มาโตเกียวหนนี้ ปักหลักอยู่ย่านนี้แยะกว่าที่อื่น เพราะใกล้รร.ที่พัก สะดวกกับการเดินเที่ยวคนเดียว และมีที่ๆ เราสนใจอยู่ค่อนข้างเยอะเป็นทุนเดิม แทบไม่ต้องนั่งรถไฟเบียดไปไหนไกลมาก
ย่านนี้หลักๆ ไม่ค่อยมีของมุ้งมิ้งให้ช็อปปิ้ง เน้นแบรนด์ใหญ่ๆ มากกว่า อ้อ! มีร้านขนมกรอบชุบน้ำตาลโค-ตะ-ระ-อร่อย ชื่อร้าน Azabu Karinto ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง และถนนเส้นเดียวกันมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านไท้ยากิขึ้นชือ ร้านหอยที่เราไปกินใต้ตึก Roppongi Hills (B2) สำหรับคนชอบก็นับว่าดีมาก ส่วนร้านอาหารอื่นๆ ในย่าน Roppongi เราอ่านจาก Time Out ข้อมูลเค้าแน่นมาก

ในบล็อกนี้จะพูดถึง 3 ที่ๆ เราไปก็คือ
1. National Art Center
2. 21_21 design sight
3. Mori Art Museum
4. Tokyo city view (และ Sky Deck) อยู่ที่เดียวกับ Mori Art Museum
แต่ละแห่งห่างกันระยะเดินราว 10-15 นาทีเอง นั่งรถไฟมาลง Toei-Roppongi ทางออก 3 โลด ขึ้นมาได้ก็ใช้ google maps นำทางต่อไป เราไม่ใช่ติสต์ตัวแม่แต่อย่างใด เป็นคนธรรมดาที่ชอบงานศิลปะสวยๆ โดยทั่วไป รับรองว่าการเดิน art center/museum เหล่านี้ไม่ต้องไต่บันไดดูอย่างแน่นอน
The National Art Center
แค่ไปเห็นตึกก็รู้สึกชอบ ออกแบบให้ด้านนอกและในดูดี มีแสงเงาสวยงาม คนเรียนสถาปัตย์คงชอบเป็นพิเศษ ตอนเราไปมี exhibition 2 งานคือของคุณ Niki ศิลปินหญิงอาร์ตตัวแม่ ที่ทำงานชิ้นโตๆ สีสันสดใส พื้นที่จัดงานค่อนข้างใหญ่กินพื้นที่ 2 ชั้นเลย แต่…เราไปดูงานของคุณป้าแกที่พิพิธภัณฑ์กุ๊กเกนไฮม์ในเมือง Bilbao มาแล้ว จะเสียตังดูอีกก็กลัวของซ้ำ แม้จะรู้ว่าไม่ซ้ำหมด เพราะที่นี่เน้นภาพวาดมากกว่าชิ้นงานสนุกๆ เพี้ยนๆ แบบกุ๊กเกนไฮม์ แต่ก็ตัดสินใจไม่เข้าดู ส่วนอีกคนนึงงานเค้าจะออกทึมๆ หน่อย เลยไม่เข้าเช่นกัน เสียดายก็เสียดายนะ แต่สิ่งที่มาดามอกของเราก็คือ…”ร้านขายของที่ระลึก” 5555555555+++
อยากบอกว่า ร้านขายของที่ระลึกนี่เทพนะ ของเยอะ ดูสนุก เสียเวลาเป็นชั่วโมงได้ เป็นงานทำมือของคนญี่ปุ่นที่หลากหลายได้เรื่อง แม้จะไม่ใช่ศิลปินใหญ่ๆ ชื่อดังระดับโลกที่พวกเรารู้จัก แต่งานสวย เลือกดี มีแบรนด์อย่างกอมเดอการ์ซองมาขายด้วย เรียกว่ามีทุกสิ่งให้คุณเลือกสรร อิฉันก็หมดเงินไปหลายอยู่ แต่เค้าห้ามถ่ายรูปเลยช้อปอย่างเดียว ช้อปเสร็จก็กินข้าวราดซอสเนื้อในแคนทีนที่อยู่ติดกันนั่นเอง อร่อยเรียบๆ ตามธรรมเนียมอาหารญี่ปุ่น (ค่าอาหารราวพันต้นเยน)

















