มาถึงเมืองที่ 3 ของทริปเที่ยวคิวชูแล้วจ้ะ
อ่านย้อนหลังทริปคิวชู > ฟุกุโอกะ / คาโกชิม่า / Kurogawa / Beppu / Yufuin
นั่งชิงกังเซ็นเที่ยว 11.40 จากคาโกชิม่าไปคุมาโมโต้ ได้เสบียงเป็นลูกชิ้นปลารสเด็ดดวงจากร้านขายของที่ระลึกตรงสถานีรถไฟ มันแจ่มจริงติงนังนุงมาก ขนาดจิ้มมั่วยังได้ไส้ไข่ปลา ไส้ชีสแจ่มๆ มากิน สมเป็นของเด็ดประจำเมืองจริงแท้


สถานีรถไฟคุมาโมโต้
คนเงียบเหงาในวันเราไป (ใช่ซี้ ใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสี อากาศยังไม่หนาว) แวะซื้อตั๋ว 1 day pass ที่ tourist info ตรงทางออกสถานี ที่นี่เค้าแบ่ง Pass เป็นหลายอย่างตามการใช้งาน เราซื้อแบบขึ้นแทรมอย่างเดียว 400 เยน ถ้าแบบรวมบัส รวมสถานที่ท่องเที่ยวด้วยก็จะแพงขึ้น แต่รวมๆ แล้วก็ยังถูก (ถ้ามีปัญญาไปหมดล่ะก็นะ)
สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้เลยคือ…มีนุ้งหมีคุมะมงคอยต้อนรับทุกหนแห่งตั้งแต่ก้าวเท้าลงรถไฟเลย กระทั่งที่โรงแรม เรียกว่าเป็นการรวมพลังของชนทั้งเมืองอย่างเนียวแน่น เห็นแล้วปลาบปลื้มใจแทนจริงๆ เพราะถ้าถามตัวเองดีๆ จะพบว่าที่เราอยากมาเมืองนี้ หาใช่เพราะปราสาทคุมาโมโต้ สวนญี่ปุ่น Suizenji หรือสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ของเขา…เรามาเพราะนุ้งหมีกันเป็นหลัก
สถานที่ท่องเที่ยวในคุมาโมโต้ ที่จะพูดถึงบล็อกนี้ก็คือ ปราสาทคุมาโมโต้, สวน Suizenji, Sakura no Baba Alley และ Shinmachi Furumachi
ของกินเด็ดที่แปลกๆ ของเมืองคุมาโมโต้ คือ “รากบัวยัดไส้มัสตาร์ดชุบแป้งทอด” หากินได้ตามร้านทั่วไป หรืออาหารเช้าที่รร. บางที่เค้าก็จัดให้


ที่พักเมืองคุมาโมโต้ เราเลือกโรงแรม Mitsui Garden เพราะใกล้สถานีรถบัสชนิดเดิน 8 นาทีถึง และห่างจากสถานีรถไฟราว 4-5 ป้าย ห่างจากแหล่งช็อปปิ้งและกินอย่าง Shimotori Shotengai แค่ 5 นาทีเดิน ส่วนตัวห้องเองก็มาตรฐานทั่วไป (ไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้ เลยนึกไม่ออก แต่จำได้ว่าโอเค) อาหารเช้าที่โรงแรมแบบบุฟเฟต์มีให้เลือกเยอะทั้งข้าวสวย ข้าวต้ม อาหารตะวันตก แถมโลคัลด้วยเช่นรากบัวยัดไส้มัสตาร์ด แกงเนื้อม้า โอชาสุเกะ ไข่ปลาคอดตูมๆ ผักดองหลายแบบ คือว่าสองคนนี้ปรีเปรมมาก ถ้าเพียงแต่ว่า…กาแฟจะอร่อยกว่านี้อีกนิดเดียว
ปราสาทคุมาโมโต้
จากรร.สามารถเดินไป Kumamoto Castle ด้วย …ฉันชอบสามีตัวเองที่ตั๋วพาสอะไรมีพร้อม แต่เลือกที่จะเดิน โดยให้เหตุผลว่า ขี้เกียจเดินไปขึ้นแทรม เอิ่ม…. – -”
ปราสาทนี้ดูภายนอกอลังการยิ่งใหญ่ แต่ข้างในเสียความเป็นปราสาท หมดความขลังไปอย่างเห็นได้ชัด เพราะแทบไม่ร่องรอยทางประวัติศาสตร์ให้เห็น (ส่วนนึงคงเพราะไฟไหม้เป็นจุล ไม่เหลือข้าวของชิ้นเล็กชิ้นน้อยให้ดูเป็นที่ระทึก พอสร้างขึ้นใหม่มันเลยกลายเป็นปราสาทโล่งๆ)
ชั้น 1-5 เป็นที่จัดนิทรรศการ (ภาษาญี่ปุ่นอ่านไม่ออก) ข้าวของก็น้อยเหลือใจ (ก็ไฟไหม้อะเนาะ) ชั้น 6 บนสุดเป็นจุดชมวิวตามสไตล์ ลมแรงหวิวๆ หัวปลิวเย็นเฉียบเลย ทางขึ้นเป็นบันไดค่อนข้างชันแต่ลุงป้าขึ้นสบายๆ ระหว่างทางมีภาพปราสาทเด็ดๆ ในญี่ปุ่นให้ดูแบบจัดลำดับตามความเด็ดดวง…พบว่าเราไปปราสาทมาน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เค้าเอามาให้ดู นี่ตูว่าตูก็ไปญี่ปุ่นมามากกว่า 20 เมืองแล้วนะ สงสัยไปเมืองที่ไม่มีปราสาทซะส่วนใหญ่





