป็นมาสก์หน้าแบบ DIY ซึ่งเอาท้อปปิ้งมาใส่ในเบสที่เค้าเตรียมให้ แล้วมาสก์หน้า เรากลับมารร.ก็ทำเล่นกะพี่แอนทันทีเลย สนุกดี 

อิ่มท้องก็ออกมาร้านขายของไร่ชาบ้างละ คนก็ยังเยอะมาก ถึงขนาดโรลล์ชาเขียวที่หมายตาว่าจะกินเป็นขนมหวานหมด! พี่แอนเลยสั่งซอฟเสิร์ฟโปะชาปั่นรสเข้มข้น ส่วนกรีนทีลาเต้ของเรารสเบาหวิวมาก (สงสัยกินของพี่แอนก่อน) เราซื้อของฝากจำพวกชาเขียวแปรรูปต่างๆ กันที่นี่ แต่กลับโซลก็พบว่า…มันมีขายเกือบคล้ายกัน

IMG_2216
ฝนฉ่ำ เราก็ยังสนุกกันได้ ที่ยกร่มสูงไว้นั่นเพราะลมแรงม๊าก!

 

Seongan Itchulbong peak

DSCF1870
Seongan Itchulbong Peak

โทร.7107923

หลังจากตัวฉ่ำฝนตลอดวันแรกของการเที่ยว พอวันที่ 2 เปิดม่านมาเห็นฟ้าใสนิ้งน้อง อิฉันก็แทบกรี๊ดเป็นภาษาตากาล็อก ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เราได้เที่ยวกับแบบแห้งๆ บ้าง ที่สำคัญวางแผนไว้ว่าจะไป outdoor กันด้วย เย้!!

ที่เที่ยววันที่ 2 ของเรา เป็นภูเขาไฟรูปกรวยคว่ำริมทะเล ยูเนสโกประกาศให้ให้ที่นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรรมชาติของโลก เป็นจุดชมพระอาทิตย์สวยที่สุด (แต่วันไปคุณพระอาทิตย์ไม่โผล่) เดินไปกลับยอดเขาลงมาใช้เวลาราว 50 นาที แต่พวกเราใช้เวลาราว 1.20 ชม.เพราะพักบ้าง หยุดถ่ายรูปบ้าง

แถวนี้มีร้านาหารประเภทซีฟู้ดเยอะมาก  พอๆ กับคนที่แบบว่าอย่างหนอน! เห็นคนเดินเป็นแนวขึ้นเขาไปนี่ แทบจะรู้เลยว่าถนนมุ่งไปทางไหน (ดูจากสีเสื้อกันลมของคน)

ส่วนตัวคิดว่าเป็นทางเดินลาดขึ้นเนินที่ค่อนข้างง่าย สบาย มีบันไดจำนวนหนึ่ง ทางขึ้นลงคนละทางกัน ทำให้ได้เห็นคนละวิว ความสูงจากพื้นถึงยอด 180 ม.แต่ระยะทางไม่แน่ใจว่ายาวกว่านั้นรึเปล่า (บางทีเขาชอบวัดแบบแนวดิ่ง) ระหว่างเดินสดชื่นมาก เพราะลมเย็นตึงลันลา แต่ทว่าพอหันไปมองพี่แอน…ชีเหงื่อออกจนต้องถอดเสื้อกันหนาว! ขณะที่ฉันมื้อเท้าเย็นเพราะลมเย็นมาก

ตอนแรกคิดว่าขึ้นไปจะได้เห็นตัวเครเตอร์(ปากปล่องภูเขาไฟ)จากอีกที่นึง ปรากฏว่าเรานี่แหละที่เป็นคนปีนขึ้นเครเตอร์เสียเอง ทำให้มองไม่เห็นภาพรวมเหมือนในภาพที่เคยเห็นๆ มา แต่ก็ถือเป็นยอดเขาเลนส์เว้าที่สวยแปลกตา มีอาจุมม่าจำนวนมากและเด็กน้อยเดินขึ้นกันชิลล์ๆ ด้านล่างตรงลานจอดมีร้านสตาร์บักส์ และสิ่งเจริญทั้งหลายครบรัน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากรถบัสจำนวนมากที่แห่กันเข้ามาจอด และเทนักท่องเที่ยวลงทีละเยอะๆ

 

