
เห็นส่วนใหญ่คนมักใช้ ฟุกุโอกะเป็นฐานที่มั่น แล้วนั่งชิงกังเซ็นไปเที่ยวเมืองต่างๆ แบบเช้าไปเย็นกลับเอา จะได้คุ้มค่า JR Pass ซึ่งเราว่ามันก็สะดวกดี เพราะชิงกังเซ็นวิ่งเร็ว แป๊บๆ ก็ถึงเมืองที่หมายแล้ว (การสรรเสริญชิงกังเซ็น ดูจะเป็นเรื่องซ้ำซาก แต่มันก็คือความจริงที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้)
แต่เรา 2 ไม่ค่ะ!…กล้าบ้าบิ่น พอเครื่องแลนด์ก็พักฟุกุโอกะแค่คืนเดียว หลังจากนั้นย้ายเมืองทุกวัน นอนเมืองละคืน! ไม่พอยังมีติ่งเมืองทางใต้สุดอยู่ในแผนเที่ยวด้วย ทำให้เปลืองค่าพาสไปอีกแบบ (JR Pass มีขาย 2 แบบคือแบบเฉพาะโซนเหนือ และทั่วทั้งโซน) บอกได้เลยว่าเป็นทริปที่ไม่เจียมสังขารมากๆ
สิ่งที่ทำได้ล่วงหน้า คือแพ็คของใส่กระเป๋าลากเล็กกับเป้สะพายหลังคนละใบ….แค่นั้น เวลาขึ้นรถไฟหรือบัสจะได้ไม่เป็นภาระมาก ขณะเดียวกันก็ต้องเอาเสื้อผ้าไปให้ครบทุกวัน เพราะไม่มีโอกาสซักเลย…โชคดีช่วงนี้อากาศไม่เย็นจัด เลยแพ็คเสื้อบางๆ ไปได้…จุดนี้พี่ชายจะต้องภูมิใจในตัวฉัน!!
Day 1: ค้างฟุกุโอกะ (ทำไรไม่ได้ แลนด์ตอน 3 ทุ่มกว่า)
Day 3: นั่งชิงกังเซ็น Kagoshima – Kumamoto เที่ยวปราสาทคุมาโมโต้ / เดินเล่นสวน / เดินเล่นในเมือง
Day 4: ตอนเช้าเดินย่านเก่าคุมาโมโต้ (อารมณ์ sunset on 3rd street ม๊าก!) ขึ้นรถบัส Kumamoto – Kurogawa เอากระเป๋าฝากเรียวกัง แล้วทำ Onsen Hopper
Day 5: Onsen hopper continues… / เดินเท้าตามเส้นทางชมวิวบนเขา Kurogawa / นั่งบัส Kurogawa – Beppu ถึงก็ค่ำมืดแล้วเลยเดินเมือง กินซูชิร้านลุงที่ประทับใจมาก
Day 6: Hells Tour / กลับมาขึ้นบัส Beppu – Yufuin เดินเล่นเมืองกลางหุบเขา / ดูเวิ้งอาร์ตๆ ของเมืองเขา
Day7: ปีนเขา mt.Yufu / ขึ้น Yufuin no mori กลับ Fukuoka
Day8-9: shopping + เดินเล่นเมือง Fukuoka
โปรแกรมเหมือนไม่มีอะไรเลยอะ แต่เราชอบแบบนี้ เพราะเน้นออนเซ็น ปีนเขา เดินเมือง ไม่เน้นแหล่งท่องเที่ยวแลนด์มาร์กมากมาย ไปมากสุดเมืองละ 1 แห่ง = )

จากสนามบินเข้าตัวเมือง Fukuoka ทำได้ 2 แบบคือ
1.รอ Free Shuttle Bus จากป้ายรถด้านหน้าอาคาร ซึ่งจะพาเราไปส่งยังสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด (มีบัสทุกๆ 15 นาที ใช้เวลาเดินทางราว 10 นาที) แล้วจากสถานี เราจะนั่งรถไฟไปไหนก็ตามแต่ใจปรารถนา
2. ขึ้นบัสไปรวดเดียวเลย เขามีแวะส่งหลายจุด แต่วิ่งน้อยมากคือราวๆ ชม.ละคัน
พวกเราแลนด์ลงพร้อมเรือบินอีกลำนึงพอดี ผลพวงคือต้องรอตม.นานพอสมควร ต่อเนื่องมาอิตอนรอ Shuttle Bus ด้วย แถวยาวไปหลายสิบเมตรจนท้อจะนั่งแท็กซี่แล้ว (จริงๆ แล้วถ้าไปสัก 3-4 คน ค่าแท็กซี่จากสนามบิน เข้า Hakata Staion นี่ราวๆ 1200 เยนเท่านั้น แต่ต้องนั่งแท็กซี่ธรรมดา ไม่ใช่พรีเมี่ยมนะ เราเตือนคุณแล้ว!!)
