
บางครั้งชีวิตคนเรา ก็เหมือนฟ้าจะขีดเส้นมาให้เบาๆ ล่วงหน้า เช่นคราวนี้…พอรู้ว่าจะไปโตเกียวแบบเที่ยวคนเดียว เราก็อยากไปเดิน flea market เวอร์ชั่นญี่ปุ่นดูบ้าง และบังเอิญเจอเว็บ bestlivingjapan (คลิกที่นี่เพื่อดูตาราง flea markets) ที่รวบรวมตารางงาน flea markets ในโตเกียวไว้แบบละเอียดยิบ ทั้งวัน-เวลา-สถานที่-จำนวนแผง สายรถไฟและสถานที่ไป รับรองอ่านแล้วเคลียร์คัตแน่นอน มีอัพเดตให้ทุกเดือนเลย เช็คล่วงหน้าได้ตลอด
อนิจจา flea markets ในโตเกียวส่วนใหญ่จัดวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งเราไปถึงเย็นวันอาทิตย์พอดี T^T คือพลาดงานดีงานเด็ดทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ถ้าอยากจะไปจริงๆ ก็มีอีกวันนึงวันสุดท้ายของการเดินทางคืองาน Kawagoe Antique Fair จัดที่ Kawagoe, Saitama…ไซตามะ!!!!!!!!!!
ไม่ธรรมดาเลยอะ เพราะต้องนั่งรถไฟไปราว 1.30 ชม. (ของจริงคือ 2 ชม.เพราะเราต้องเปลี่ยนสถานีจาก Shinjuku ไป Seibu-shinjuku ซึ่งเดินไกลโพด 20 นาทีได้!) ดังนั้นเท่ากับเราต้องตื่นแต่ไก่โห่ นั่งรถไฟไป 2 ชม. เดินเล่นได้แค่ 2 ชม. เพื่อที่จะนั่งรถไฟกลับ 2 ชม. มาให้ทันนั่งบัสไปสนามบินตอนบ่าย 2 โมง…แค่คิดก็เริ่มหอบแล้วอะ
แต่ตอนนั่งเครื่อง เปิดอ่านนิตยสาร มีคอลัมน์พูดถึงเมือง kawagoe พอดี๊! คือญี่ปุ่นมีเมืองเป็นร้อย จำเป็นมะว่าต้องพูดถึงเมืองนี้ตอนเรากำลัง 2 จิต 3 ใจพอดี?…อ่านๆ ดูพบว่ามันเป็นเมืองน่ารัก ที่ทุกๆ วันที่ 18 ของทุกเดือนเป็น “วันกิโมโน” ทีรณรงค์ให้คนใส่กิโมโนแทนเสื้อผ้าปกติ ดังนั้นถ้าใครไปเที่ยว ก็จะได้บรรยากาศย้อนยุคเหมือนสมัยเอโดะ เพราะฉากหลังของเมืองคือบ้านไม้เก่าแก่ให้เห็นโดยทั่วไป (แต่ไม่แน่นหนาเหมือนเกียวโต) และมี Kura หรือบ้านไม้ 2 ชั้นที่ด้านล่างคือร้านค้า หลังคาเป็นกระเบื้องสีเทา เรียงตัวยาวอยู่ 2 ฝั่งถนนของฝากเดินเพลินแน่นอน



สุดท้ายก็เลยตัดสินใจไปจนได้ ไม่งั้นคงพลาดโอกาสเดิน flea markets ในโตเกียวไปอีกนาน ตื่นเช้าหน่อยก็ไม่น่าจะยากมะ??!
แผนการเที่ยวแบบเจียมตัวสุดแล้วก็คือ
1. Kawagoe Antique Fair
2. Penny candy lane ถนนลูกกวาด
3. Bell Tower หอระฆังไม้เก่าแก่
4. กินข้าวหน้าปลาไหล!
สิ่งที่ฮิตฮอตเมืองนี้ก็คือ เซมเบมันหวานเป็นแผ่นๆ, ขนม Konpeito ที่ candy lane และดังโงะที่มีหน้าร้านเล็กๆ ปิ้งขายส่งกลิ่นหอมๆ ไปทั่ว รวมถึงข้าวหน้าปลาไหล
ส่วนแหล่งท่องเที่ยวและไฮไลต์อื่นๆ ของ Kawagoe คลิกอ่านที่นี่ (ภาษาอังกฤษ)
มาดูกันว่ามิชชั่นทั้งหมดนี้ จะทำได้เสร็จใน 2 ชม.ไหม !!!!!!!! (ฟู่ๆ ฟ่อๆ)