21_21 Design Sight
จริงๆ ไม่ได้กะเข้าไปดู คือว่าจะเดินผ่านไปสวนที่อยู่ติดๆ กันแค่นั้น ปรากฎพอเห็นตึกแล้วรู้สึกชอบ ยิ่งมีแบ็คดร็อปเป็นต้นสนเหมือนอยู่เมืองนอก! (บูสะกิดว่า เอ็งอยู่เมืองนอกอยู่แล้ว…อ่ามก็แบบ ยุโรปไงๆ) มารู้ตอนหลังว่าอาคารออกแบบโดยสถาปนิกญี่ปุ่นชื่อ Tadao Ando ซึ่งเป็นสถาปนิกที่เริ่มต้นงานจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง (กราบ 10 ที) แถมอาชีพแรกๆ ในชีวิตคือนักมวยและคนขับรถสิบล้อ! (กราบอีก 20 ที) สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า ถ้าเราตั้งใจจริงและไม่ย่นย่อ ความสำเร็จก็ต้องมาถึงในสักวัน
วันนั้นมี exhibition I have an idea ของคุณ Frank Gehry ที่ตั้งใจจะไม่เข้า แต่ทำไมไม่รู้เหมือนมีแม่เหล็กมาดูดให้ซื้อตั๋วจนได้ ปกติเราไม่ค่อยชอบเข้าไปดูนิทรรศการคนเดียว เพราะขี้เกียจอ่านรายละเอียดยุบยิบตาลาย ชอบไปกะคุณบูแล้วเซ้าซี้ถามเอา สนุกดี (คุณบูก็ช๊อบชอบตอบ เลยเข้ากันได้ดี๊ดี 555) สารภาพว่าตอนแรกไม่รู้ว่าเขาคือใคร รู้แค่ว่าต้องยิ่งใหญ่และชื่อดังมากแน่ๆ เลย (ใจคงคิดว่า ถ้าดูแล้วฉันอาจจะมี idea อะไรเหมือนลุงแกบ้าง) ค่าตั๋วพันเยน จัดไป! (งานมีถึง 7 กพ. 2016)
ที่นี่หลักๆ เค้าจะจัดนิทรรศการที่มุ่งเน้นงานและให้ความรู้ด้านสถาปัตยกรรมระดับโลก ดังนั้นแน่นอนว่า exhibition ก็ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มนุษย์ธรรมดาอย่างเราก็พบว่าสนุกนะ เพราะเค้าเอานำเสนอด้วยวิธีง่ายๆ นำชิ้นงานจำลองหลายๆ แบบมาให้ดู ว่าก่อนจะสร้างเป็นตึกจริงต้องทดสอบทั้งเรื่องแสง (ด้วยชิ้นงานเรซิน) ทดสอบเรื่องโครงสร้าง (ด้วยชิ้นงานแบบอื่น) สรุปว่าตึกอันเดียวกว่าจะตกผลึกได้ สร้างขึ้นงานเล็กๆ ขึ้นมาจำนวนมาก
งานของคุณ Frank Gehry นี่ไม่ธรรมดาเลยอะ ตึกส่วนใหญ่ของเค้าดูสลับซับซ้อน มีลักษณะคล้ายกล่องหลายๆ ขนาดมาวางเรียงกันในรูปแบบต่างๆ จนกลายเป็นตึกขนาดใหญ่น่าเกรงขามงามสง่า แต่บ้านที่เขาอาศัยกลับดูอบอุ่นโฮมมี่มาก ห้องทำงานของบริษัทเตกใหญ่ๆ ก็มีภาพให้ดู เรายืนจ้องรายละเอียดอยู่นานเลย สนุกดีอ่า งานนี้สนุกตรงเค้าเป็นคนปากร้ายด้วยดิ มี quote เค้าให้อ่านเพลินๆ ทั่วงาน จริงๆ พื้นที่จัดงานไมใหญ่แต่เดินใช้เวลานานอยู่นะ
และ…พอออกมาตรง museum shop นี่เองถึงรู้ว่า…คุณ Frank Gehry คือคนออกแบบกุ๊กเกนไฮม์ที่ Bilbao ซึ่งเราเพิ่งไปมาเมื่อปลายเมษานี้เอง …อา…ลุงแทบักมาก (ถ้าบูมาด้วย คงรู้ไปตั้งกะก่อนเข้าละ 55555+)


