ทุ่งดอกผักกาดริมทาง

DSCF1932

อันนี้ไม่ได้อยู่ในแผนเที่ยว แต่เห็นมันอยู่ริทางระหว่างขับไป Seongan Itchulbong peak ขากลับเลยโหวกเหวกบอกพี่แอนให้หักขวาเข้าจอด (พี่แอนกรี๊ดหนึ่งรอบ ก่อนเปิดไฟเลี้ยวหักขวา) จะได้ลงไปถ่ายรูปเล่นกัน มองผ่านๆ นึกว่าเป็นดอกมัสตาร์ด แต่พอเข้าไปใกล้ถึงรู้ว่ามันคือดอกผักกาดนี่เอง

ระหว่างเดินเข้าไปในทุ่งก็คิดว่า เอ๊ะใครกันนะใจดี มาปลูกผักกาดออกดอกสวยๆ ให้พวกเราได้ถ่ายรูปแบบนี้ริมทางเลย ยังไม่ทันได้แชะรูปแรก ก็ได้ยินเสียงอาจุงม่าคนนึงมารัวภาษาเกาหลีใส่ จับใจความได้ว่า “1000 วอน” อ้าว…เก็บตังนี่นา แต่จะว่าไปมันก็แค่ 30 บาทเอง ไม่แพงนะ สวยขนาดนี้!!!

เราอยู่ที่นี่กันราวครึ่งชม.ได้ แบบถ่ายรูปกันสนุกเลย หนุ่มสาวเกาหลีก็มาเซลฟี่กันหลายคู่ เท่าที่ดูคนพากันแวะมาถ้าทำได้ ทุ่งค่อนข้างใหญ่ถ่ายรูปไปไม่ชนกัน (อารมณ์ทุ่งทานตะวันไงงั้นเลย)

 

 

Seopjikoji coast

DSCF1938

โทร.7827800
ไม่เสียค่าเข้า

แม้หลักๆ คนจะมาที่นี่เพื่อดูประภาคารสีขาว อันเป็นโลเคชั่นถ่ายซีรี่ส์หลายๆ เรื่อง แต่เราว่าของเด็ดเขาคือการเดินเลาะริมชายฝั่ง ซึ่งหาดเกลื่อนด้วยหินภูเขาไฟสีดำสนิทแปลกตา ช่วงเราไปลมแรงเย็นจัด เดินไม่เหนื่อยเลย เนินเขาเตี้ยๆ ปกคลุมด้วยดอกหญ้าและหญ้าแห้งสีทองอร่าม ที่พอมองรวมกับชายหาดสีดำๆ แล้ว ทำให้ภาพรวมดูซอฟท์ละมุนลงมาก 

และโบนัสของการมาที่นี่ก็คือ…ได้เห็นปลาโลมาแหวกว่ายโดดดึ๋งอยู่ในทะเลด้วย!!!! คือตอนแรกไม่เห็นนะ แต่มีเด็กกะพ่อคู่นึงชี้ชวนกันดูอะไรไม่รู้ในทะเล พี่แอนถามว่า “อะไรๆ เค้าเห็นปลาวาฬกันเหรอ” และพอมองตามเค้าไปก็เห็นปลาโลมาค่ะ! หลายตัวด้วย ตื่นเต้นมาก 

ตรงลานจอดรถ มีร้านขายของทะเลปิ้งย่างจำนวนหนึ่ง พวกเราไม่รอช้า เพราะกลิ่นปลาหมึกย่างจูงจมูกให้เดินเข้าไปหาตั้งแต่จอดรถแล้วด้วยซ้ำ สั่งปลาหมึกหนึ่ง (แปดพันวอน) ไม่พอยังสั่งหอยย่างจานนึง (หมื่นวอน) ซึ่งจัดเป็นอาหารกลางวันแบบรีบด่วน ปลาหมึกเราว่าแอบคาวนิดๆ จิ้มกับซอสเปรี้ยวเผ็ดๆ ที่เห็นได้โดยทั่วไป ส่วนหอยย่างนี่สิเด็ดจริง ปิ้งกันสดๆ เดือดปุดๆ พอสุกป้าก็เด็ดอุนจิหอยแล้วโยนใส่ถาดให้พวกเรากินกันควันฉุยๆ รสหอยไม่ค่อยมี แต่ไม่คาว ไม่หวาน ดึ๋งๆ หนึีบๆ 