เดินทาง
เตรียมไว้เลย 2 ชั่วโมง จะนั่งสาย Seibu Shinjuku ลงสถานี Hon-Kawagoe หรือนั่งสาย Tobu Tojo ไปลงสถานี Kawagoe-shi ก็ตามสะดวก ส่วนเราเดินทางจาก Roppongi เลยนั่ง Seibu Shinjuku ค่าตั๋ว 500 เยน เวลาในการนั่งรถไฟคือ 1 ชม. (express) และ 1.20 ชม. (semi-express) แต่เวลาเปลี่ยนสายและรอราวๆ 45 นาที เพราะสถานี Shinjuku และ Seibu-Shinjuku มันไม่ได้เชื่อมต่อกันนะจ๊ะ
ถ้าใครรีบ(เหมือนเรา) ก่อนออกจากสถานี ให้ถามเที่ยวรถขากลับไว้ด้วยเลย จะได้ไม่ต้องมารอเก้อ และหลังจากใช้ภาษามือ + อังกฤษถามนายสถานีราว 5 นาทีก็ได้คำตอบว่า รถไฟ express เที่ยวกลับ Seibu-Shinjuku คือรอบ 11.37 กับ 11.57 ดังนั้นเราต้องรีบละ (ณ เวลาถามคือ 9.30 น.)
Kawagoe Antique Fair
ไม่ว่าจากสถานี Hon-Kawagoe หรือ Kawagoe-shi ก็เดินไป flea market ราวๆ 20 นาที ให้เสิร์ชหาที่อยู่ 9-2 Kubo-cho ใน google maps แล้วมันจะนำทางเราไปถึงศาลเจ้าอย่างสะดวกโยธิน ระหว่างทางเจออะไรก็แวะ เพราะเสร็จจากเดินตลาด เราจะไปทางอื่นต่อ
ตลาดนี้เน้นของเก่าจริงๆ คนที่ชอบเอาของเก่าญี่ปุ่นไปแต่งบ้านน่าจะเปรมปรีมาก แผงขายมีราว 100 ทั้งในศาลเจ้าและรอบๆ รั้วด้านนอก ตุ๊กตาโคเคชิมีเยอะมากกกกกทุกขนาดและรูปแบบ ของแต่งบ้าน จามชาม ของเล่น งานไม้ งานแก้ว มีดดาบ จดหมายเหตุเก่า เข็มกลัดเก่าโบราณ ส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่นมาเดิน มีฝรั่งราวๆ 10 คน กะเหรี่ยงไทย 1 คน
บรรยากาศงานสนุกครื้นเครง ตามธรรมเนียมของตลาดนัด flea markets โดยทั่วไป แถมที่นี่ได้ความขลังเพราะจัดในศาลเจ้าด้วย (ในโตเกียวบางแห่ง ก็จัดในศาลเจ้าเช่นกัน เพราะมีลานโล่งด้านหน้า บางที่ก็จัดในศูนย์กีฬาใหญ่ๆ น่าสนุกมาก)































Penny Candy Lane
หรือถนน Kashiya Yoko-Cho สองข้างทางเน้นขายขนมหวานๆ ทั้งหลาย ในบ้านไม้เก่าแก่ให้ความรู้สึกขลัง ที่แต่ละหลังสืบทอดการทำขนมหวานมาตั้งแต่บรรพบุรุษหลายรุ่น เพราะมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมัยเมจิต้นๆ โน่นแน่ะ!
เห็นคนเขาซื้ออะไรสักอย่างเป็นกระบองๆ อันบะเลิ่มแบกใส่หลังกลับไปกันเยอะเลย เราไม่ได้เข้าไปเบิ่งดู (กลัวอยากได้ แล้วขนกลับไม่ไหว) รวมถึงขนม Konpeito ที่ไม่ได้ซื้อกลับมา (ไม่มีคนกิน) แต่ก็มีร้านอย่างอื่นปนๆ กันไปด้วย หันเหไปเข้าร้านผักดอง ได้ติดมือออกมา 1 ซองสบายใจ ด้วยความที่เป็นถนนเส้นเล็กๆ ร้านเลยไม่เยอะมากเท่าไร เดินแป๊บเดียวก็หมด (ไม่เกิน 10 นาที)