แต่เค้าอาจพอระแคะระคาย ว่าเราไม่ค่อยปลื้มปราสาทใหญ่ เลยบูรณะปราสาทเล็กข้างหน้าไว้ให้เข้าไปชม ซึ่งมีความเป็นบ้านให้เห็นเยอะกว่า มีการจำลองห้องต่างๆ เช่นห้องครัว ซึ่งจำลองเซ็ตอาหารของขุนนางต่างๆ มาให้ดู 1 เซ็ตถ้วน (เค้ากินกันน้อยนะ มิน่าล่ะสุขภาพดี) ส่วนประตูและเพดานของบางห้อง ก็ให้ช่างมาเพนท์คล้ายของเดิม เพิ่มความสวยงามน่าพิศมัยให้คนเข้าไปดู วันนั้นเราใช้เวลาอยู่ปราสาทกันราว 1.30 ชม.ได้ ตรงลานหน้าปราสาท มีห้องตู้น้ำและม้านั่งยาวไว้ให้เราเข้าไปนั่งกินของว่างได้ด้วย (เตรียมขนมมาเองล่ะ)
Sakura no Baba Alley
( บ่าย 3 )
ออกจากปราสาทคุมาโมโต้แค่ไม่กี่อึดใจ จะเจอหมู่บ้านจำลองขายของที่ระลึกและร้านอาหารจำนวนมาก ชื่อ Sakura no Baba Alley ตอนหลังถึงรู้ว่าราคาอาหารที่นี่จะแพงกว่าที่อื่น ในฐานะที่เป็นหนึ่งใน tourist trap อันดับต้นๆ แต่ในวินาทีที่หิวแล้วก็เป็นทางเลือกที่ไม่แย่ เราเลือกร้านข้าวหน้าปลาดิบชื่อ Amakusa Kaishoku Maruken เพราะบูน้ำลายไหลโจ๊กกับอุนิโครเกตต์จำลอง ซึ่งเป็นโครเกตต์ที่แตกต่างจากที่อื่น ตรงยัดไส้ไข่หอยเม่นเข้าไปด้วย คนชอบนิปลื้มอ่ะบอกเลย ถ้ากินเสร็จแล้วติดใจล่ะก็ แน่นอนว่าเขามีซอสไข่หอยเม่นขายเป็นขวดๆ ให้ซื้อกลับบ้านได้ด้วย
ส่วนข้าวหน้าปลาดิบเค้าจะมีซุปดาชิใส่กา มาให้เราทำโอชาสึเกะตอนกินปลาหมดแล้ว รสชาติละมุนละไมเหมาะสมมาก มีเอกสารภาษาอังกฤษกำกับให้เสร็จสรรพ แม้จะเป็นกูเกิลแปล แต่มันก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลยไม่ใช่รึ






Suizenji Garden
จากร้านอาหารมาที่สวน เราใช้บริการแทรมและแอบงีบโงกเงกไปราว 10 สถานี (เมื่อท้องอิ่ม หนังตาก็หย่อนยาน) เลยพอมีกำลังวังชาขึ้นมานิดนึง สงสัยในซุปดาชิจะมียานอนหลับ
ที่นี่เป็นสวนญี่ปุ่นเต็มขั้น มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ความสวยงามติดอันดับต้นๆ ของประเทศ จุดเด่นคือการจัดกองดินให้เป็นภูเขา จำลองให้เราจิ้นเอาว่าเป็นฟูจิซัง และจำลองสวนให้คล้ายถนน Tokaido ที่เชื่อมต่อเอโดะกับเกียวโตในสมัยเอโดะด้วย
เดินดูก็สวย ต้นไม้ทุกต้นเป็นระเบียบดี เสมือนหนึ่งผมม้าที่หวีเรียบแปล้ ไม่มีช่อใดแตกออกมาให้ขัดลูกกะตาเลย แดดกำลังงาม ลมพัดแรง อากาศไม่ร้อน ส่วนใหญ่เน้นหญ้าเรียบๆ ต้นบอนไซยักษ์ที่ยังมีสายรัดดัดให้มันได้เชฟตามต้องการ แต่ดูๆ แล้วเราชอบสวนที่ฮิโรจิม่ามากกว่า มันรวมๆ หลายอย่างเป็น 4 ฤดู ไปหน้าไหนก็สวยและมีเอกลักษณ์ มีทุ่งนาด้วย แต่อันนี้ดูไปนานๆ มันเลี่ยนความเป็นญี่ปุ่นไปนิด











