บันทึกพิชิตยอดเขาฟูจิ : เตรียมตัวก่อนไป

DSCF9567

หลังจากปีนป่าย ตะกายขุนเขาในฮ่องกงมาเกือบ 1 ปี ก็ถึงเวลากันละ ที่จะเปลี่ยนบรรยากาศไปตะกายเขาอื่นบ้าง เพราะฮ่องกงไม่มีเขาจะให้ปีนแล้ว (เฮ้ย! พูดเล่น ยังเหลืออีกเยอะ!!)

จริงๆ แล้วก็คงเหมือนคนวิ่ง/ปั่นจักรยานนั่นแล เมื่ออยู่ที่เดิมนานๆ ก็อยากเปลี่ยนไปวิ่ง/ปั่น ในบรรยาศอื่นบ้าง แถมหาโอกาสไปเที่ยวด้วยในตัว

สารภาพว่าตอนแรกที่เราเริ่มเดินเขาเนี่ย ไม่ชอบ…ถึงขั้นเกลียดเลยนะ เพราะดันไปเริ่มหัดเดือนสิงหา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฮ่องกง โคตะระจะร้อนผะผ่าวด่าวดิ้น เดินไปซับเหงื่อไป ขนลุกขนพองจะเป็นลมเป็นแล้งกลางดอยก็หลายหน

แต่พอเริ่มเข้าหน้าหนาวเดือนพย….เฮ้ย! ถึงเข้าใจว่าการเดินเขาเป็นอะไรที่สนุก ได้ใกล้ชิดขุนเขาธรรมชาติ ได้ปลีกตัวออกจากเมืองที่แน่นจนคนแทบต้องซ้อนกันยืน มาสูดอากาศบริสุทธิ์ เห็นน้ำตก เห็นทะเล เห็นหมู่บ้านที่ยังปลูกผักกินกันเอง (ในฮ่องกงยังมี๊!!) เห็นขอบฟ้ากว้างไกลสุดสายตา โดยใช้เวลาเดินทางแค่ไม่ถึงชม….ฟินสุดอะบอกเลย โดยเฉพาะการ   Trail running หรือการวิ่งเขาเนี่ยเด็ดสุด เพราะดินมันนุ่มวิ่งไม่เจ็บเท้า ไม่ปวดเข่า แถมมีทางขึ้น-ลง ให้เรากระโดดหย็องแหยงสนุกไป เหมือนอยู่ในเกมมาริโอไม่มีผิด

อ่ะ…กลับมาที่การปีนฟูจิกันต่อ เดี๋ยวจะยาวไป

ฟิตแค่ไหนถึงจะโอเค?
คนที่ออกกำลังกายเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งเป็นอย่างน้อยถือว่าโอเคมาก ไม่ว่าจะวิ่ง เข้ายิม ปั่นจักรยาน หรืออะไรก็ตามที่ให้ร่างกายได้ออกแรงเนี่ย เราว่าโอเคละ

ถ้าจะให้ตรงจุดหน่อยก็ลองเดินขึ้นลงบันไดออฟฟิศหลังเลิกงานดู เป็นการซ้อมเดินขึ้นที่สูงไง เดินสัก 20-30 ชั้นนะ เอาให้ต้นขามันชิน หรือจะฝึกท่า Squat ที่บ้านก็ได้ ทรมานร่างกายดี เราก็ได้ squat นี่แหละช่วยเยอะ ทำให้เดินเสร็จแล้วไม่ปวดต้นขา (แต่น่องนี่…ร้าวรานเลยนะ)

ตัวเราออกกำลังกายแบบแอโรบิก/โยคะ สัปดาห์ละ 2 หน (30 – 45 นาที/หน) และเดินป่า/วิ่ง สัปดาห์ละหน ไม่มากกว่านั้น เดินป่าใช้เวลาราว 3 ชม.(หน้าร้อน) และ 6 ชม.(หน้าหนาว) ขณะที่สามีออกกำลังสัปดาห์ละ 3-4 หน เดินป่า 1 หน