Toki-no-kane หรือ Bell Tower
หอระฆังที่ยังตีบอกเวลามาจนถึงทุกวันนี้ ตั้งอยู่ในย่าน Kurazukuri ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น “ถนนของฝาก” ที่พลาดมิได้ด้วยประการทั้งปวง สองข้างทางเพียบแน่นด้วยร้านค้าเก่าแก่ ทำจากไม้ 2 ชั้นยาวเหยียดมากกกกกกกกกก และทุกร้านก็ดูน่าสนใจไปหมด มีทั้งของกิน ของฝาก ของที่ระลึก ของหวาน ของคาว ขนม อาหาร ไปรษณีย์ก็มีสาขาอยู่บนถนนเส้นนี้ด้วย (เขาขายโปสการ์ดประจำเมืองด้วยนะ เร็วๆ เข้าไปดูกัน)


คือตอนแรกหาหอระฆังนี้ไม่เจอ และเวลาก็กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบตัดใจไม่ไปละล่ะ ระหว่างรอแม่ค้าปิ้งไท้ยากิไส้ครีมให้ (ลดระดับจากข้าวหน้าปลาไหล มาเป็นขนมไท้ยากิยาไส้อะคิดดู!!! หิวไส้แทบขาด T^T) เราเลยเอาห่อขนมเซมเบ้มันหวาน มาชี้ให้ดูรูปกราฟฟิคหอระฆัง แล้วถามว่าตรงไหน เธอชี้โบ๊ชี้เบ๊บอกให้รู้ว่าแค่ตรงนี้เอง เดินไปเถอะ ดังนั้นพอออกจากร้านได้ก็พุ่งตรงไปทันที ดีใจ…




พอถ่ายรูปหอระฆังเสร็จ กำลังกลุ้มใจว่าคงไปถึงสถานีขึ้นรถไฟรอบ 11.37 ไม่ทัน เพราะถึงจะเดินเร็วยังไง แต่ระยะทางมันไกลอยู่ ระหว่างทำหน้าเศร้าและปลงว่าต้องนั่งรถเที่ยว 11.57 แน่เลย รถเมล์คันนึงก็มาจอดด้านหลัง พอเงยหน้าขึ้นมองป้าย มันเขียนว่า Kawagoe Station!!! อิฉันเลยไม่คิดอะไรทั้งนั้น พุ่งพรวดขึ้นรถ พอนั่งไปสักนาทีนึงถึงเพิ่งคิดได้ ว่าเราจะไป Hon-Kawagoe Station นี่หว่า…แล้วคันนี้มันใช่หรือเปล่า อ่ะ…panic รับทานอีกรอบ!!! เลยกะจะกดออดลงป้ายหน้าละ ปรากฎ…อ้าวนั่นห้าง Pepe ที่เราลงรถไฟมานี่หว่า เย้!!! ถึงแล้ว!!!!!!!!!
สรุปทันรถไฟเที่ยว 11.37 จนได้ ขอบคุณสวรรค์ที่ประทานรถเมล์คันนั้นมาให้ลูก เพราะกว่าจะถึงโรงแรมเพื่อเอากระเป๋าและรอขึ้นบัสไปสนามบิน ก็ตอน 13.30 แล้วค่ะพี่น้อง!! เป็นอะไรที่ฉิวเฉียดดีอะนะ หัวใจงิเต้นโครมๆ ขาซอยยิกๆ ไม่พอยังแวะซื้อเสื้อเดินป่าให้คุณบูที่ร้าน montbell ได้อีก 2 ตัวด้วย – -”
มาปิดท้ายกันด้วยรูปจากเมือง Kawagoe นะ : )










ติดตามกันทาง http://www.facebook.com/adaytripdiary
หรือ ig: adaytrip_diary