นอกจากคนเยอะแล้ว อีกเหตุนึงก็คือแต่ละคันบรรทุกคนได้น้อยกว่าที่ควร เพราะ…ไม่มีใครเอาเป๋าเดินทางใส่ใน rack เก็บกระเป๋าบนบัสกันเลย!!!
คือทุกคนลากกระเป๋าไปวางไว้หน้าที่นั่งตัวเอง รถก็เต็มไปด้วยกระเป๋าสิคะ ขณะที่ rack ที่เค้าจัดไว้ให้ใส่กระเป๋าเดินทางว่างโล่ง ไม่มีคนใดใช้บริการมันเลย เออเนาะ…ไม่รู้ว่าเค้ากลัวกระเป๋าหาย หรือไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ อิฉันที่ยืนปริ่มอยู่ตรงขอบประตู ปลายเท้าชิดเส้นเหลืองเด๊ะก็ได้แต่แขม่วพุงไป ไม่ให้ประตูปิดมาบีบไขมันที่อุตส่าห์สั่งสมมา
ระหว่างนั้น คุณบูก็หน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนโบว์ตรงขอบกางเกงปาร์ก้าแพนท์ไม่มีผิด นางเครียดเพราะอยากไปเอาบัตร JR Pass ให้ทันก่อนปิด ทั้งที่เราบอกแล้วว่าไม่ทันก็ช่างมันเหอะ เราไม่ได้มีแผนการเป๊ะๆ ไปได้ก็ไป ไม่ได้ก็ช่างมัน แก่แล้ว…เที่ยวแบบชิลแลกซิ่งบ้าง (พูดไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น คิ้วยังเป็นโบว์เหมือนเดิม)
แต่สุดท้ายก็ทันนะ…แบบอีก 20 นาทีเค้าปิด เราก็เคลื่อนตัวไปอยู่หน้าเคาน์เตอร์ เกรงใจพนักงานอยู่ แต่ดีใจกว่าที่ตูมาทัน แฮ่…

Tourist Information ที่สถานี Hakata เปิดราว 7.30 – 23.00 น.!!!! (อยากกราบไหว้เวลาเปิด-ปิดมาก เปิดก็เช้ามาก แถมปิดดึก ทำให้คนที่ไฟล์ทแลนด์ตอนเกือบ 4 ทุ่มอย่างเรา ยังสามารถไปซื้อตั๋วต่อได้)
การซื้อตั๋ว หรือรับตั๋ว JR Pass
คนส่วนใหญ่ที่จองตั๋วล่วงหน้า ก็มาแลก JR Pass พร้อมจองที่นั่งรถชิงกันเซ็นที่สถานี Hakata ได้ในจุดเดียวเลย ช่างเป็นบริการที่ดีงามเหลือแสนเหมือนเที่ยวแดนเนรมิตร
พวกเราเป็นคนเตรียมการมาดีมากๆ เลยไม่ได้จอง JR Pass ใดๆ ก่อนไปทั้งสิ้น กะไปซื้อแล้วจองที่นั่งกันตรงนั้นเลย (แต่จดเวลาและเที่ยวรถไฟใส่กุเป๋าไว้แล้ว บอกแล้วว่าเตรียมตัวมาดี๊!)