IMG_8230

อุปกรณ์

เดชะบุญที่อุปกรณ์พอมีบ้าง ตอนแรกเห็นลิสต์ที่คุณบูเธอบอกให้เอาไปด้วยนี่อิฉันเกือบหน้ามืด คิดว่าเธอเผื่อเยอะไปหรือเปล่า แต่ปรากฎได้ใช้ทุกอย่าง! (ตอนหลังนางมาเอาหน้า ชิชะ) ยกเว้น First Aid Kit (ซึ่งไม่ได้ใช้ก็ดีแล้วมะ??!) ในรูปนี่ของไม่ครบนะคะ

1.เป้ และถุงกันฝนให้เป้ (ถุงกันฝนคือห่อสีเหลืองนีออน)
ให้ดีควรใช้เป้ขนาด 20-30 ปอนด์ คือใส่ของได้เยอะหน่อย ความจุที่ว่าดูได้จากตัวเลขบนตัวเป้เวลาซื้อเลยนะคะ ยิ่งเป้จุได้เยอะ เค้าจะมีสายรัดเอวที่หนาขึ้นเพื่อแบ่งน้ำหนักลงไปที่เอว ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าไหล่จะพัง (แต่ก็เกือบ) เป้เราเป็นแบบ one day trip มันเลยเล็ก ขนาดแค่ 16 ปอนด์ แต่ฉันไม่ซื้อใหม่ละเปลือง ยัดได้แค่ไหนเอาแค่นั้น (ที่เหลือยัดเป้บู โฮ่ๆ)

ที่ต้องมีถุงกันฝน ก็เพราะบางทีฝนจะตกบนฟูจิ เราคงไม่อยากให้ข้าวของในเป้ชุ่มโชก ดังนั้นมีกันไว้ก่อนเป็นการดีที่สุด จะใช้ถุงพลาสติกใบใหญ่ๆ คลุมเอาก็ได้ ลองซ้อมคลุมที่บ้านดูก่อนว่าพอดีเป้ไหม

DSCF9463
2.รองเท้า

ถ้าจะให้ดีที่สุด ควรเป็น “รองเท้าเดินป่าแบบหุ้มข้อ” เพราะเทอร์เรนของฟูจิ โดยเฉพาะขาลงเนี่ย ชวนให้ข้อเท้าพลิกกันทุก 3 วินาทีเลย มันเป็นหินภูเขาไฟที่เหยียบแล้วเท้าจมลงไปอ่ะค่ะ เหยียบพลาดก็ลื่นไถลเข้าไปอีก ยิ่งจังหวะที่เราเดินจนล้า เข่าขาเริ่มอ่อนเนี่ย…อิฉันลื่นปื้ดๆ ป้าดๆ ติดกันหลายหน (เสียงลื่นนะ ไม่ใช่เสียงตด!)

แต่อนิจจา…เราไม่มีหรอกนะรองเท้าเดินป่าหุ้มข้อ ก็มันไม่ค่อยได้ใช้จะซื้อทำไมอะเนาะ แถม…อิฉันไม่มีรองเท้าเดินป่าจริงจังด้วย มีแต่ Trail Running คือเป็นรองเท้าน้ำหนักเบาแต่พื้นรองเท้าบ๊างบาง เหมาะสำหรับใส่วิ่งพื้นดินนุ่มๆ มากกว่า ถ้าใส่เดินบนหินภูเขาไฟที่ฟูจิ ฝ่าเท้าต้องพังแน่ๆ เลยตัดสินใจเอารองเท้าวิ่งธรรมดาไปเพราะพื้นหนากว่า….