IMG_2484
Seopjikoji Coast

หินหัวมังกร Yongduam Rock

GPS นำพาเราไปทางผิด คือคีย์เลขตัวไหนก็ไม่ถูก สุดท้ายมันส่งไปที่เหมือนจะเป็นสถาานที่ราชการอะไรสักอย่าง เราเลยลองเสิร์ชกูเกิลแม็พด้วยชื่อโรงแรมที่อยู่ติดกัน แล้วขับตามกูเกิลแม็พที่บางทีก็มีดีเลย์บ้างไรบ้าง อาศัยว่าพี่แอนขับคล่อง ปรากฏว่าถึงที่หมายในที่สุด! จะมีเสียวบ้างไรบ้างว่าจะเลี้ยวไม่ทัน (เพราะกูเกิลดีเลย์) แต่สามัคคีคือพลังจริงๆ ฮูเร!!

หินหัวมังกรคือที่เที่ยวหลัก ที่คนส่วนใหญ่จะแวะหลังจากลงเครื่อง เพราะอยู่ใกล้สนามบิน จากตรงนี้ยืนๆ อยู่ก็จะเห็นเครื่องบินแลนด์ลงจอดเกือบทุกๆ 10 นาทีเลย ตัวหินก็ไม่มีอะไรพิเศษ แอบไม่คล้ายมังกรด้วย (หรือลมจะพัดจนกร่อนไปจากอดีตแล้ว) รูปที่เราถ่ายมาก็หายไประหว่างการย้ายไฟล์ (มึนดีอะ) เลยมีแค่ไฟล์วีดิโอให้ดู

แถวนี้จะมีอาจุงม่า (แฮ ยอน) ที่เป็นนักดำน้ำ เอาหอยมาขาย เราเลียๆบ เคียงๆ ดูเต็นท์ขายหอยแล้ว พบว่ากลิ่นไม่ค่อยเวิร์กอะ เมื่อบวกกับการที่พี่แอนไม่ปลื้มของสด เลยตัดสินใจไม่กิน

 

ถนนร้านหมูดำ
ร้าน Hwaro Hyang

โทร.7228030

หมูดำคืออาหารหนึ่งที่ขึ้นชื่อบนเกาะ เข้าใจว่าเขาเลี้ยงหมูที่เจจูนี่แหละ ดังนั้นเราควรจะกิน ไหนๆ ก็คิดจะกินปิ้งย่างเกาหลีอยู่แล้ว

เราใช้ GPS ตามหาร้านเหมือนเคย ความสนุกเริ่มต้นเมื่อเลี้ยวรถหักขวาเข้าไป มั่นใจว่าต้องเจอถนนหมูดำแน่ ปรากฎ…ทางตัน!! (คือจริงๆ ไม่ตัน แต่พอดีมีรถจอดขวางอยู่แบบถาวร) พวกเราถอยก็ไม่ได้เพราะมีรถตามตูด ทางเดียวที่ทำได้คือหักขวาลงที่จอดรถใต้ดิน แบบที่เอารถใส่ลิฟต์ขึ้นไปจอดบนอาคาร

ความทุลักทุเลเกิดขึ้นเมื่อการสื่อสารไม่ลื่นไหล แต่โชคดี!!! คุณลุงเฝ้าที่จอดใจดีมากกกก คือลุงช่วยทุกสิ่ง และอธิบายทุกสิ่ง….เป็นภาษาเกาหลี (กราบขอบพระคุณ) พอเอารถขึ้นจอดเสร็จ เรากำลังจะออกไปก็ยืนทำตาเป็นรูปคำถาม ว่าคูปองรับรถหนูล่ะคะ ลุงทำท่าบอกว่า ลุงจำได้ๆๆ ไม่ต้องเอาบัตรอะไรไปหรอก (มโนคำพูดลุงเอา เพราะความเป็นจริงคือลุงแค่โบกมือ)

ไหนๆ เลยถามหาถนนหมูดำจากลุงซะเลย   พวกเราพยายามใช้ภาษาใบ้ ด้วยการพร้อมใจทำท่าปิ้งเนื้อย่าง ปากพูด ‘black pork’ แต่ลุงไม่เข้าใจ…เราเลยเอานิ้วดันตะหมูก ทำจมูกหมู ร้องอ่อยๆ ลุงเลยบอก “pig pig!” อ่าวทำไมศัพท์คำนี้รู้อะ ฮ่าๆๆ…อารมณ์นั้นเหมือนอยู่ในรายการใบ้คำ ที่ฉันได้คะแนนนำ 1-0   ลุงเลยชี้ทางไปให้อย่างน่ารักเลย