ก่อนถึงเคาน์เตอร์ มีพนักงานหนุ่มน้อยหน้าตายิ้มแย้ม 3 นาย ที่พูดภาษาอังกฤษฉะฉานคอยช่วยเหลือเราด้วยความเต็มใจ กระทั่งเราให้ช่วยเทียบราคาว่าควรซื้อ JR Pass ดีไหม หรือจะจองตั๋วรถไฟ 2 เที่ยวแบบเพียวๆ ไปเลยดี เขาก็ควักเอาตารางราคารถไฟจากใต้โต๊ะ ออกมากดบวกๆ คูณๆ ให้พักใหญ่ แล้วก็อธิบายไปๆ มาๆ ว่าถ้าซื้อ JR Pass แบบทั่วภูมิภาค 3 วัน จะประหยัดกว่าคนละ 4,000 เยนครับผม อา…ทำไมน้องน่ารักจัง

การซื้อตั๋ว Sun Q Pass
เสร็จจากซื้อ JR Pass ก็กระเตงสมบัติทั้งหมด ไปซื้อ Sun Q Pass ต่อทันที เพราะตึกบัสสเตชั่นจะอยู่ติดกับสถานีรถไฟ Hakata เลยกะไปให้มันจบๆ พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้พุ่งขึ้นรถไฟ (ระหว่างนั้นเล็งร้านเบ็นโตะที่สถานี สำหรับวันพรุ่งนี้ไว้แล้ว!)
ตึกที่ว่าอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พอเจอแล้วให้ขึ้นไปชั้น 3 จะมีน้องผู้ชายหน้าตาง่วงๆ (ตอนนั้น 5 ทุ่มกว่า) นั่งที่เคาน์เตอร์ เราก็บอกโซน (มันแบ่งโซนเหมือนรถไฟ) รวมถึงวันที่ต้องการใช้ ซึ่งเขาจะประทับตราวันที่ลงบนพาสให้ บัตรนี้นอกจากจะใช้ขึ้นบัสระหว่างเมืองแล้ว ยังใช้ขึ้นบัสในเมืองได้ด้วย ขอแค่มีสัญลักษณ์ Sun Q อยู่หน้ารถ (ซึ่งมีเยอะมากๆ นะ แทบไม่ต้องซื้อพาสของแต่ละเมืองเพิ่มเลย)
ที่พักในฟุกุโอกะ
เป็นครั้งแรกที่พยายามจะจองรร.แล้ว พบว่าเต็มหมด! หมดชนิดที่ว่าพอ search ใน Agoda หรือ Booking มีลิสต์ รร. ขึ้นมาแค่ไม่ถึง 10 แห่งในราคามหาโหด ในโลเคชั่นมหาไกล ทำไงดีๆๆ นี่แหละข้อเสียของการจองช้า! (คนมันเตรียมพร้อมดีเลิศ ก็แบบนี้แหละ) เลยตัดสินใจจองผ่านทาง airbnb แทน เพราะราคาถูกกว่านิดนึง แต่โลเคชั่นดีกว่ามาก คือใกล้สถานี Hakata เลย

Hakata Station 8-minute walk
ราคาราว 2200 บาท/คืน
ลิงก์จอง www.airbnb.com/rooms/7639255
ข้อดี: อันนี้เราแนะนำมากๆๆๆๆๆ เลย ภาษาอังกฤษเค้าอาจจะไม่ดี แต่สื่อสารรู้เรื่อง เดินใกล้ราวๆ 5 นาทีเหมือนกัน แต่ห้องกว้างกว่า มีเครื่องซักผ้าพร้อมผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่มให้ (แม่เจ้า!) มีเตาติ๊ง ไมโครเวฟ ไม้แขวนเสื้อ แชมพู สบู่ ยาสีฟันแบบใช้แล้วทิ้ง(กรี๊ด!) ไดร์ฟเป่าผม ผ้าขัดตัว(มันแทบักมาก!) ตู้เย็น (เสียบปลั๊กไว้ เปิดมาเย็นเชี้ยบบบสะอาดเอี่ยม ใช้แช่ไข่ปลากับผักผลไม้ทั้งหลาย คืนก่อนเดินทางได้สบายมาก) รองเท้าแตะใส่ในห้องก็มีให้ ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือ ที่นอนดีมากกกกกกกกกก คือนอนหลับสนิทจิตใจผ่อนคลายอะ ผ้านวมหนาฟู หมอนนุ่ม ผ้าปูละไม ตอนกลับเรานั่งแท็กซี่จากบ้านนี้ไปสนามบิน เสียค่าแท็กซี่ 1200 เยนเท่านั้น ใช้เวลาราว 10 นาทีเอง