สวนเล็กๆ บริเวณ 21_21 Design Sight

Mori Art Museum
ตอนไปมี exhibition อันเดียวคือ The golden pharaohs and pyramids (งานมีจนถึง 3 มกรา 2016) ขณะที่งานของคุณ Takashi Murakami ชื่อว่า The 500 Arhats กำลังจะเริ่มวันที่ 31 ตุลา 2015!! พลาดไป 2 วัน!!!! (งานคุณ Murakami มีจนถึง 6 มีนา 2016) ซึ่งงานนี้เขาบอกว่า จะล้างคำครหาที่ว่าเขาเอากราฟฟิกการ์ตูนมาสร้างชื่อให้ตนเองให้หมดไป!!! ด้ายการสร้างชิ้นงานยาว 100 ม.ให้ดูชม (แล้วฉันก็ชวด!!)
ไม่เท่านั้น…งาน exhibition น้องมะม่วง Refresh! Mamuang ของคุณวิสุทธิ์ ก็กำลังจะเริ่มที่ A/D Gallery ใน Roppongi Hills แห่งนี้เช่นกันในวันที่ 23 พย – 13 ธค 2015 (ชวดอี๊ก!!) มาที่นี่ถึงรู้ว่าคุณวิสุทธิ์ฮิตฮอตจริงๆ ผลงานภาพขายหลายๆ หมื่นเยน รู้สึกดีใจที่เป็นคนไทย เพราะอย่างน้อยมีของราคาไม่แพงขายให้พวกเราได้ชื่นชม รวมถึงหนังสือสารพัดเล่มที่น่ารักๆ ทั้งนั้น
สรุปว่า…เดินเข้างานฟาโรห์หงอยๆ ทั้งที่เป็นคนชอบดูของพวกนี้มาก แต่กลับพบว่าด๋อยมาก เพราะงานนี้โฟกัสที่รูปปั้นฟาโรห์องค์ต่างๆ (ที่ไม่เคยได้ยินชื่อ…ขอโทษค่ะ) และลักษณะการสร้างปิรามิดแบบคร่าวๆ มีโลงมัมมี่ให้ดูแค่ 1 และไม่มีมัมมี่จริงด้วยล่ะ (แต่ก็ดีแล้วกลัว)
Museum Shop ของ Mori เค้าแจ่มนะ คือรวมเอางานของศิลปินเด็ดๆ ในกระแสมาขายหมดเลย ทั้ง Yoshitomo Nara, Wisut และน้องมะม่วง, Takashi Murakami comme des garcons และอื่นๆ อีกมากมายหลายคนที่สวยๆ ทั้งนั้น ที่นี่เป็น Tax Free Shop ด้วย ซื้อเกินหมื่นเยนก็ไม่ต้องจ่ายภาษี
(บูธตั๋วและ museum shop อยู่ชั้น 3 เปิด 10.00-21.00 น.// A/D Gallery ชั้น 3 เปิด 12.00-20.00 น.(ติดกับมิวเซียมช็อป) // Observation Deck และมิวเซียมอยู่ชั้น 52-53 เปิด 10.00-23.00 น.// Sky Deck อยู่ดาดฟ้า เปิด 11.00-20.00 น.)

ทีเด็ดของที่นี่ก็คือ Tokyo City View ซึ่งมีให้เลือก 2 ทาง หนึ่งก็คือ Observation Deck ซึ่งจะเห็นวิวเมือง 360 องศา และ tokyo tower ด้วย ส่วนนี้จะเสียค่าเข้า 1800 เยน (สูง 250 เมตร) มีโซฟานุ่มๆ ให้นั่ง มีอาหารเครื่องดื่มให้สั่ง (เอาไปเองก็คงได้เหมือนกัน) แถมบรรยากาศก็เงียบๆ กำลังดี เหมาะกับการนั่งกระหนุงกระหนิงดูอาทิตย์ตกยามเย็นไปด้วยกัน
(ถ้าซื้อตั๋ว Observation deck + mori art gallery จะเหลือ 3300 (ลดไป 300 เยน)
หรือเราจะเลือกไป Sky Deck แทนก็ได้ เสียแค่ 500 เยน ส่วนตัวเราว่า sky deck วิวแจ่มกว่าเยอะ เพราะสูง 270 เมตรไม่มีกระจกบัง เสียแต่ลมแรงมากกกกก หัวหูกระเจิง ยืนนานหนาวตาย บนนั้นเป็นแค่ลานกว้างๆ บนยอดตึก ไม่มีเก้าอี้ใดๆ ให้นั่ง อยู่แป๊บๆ ตอนพระอาทิตย์กำลังจะตกน่ะได้ แต่ถ้าอยากอยู่ยาวๆ นั่งดูอาทิตย์ลับขอบฟ้าแบบโรแมนติกคุยมุ้งมิ้งสบายๆ ล่ะก็ ไม่แนะนำอย่างยิ่ง ก่อนขึ้นไปเค้าจะให้เราเอาของทุกสิ่งยกเว้นมือถือและกล้องถ่ายรูป ทิ้งไว้ที่ล็อกเกอร์ก่อน (หยอดเหรียญ 100 เยนแต่ได้คืน) ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าทำไม แต่พอขึ้นไปแล้วเกือบโดนลมพายุพัดปลิวจึงถึงบางอ้อ
ด้วยความอยากรู้ เราเลยขึ้นไปดูมันทั้ง 2 ที่เลย หึหึ…




