Amakusa Fisheries Laboratory
อาหารเย็นเราไปกิน เหมือนเป็นร้านเหล้าแบบคนรุ่นใหม่ทำ ตัวร้านดูดี จนมโนว่าพนักงานต้องพูดภาษาอังกฤษได้แน่ๆ! แต่โนววววว เมนูญี่ปุ่นล้วน พนักงานแทบพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ อาศัยใบ้ๆ แบ๊ะๆ และภาษาญี่ปุ่นเล็กน้อยของคุณบู
ร้านนี้เน้นอาหารทะเล และวัตถุดิบท้องถิ่น อาหารเด่นเมืองนี้คือรากบัวยัดมัสตาร์ดชุบแป้งทอด หรือที่เรียกว่า Karashi Renkon เนื้อม้า (ดิบ ย่าง ทอด) ปลาขาวบางประเภท ไก่ทอด ปลาหมึกใส (ที่เพิ่งเห็นมาจากอะแควเรี่ยม) อะไรที่เกี่ยวกับข้าวเพราะแถวนี้ปลูกข้าว




Shinmachi Furumachi
ย่านบ้านเก่าคุมาโมโต้ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ใน sunset on 3rd street
ด้วยความที่อยากไปหาซื้อสแตมป์ (หวังว่าจะมีสแตมป์คุมะ) เราเลยแวะไปไปรษณีย์ใหญ่ของเมือง (สุดท้ายพบว่าไม่มีสแตมป์คุมะ แต่กลอ่งอะ! กล่องปณ.ลายคุมะ!!!!!!!!! อยากเอากลับแต่ไม่ไหวจะเคลียร์)
โอกาสนี้เองทำให้ได้แฉลบเดินไปย่านบ้านเก่าที่น่าร้ากกกกกกกของเมืองนี้เขาด้วย ลักษณะคล้ายหลุดมาจากหนัง Sunset on 3rd street คือเป็นบ้านเก่าๆ ข้าวของที่ขายบางร้าน เหมือนหลุดมาจากยุคก่อน ร้านดังโงะแบบ…เก่าไม่เสแสร้ง พวกเราเดินเข้าไปอุดหนุนลุงคนขายหน้าตายิ้มแย้ม พยายามชวนคุยแต่เราไม่รู้เรื่อง พอบูบอกเราเป็นคนไทยบทสนทนาเลยจบด้วยรอยยิ้ม ดังโงะของลุงเป็นแบบเก่าคือพับทบไม่ใช่ก้อนกลมๆ อย่างที่เคยเห็นมา อร่อย ไม่หวานจัด แป้งไม่แป้งมาก เราเก็บเป็นเสบียงกินบนรถบัสตอนหลัง
เราเองไม่ได้เดินหมดทั้งย่าน เพราะเวลามีไม่มากพอ แต่รู้สึกเหมือนแถวนี้เค้าต้อนรับนักท่องเที่ยวนะ คือมีแผนที่ย่านแนะนำนว่าร้านนี้ๆ มีความเป็นมายังไง สักพักเดินไปเจอคุณลุงที่เก็บดอกหญ้าข้างทางสวยๆ มาใส่หน้าจักรยาน แกหันมาเห็นเราก็ยิ้มให้ ร้านขายข้าวปั้นก็ดูเป็นมิตร เลยซื้อข้าวสารโลคัลมา 1 ซองเล็กๆ เดินย่านนี้จะไม่เจออะไรมุ้งมิ้ง แต่ได้เจอชีวิตจริงในอดีตที่ละมุนละไม ชาวบ้านร้านถิ่นแถบนั้นก็เป็นมิตรแบบสุดใจขาดดิ้น
ส่วนตัวคือ ตื่นเต้นกับการเดินย่านนี้มากกว่าไปปราสาทคุมาโมโต้ซะอีก คนเรานานาจิตตังนะ






















ปิดท้ายด้วยการรวบรวมนุ้งหมีคุมะมง ที่เจอมาจากทริปคิวชูครั้งนี้ทำเป็นวีดิโอให้ดูกันเพลินๆ : )
4 thoughts