ข้อเสีย: เตียงมันเป็นซิงเกิล 2 เตียง แฟนกันจะมานอนกระแซะกันไม่ได้แน่ๆ เพราะมันเล็กเหมือนเตียงเด็ก (นี่ฉันเจาะจงไปรึเปล่า?) และเราไม่เห็นไวไฟเลย ในคู่มือก็ไม่เขียนว่ามี แล้วก็ไม่ได้พยายามจะถามเพราะมีเน็ตมือถืออยู่แล้ว ถ้าใครจำเป็นต้องใช้ ก็ให้เมลถามเค้าก่อนจองนะ
ที่ตอนแรกไม่จองห้องนี้เพราะ…รูปถ่ายดูไม่ค่อยดีอะ เพราะเค้าเปิดไฟนีออน ไม่ใช้แต่แสงธรรมชาติ แต่ห้องจริงดีมากๆ เลย เจ้าของห้องก็ช่วยเหลือดีมาก จองรถแท็กซี่วันกลับให้ด้วย พอจองเสร็จเค้าส่งข้อความมาบอกว่า “ให้ดูที่รถ จะมีป้ายรูปแพนด้า” ตอนแรกก็จิ้นกันไปว่าจะเป็นยังไง จริงๆ แล้วมันควรเป็นทะเบียนรถไม่ใช่เหรอ 555 … แล้วมันก็คือ…แพนด้าจริงๆ ด้วย!!
ที่เที่ยวในฟุกุโอกะ
ก็ไม่รู้สินะ 5555 กะว่าอยู่ฟุกุโอกะเพื่อช็อปปิ้งก่อนกลับอย่างเดียวเลย เลยตั้งเป้าหมายไว้ว่า ระหว่างเดินไปที่ช็อป เจออะไรก็ค่อยแวะ
Sumiyoshi shrine
เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ ที่ไม่ใช่แหล่งนักท่องเที่ยวฟู่ฟ่า ภายในจึงสงบเยือกเย็น ศาลไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการ แต่มีคนเอาเด็กมาทำพิธี เห็นต้นไม้ยืนต้นเก่าแก่แล้วรู้เลยว่าเก่าจริงแท้แน่นอน พนักงานทุกคนแต่งกายมาจากอีกยุคนึง ดูแล้วน่าทึ่งทีเดียว ในนั้นมีนาข้าวเล็กๆ ด้วย บูบอกว่าเป็นข้าวศักดิ์สิทธิ์ เอ…หรือเค้าปลูกไว้ทำพิธี?








ตลาดปลา Yanagibashi Market
เป็นตลาดปลาเล็กๆ ที่เน้นโลคัลจริงๆ ไม่เน้นการขายปลาดิบให้นทท. ต่างชาติ จึงไม่มีร้านซูชิใดๆ ปรากฏในสายตา นอกจากปลาสดแล้ว ยังมีปลาแห้ง ของแห้ง ของแปรรูป ผลไม้และลูกชิ้นปลาแปลกๆ ให้เลือกสั่งหลากหลาย (ไปเดินกิน) เราสั่งใส่ถั่ว (เออ ก็อร่อยดี แม้มันไม่น่าจะไปด้วยกันได้) ส่วนบูสั่งมั่วได้แบบยัดไส้มะเขือเทศ!!! อา…ช่างเป็นอะไรที่คิดได้ กัดไปคำแรกนี่แอบขนลุกนิดๆ นึกว่าอะไรหว่าเปรี้ยวๆ นุ่มๆ อยู่ด้านใน)
และที่ขาดไม่ได้คือ “ไข่ปลาเมนไทโกะ โกะ โกะ” ไข่ปลาในตลาดนี้ดูนุ่มนิ่ม อวบอึ๋ม น่ารับทานเป็นที่ยิ่ง แต่ยังซื้อไม่ได้เพราะมันต้องเก็บในที่เย็น และเรายังต้องไปอีกหลายที่ T^T เลยได้แค่เมนไทโกะเมโยมาขวดนึง มะนาวคาบอตสึมา 1 ลูก (60 เยน)