 ร้าน Hwaro hyang

ที่เลือกร้านนี้เพราะ “ครั้งหนึ่งเคยมีนทท.ถามคนโลคัล ว่าควรกินร้านไหนเจ๋งสุด แล้วเขาชี้มาร้านนี้เราเลยกินตาม” พี่แอนบอกอย่างมั่นใจ “แต่ไม่รู้ว่าคนโลคัลที่ชี้น่ะ เป็นเจ้าของร้านหมูนี่รึเปล่านะ” ฮ่าๆๆ แอบมีตบท้ายนะ

เราไปช่วงก่อนเวลาพีค คนเลยไม่ค่อยเยอะ สั่งเซ็ตหมูดำ (ห้าหมื่นวอน) สำหรับกินสองคน มีหมูดำมาสามอย่าง (สามชั้น สันคอ เนื้อธรรมดา) พร้อมเป๋าฮื้อ สามตัว จากนั้นอาจุงม่าก็เอาเครื่องเคียงจำนวนมากและกิมจิแซบมาให้ปิ้งบนเตาพร้อมหมู (ไม่เคยกินแบบนีเลย อร่อยดี) 

หมูดำอร่อย ไม่มีกลิ่นหมู กินเปล่าๆ กับน้ำมันงาและเกลือก็แจ่มแล้ว กินกับผักและพริกก็ได้รส หอยเป๋าฮื้อก็นุ่มม๊ากมาก (แต่ไม่มีรสชาติ) เราสั่งข้าวเพิ่ม (ชามละพันวอนกินกันเปรมปรีมาก กิมจิถั่วงอกร้านนี้ปรุงรสพอดี แต่ผักกาดจะเปรี้ยว พวกเราสั่งเบิ้ลด้วย (ฟรี) สรุปว่าเป็นมือที่อิ่มเอมเปรมจิตมาก ตัวลอยออกมาจากร้านทีเดียว 

กลับมาที่จอดรถ ลุงถามว่าได้กินหมูดำไหม ลุงจำได้ น่ารักจุง ภาพนิ่งหมูดำหายไปหมดเหมือนกัน แต่คลิปวีดิโอยังอยู่

 

กินหมูเสร็จขับรถกลับรร. ต้องวิ่งบนนถนนภูเขาสาย 1131 อีกแล้ว น่ากลัวมากเพราะฝนตก และยางที่ปัดน้ำฝนของรถไม่ดี แถม…มีหมอกด้วยค่ะ! จะมีอุปสรรคอะไรมาทดสอบลูกๆ กันอีกไหม พวกเราเลยขับช้ามาก ถือคติปลอดภัยไว้ก่อน แล้วก็มาถึงช้ากว่าที่คิดพักนึง แต่ก็ปลอดภัยดีทุกประการ พี่แอนเก่งมากที่สามารถขับรถมาได้อย่างปลอดภัย เราเองก็ลุ้นไปด้วย (พร้อมร้องเพลงเทเลอร์ สวิฟฟ์)

ปิดท้ายด้วยรูป etc ของเกาะเจจู ปกติของขึ้นชื่อของเจจูคือส้ม ซึ่งเราไปฤดูส้มพอดีเลยแวะซื้อตามเพิงข้างทางซึ่งมีเยอะแยะมากมาย ราคาไม่แพง (แต่ดันได้ส้มเปรี้ยว อันเป็นที่มาของคำว่า “ทริปเกาะส้มเปรี้ยว”) สำหรับคนจะซื้อเป็นของฝาก ที่สนามบินก็มีส้มในราคาต่างๆ กันให้เลือกซื้อจำนวนมาก รวมถึงขนมแปรรูปจากส้มทั้งหลาย (แต่สุดท้ายก็พบเจอขนมเหล่านี้ในซูเปอร์ที่โซล และสนามบินอินชอนเสียเยอะ) ที่เรากับพี่แอนลงมติว่าเด็ด คือส้มแห้งเคลือบช็อคโกแลตขาว แปลกดีและอร่อยเกินมาตรฐานขนมของฝากทั่วไป

สำหรับคนอยากส่งโปสการ์ดจากเจจู ไปส่งที่สนามบินเจจูได้เลย มีไปรษณีย์เล็กจิ๋วอยู่ที่ชั้น 1 แถวๆ ประตูหมายเลข 4 ซื้อสแตมป์แล้วก็ติดฝากเค้าส่งตรงนั้นได้ทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s