ภูมิภาคนี้เป็นแหล่งปลูกคาบอตสึ (Kabotsu) ลักษณะมันเหมือนมะนาวเขียวบ้านเรา แต่เปลือกสีเข้มกว่า กลิ่นหอมแปลกออกไป ส่วนใหญ่คนใช้ทำน้ำรสหวานเปรี้ยว ดื่มแล้วชื่นใจ เคยกินครั้งแรกบนเครื่อง ANA ทริปนี้อาศัยกดเอาตามตู้ (ไม่ค่อยอร่อยมาก เพราะไม่สด) กินตามเรียวกัง ร้านอาหาร บนรถไฟ Yufuin no mori ก็มีให้สั่งนะ คือกินมันทุกวาระโอกาสที่เอื้ออำนวย เพราะหากินที่อื่นไม่ได้ นอกจากนั้นคนยังบีบใส่ซุปกา หรือปรุงอาหารอื่นๆ เหมือนที่เราใช้งานมะนาวนั่นแล


หน้าตลาดมีร้านกาแฟอยู่เพียงร้านเดียว ชื่อ manau coffee ซึ่งเป็นกาแฟร้อนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยกินมาในภูมิภาคฟุกุโอกะ ปรากฎว่าเจ้าของเป็นลูกครึ่ง เขาเลยให้ความสนใจรสชาติกาแฟสากลบ้าง อุณหภูมิกาแฟมาแบบดื่มได้เลย ใส่ถ้วย bodum แบบ 2 ชั้น และมีกาแฟเบลนด์ของตัวเองขายด้วย เราซื้อมาฝากคนอื่นและตัวเอง (กระนั้นมันก็ยังเป็นแบบคั่วเข้มๆ เพราะถ้าคั่วอ่อนไปคนญป.คงไม่ค่อยกินกันอะเนาะ)
ช็อปปิ้งในฟุกุโอกะ
เราว่า…ห้างฯ ที่สถานีรถไฟ Hakata เนี่ยแทบักมากๆ! คือแทบไม่ต้องดิ้นรนไปไกลเลย ฉันได้ทุกสิ่ง นอกจากแบรนด์ต่างๆ ที่หมายมั่นแล้ว ร้านขายของดีเมืองฮากาตะที่ชั้น 1 ตรงทางเข้าก็เยี่ยมยอด มีเหล้าสาเกขวดเล็กๆ ขายราว 300 เยนให้เลือกเป็นสิบๆ แบบ ซื้อกลับไปเป็นของฝากได้ ใครอยากซื้อของที่ระลึกคุมะมง ของจากขบวนรถไฟ Aso Boy หรือ Yufuin no mori พวกเข็มกลัด ฯลฯ เพิ่มเติมก็มาซื้อตรงนี้ได้เช่นกัน moomin cafe ก็มี (แต่ไม่ได้แวะ)
เขามีร้านเครื่องเขียน Tokyo hands ใหญ่บึ้ม ไม่หนำใจยังมีร้าน Smith เล็กๆ ตรงชั้น 1 นั่นแหละที่ขายเครื่องเขียนแปลกๆ หลายอย่าง ตรงข้ามกับร้าน Smith เป็นร้านเก่าแก่ที่เริ่มทำของโมเดริ์นแบบรักษารูปแบบเดิมไว้ มีกาชาปองเฉพาะของตัวเองที่ราคา 400 เยนแต่มัน…เป็นของดี ทำสวย ญี่ปุ๊นญี่ปุ่น แถมมีใบกำกับอธิบายมาด้วย (ตอนนี้คืออยากกลับไปหมุนอีก) Afternoon Tea ก็มีที่นี่ ชั้นล่างคือซูเปอร์มาร์เก็ตดีๆ มีให้ช็อป ขนมของฝาก ร้านขนมปัง เบเกิล ไข่ปลาเมนไทโกะ คือแบบ..ขอให้มีเวลาเดินพอเถอะ เราใช้เวลาโค้งสุดท้ายในคืนสุดท้ายก่อนบินกลับ อยู่ที่ซูเปอร์ฯ ได้ซีอิ๊ว ไข่ปลา ผักหญ้า ผงปลาดาชิกลับบ้านจำนวนมาก (เกินไป)
Canal City
เห็นคนส่วนใหญ่ไปดูดีไซน์ห้างกัน แต่เป้าหมายของเราคือร้าน montbell ซึ่งเป็นร้านเสื้อผ้าและอุปกรณ์เดินเขายี่ห้อโปรด ไม่พอยังมีร้านขายอุปกรณ์ outdoor ที่เคยแวะในตึก Big Camera ที่ ชิบูย่า มีร้าน niko and… ที่มุมลดราคาของเยอะใช้ได้เลย
ที่นี่ดีอย่าง คือหลายร้านรวมใบเสร็จกันแล้วคืนภาษีรวดเดียวได้ (เช่น montbell ที่ไม่เคยมีภาษีคืนเลย ก็ใช้วิธีรวมใบเสร็จได้) แต่หลายร้านก็ต้องซื้อครบหมื่นเยนถึงจะทำให้ตรงนั้นเลย ลองถามเค้าดูถ้าซื้อครบ
Muji ใน Canal City ก็เป็นไรที่น่าเข้า มีทั้งส่วนของ Muji Books, Muji Cafe และเค้าทำดิสเพลย์ดี มุมนึงมีถุง lucky bag คือเอาของหลายๆ อย่างจับรวมถุงขายในราคาต่ำกว่ามูลค่า เพียงแค่ว่าเราเลือกเองไม่ได้ อาจจะมีของที่ชอบหรือไม่ชอบอยู่ในนั้น ดีอย่างคือถุงมันใสนะ พอเดาของข้างในได้ แต่บูไม่ให้ซื้อเพราะมันใหญ่ (เป็นเสื้อผ้ารวมๆ กะอย่างอื่น) ชิชะ (ได้กะทะมาแทน หนักกว่าอีก)



มุมนึงของ Canal City อยู่ๆ กลายเป็นร้านของเล่น ของเลหลัง ที่พนักงานพูดจีนปร๋อ (ท่าทางจะเป็นจุดปล่อยตัวของทัวร์) อีกด้านคือกองทัพตู้กาชาปองไปที่หมุนหนุกมาก! เพลินสุดๆ อะ เพราะหลายตู้ที่อื่นไม่มี (การหมุนกาชาปอง คือการเสี่ยงโชคอย่างหนึ่ง เพราะแต่ละที่มีตู้ไม่เหมือนกัน)
พวกเรากินกลางวันที่ ramen stadium ชั้นบนของห้างฯ เนื่องจาก Hakata ramen ก็เป็นของขึ้นชื่อ เป็นยานแม่ของร้านราเม็ง Ippudo มาแล้วไม่กินก็ดูจะขาด ใน Ramen Stadium มีร้านอยู่ราว 8 ร้านซึ่งลักษณะแตกต่างกัน พวกเราเลือกจากหน้าตาแล้วก็ไปกดตู้ซื้อคูปอง มายืนต่อคิว ถึงคิวเราแล้วก็ยื่นคูปองให้พนักงานแค่นั้นจบ และพบว่าร้านที่เราเลือก… น้ำซุปมัน…เข้มข้นไป๊!! แทบซดไม่ได้ แต่ก็กินเข้าไปเยอะอยู่ เพิ่งรู้ตัวว่าหิวโซทั้งคู่ (ใช้พลังสุดท้ายในการหมุนกาชาปองไปแล้ว)



แทนจิน
ช็อปปิ้งสตรีทของฟุกุโอกะ แหล่งรวมห้างไดมารู mitsukoshi ฯลฯ เดินบนถนนอาจแปลกใจว่าทำไมเงียบจัง เราต้องมุดค่ะ…มุดเข้าไปใต้ดิน เพราะร้านรวงเขาเปิดขายกันในนั้น เรียงรายกันไกลสุดลูกหูลูกตาเลยก็ว่าได้
พวกเราไปร้าน Loft ข้างๆ กันก่อน (เสียทรัพย์จำนวนมาก) แล้วก็กระดืบๆ ไปห้าง มิตซูฯ ชั้นใต้ดิน ซื้อไข่ปลา ผักหญ้า ฯลฯ ถ้าใครยังมีเรี่ยวแรงเหลือ จะต่อด้วยห้างฯ ไดมารู ฯลฯ ก็ตามอัธยาศัย


ของกินในฟุกุโฮกะ
สิ่งนึงที่ควรกินก็คือ Hakata Ramen ซึ่งกินไปแล้วที่ Ramen Stadium ถัดมาก็คือร้านไข่ปลาสารพัดรูปแบบ เพราะเมนไทโกะเป็นของขึ้นชื่อที่นี่ หรือไม่ก็พวกนาเบะสไตล์ที่เอาผักมาตั้งเป็นภูเขาสูงๆ แล้วต้มให้มันยุบยวบลงมา แต่เรามีเวลากินแค่ไม่กี่มื้อ และยึดเอาความอยากเป็นหลัก โผเลยพลิกออกมาเป็น…
อาหารโอกินาว่า ชื่อ Okinawa Republic danshiro kitchen
กินที่ศูนย์อาหารชั้น 10 ของห้างฯ ในสถานี Hakata นั่นแล เหตุเพราะอยากกินสาหร่ายคาเวียร์กรุบกรอบ ซึ่งหากินที่อื่นยากเหลือเกิน และเป็นร้านที่มีคิวพอสมควร การันตีความอร่อยได้ (แต่ข้อเสียคือยังให้คนสูบบุหรี่ในร้าน…นี่มันห้างฯ นะ!) รอราว 5 นาทีได้นั่ง เป็นอาหารมื้อที่จัดอยู่ในระดับความฟินขั้นสูง กินเสร็จแฮปปี้
อันว่าอาหารโอกินาว่า มีลักษณะพิลึกผิดแปลกจากพี่น้องอาหารชาวญป. ภูมิภาคอื่นโดยสิ้นเชิง ถ้าดูในแผนที่จะพบว่า โอกินาว่าคือเกาะทางตอนใต้ที่ตั้งโด่เด่ห่างไกลจากเมืองใต้สุดของญป.ค่อนข้างมาก ปัจจุบันมันคือบีชฮอลิเดย์ของชาวญป.เขา แต่ก่อนนานมา เกาะนี้ปกครองโดยประเทศจีน! ในตอนนั้นท่านเจ้าเมืองออกนโยบายให้คนไปศึกษาอาหารจากประเทศต่างๆ ในเอเชีย แล้วนำมาทำกันกิน เมนูหลายอย่างจึงคล้ายของไทยมาก เช่นมะระผัดไข่ ที่เด็ดดวงพวงมาลัย หอมกะทะกรุ่นจริงๆ รวมถึงมีน้ำส้มสายชูหมักกับพริก (มาได้ไง!!?) และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราได้เปิบพิสดารเมนูคากิชุบแป้งทอด!!! คือแบบ..สั่งเพราะนึกว่าเป็นเมนูไก่คาราอาเกะ (เสียงมันคล้ายกัน) กัดเข้าไปคำแรกนี่ถึงกับงงเลยว่าทำไมไก่มันรสแปลกๆ คอลลาเจนเพียบแบบนี้




ลิ้นวัวย่างร้าน Rikyu
อยู่ห้างฯ เดียวกับร้านโอกินาว่า แต่อยู่ชั้น 9 ตอนไปโตเกียวก็กินลิ้นวัวรอบนึง มาที่นี่ก็ยังไม่เลิก คิดว่ามันเป็นของมาแรงของคนญี่ปุ่นยุคนี้ พอๆกะส้มยูซุ (เพราะใส่ส้มยูซุมันเกือบทุกอย่าง) เพราะไปที่ไหนคนก็รอกินกันเพียบตลอด ร้านนี้รอคิวราว 30 นาที คนต่อคิวกันอย่างตั้งอกตั้งใจ อาหารเซ็ตราว 2500 เยน ได้สลัด ข้าว(ชามโตมากกก) ลิ้นวัว 2 แบบ
นอกจากเซ็ตลิ้นวัวแล้ว บูสั่งไข่ม้วนราดซุปต้มลิ้นวัวมากินด้วย ซึ่งแปลกจริงและหอมอร่อย (โต๊ะข้างๆ เห็นก็ถึงกับสั่งตาม) ที่นี่เนื้อชิ้นใหญ่กว่าโตเกียว บางคัตเหนียวหน่อยแต่มีรสมีชาติกว่า แยมหนืดๆ ที่เขาเอามาให้ราดข้าวก็ห๊อมหอม ส่วนซุปก็ใส่หอมเยอะเป็นพิเศษ อร่อยตัดเลี่ยนดี ที่สำคัญให้ข้าวชามโตมากกกก อิฉันกินไม่หมดอะ แม้จะพยายามสุดชีวิต ผลลัพธ์: เดินออกจากร้านในสภาพตัวตรงแหนว (ห้ามก้ม ไม่งั้นกระฉอก)


6 thoughts