เดชะบุญเหมือนฟ้าฝนเป็นใจ ก่อนเดิน 1 วัน เราแวะไปร้านขายของ outdoor กันในโตเกียว และเจอรองเท้าเดินป่าที่ใส่แล้วโอเคเข้าให้ เลยตัดสินใจซื้อตรงนั้น และใส่จากร้านเลยเพื่อเบรกมันให้นุ่ม ถ้ากัดจะได้ไม่ต้องใส่ต่อ อันเนื่องว่ารองเท้าเดินป่ามันแข็งกว่ารองเท้ากีฬาปกติ เพื่อปกป้องเท้าเราเวลาปะทะหิน ไม่ให้หัวแม่โป้งบวมอะไรแบบนี้

แต่โชคดีๆๆๆ มากที่ไม่กัด! (หายากมากบอกเลย) เราจึงรอดชีวิตจากการเท้าแหกเท้าพัง มาเพราะรองเท้าคู่นี้นั่นเอง แต่เท่าที่สังเกต 95% ของคนไปใส่รองเท้าเดินป่า ครึ่งนึงในนั้นใส่แบบหุ้มข้อ ส่วนอีก 5% เป็นเด็กวัยละอ่อน ที่เอารองเท้ากีฬามาใส่ คนโตๆ แก่ๆ อย่างเราไม่มีใครคิดจะปลิดชีพตัวเองด้วยการทำแบบนั้นเลยสักคน

สำหรับคนที่คิดจะไปหาซื้ออุปกรณ์เดินป่าที่โตเกียวเลยก็ได้ ดีไม่ดีเราว่าราคาถูกกว่าด้วย ความหลากหลายไม่ต้องพูดถึง เราไปย่านชินจุกุ ตึกห้าง Big Camera สาขาชินจุกุ ที่ด้านล่างมี Uniqlo ชั้นบนๆ มีร้านอุปกรณ์เดินป่าที่ใหญ่มาก ของยิ่งกว่าครบ ขณะที่ใกล้ๆ กับ Takashimaya Times Square ก็มีอีกร้านนึง แถมมีเชลฟ์ขายอุปกรณ์เดินป่าฟูจิโดยเฉพาะด้วย ประทับใจจอร์จมากจุดนี้ (บอกให้รู้ว่าคนญี่ปุ่นชอบปีนเขาขนาดไหน)

IMG_8270
เชลฟ์ขายของปีนเขาฟูจิโดยเฉพาะ ในร้านอุปกรณ์เอาท์ดอร์

 

DSCF9334

3.ไม้ค้ำถ่อ

บ้านนี้มีคู่เดียว เราเลยแบ่งกันใช้คนละอันเพราะไม่อยากซื้อใหม่ แต่คนไม่มีก็ไปหาซื้อได้ที่สเตชั่น 5 ได้ ราคาราว 700-1000 เยนขึ้นอยู่กับขนาด มันเป็นไม้สนไม่มีเสี้ยนตำมือ ที่สำคัญทุกๆ สเตชั่นบนฟูจิ จะมีตราประทับแบบร้อน ทาบลงบนไม้ (ค่าบริการครั้งละ 200-300 เยน) เป็นเหมือนสัญลักษณ์ว่าฉันเดินขึ้นไปบนฟูจิแล้วนะ…แต่เราไม่ได้ทำเพราะมีไม้แล้วดั่งที่ว่า

ไม้ค้ำถ่อนี้ ไม่ใช่แฟชั่นนะคะ มันช่วยเรื่องทรงตัวได้มากในเส้นทางลาดชัน ดัน ยื้อ ฉุดเราให้เดินขึ้น และช่วยผ่อนแรงลงไปได้บ้าง โดยเฉพาะขาลงนี่แบบช่วยได้มากกกก ไม่งั้นคงไถลไปหลายหลาแล้ว

4.ถุงขยะ

ที่สเตชั่น 5 จะมีป้ายบอกเกือบทุกหนแห่ง ว่าบนฟูจิไม่มีที่ทิ้งขยะ ให้เอาขยะท่านกลับบ้านด้วย (เอามาทิ้งสเตชั่น 5 ก็ไม่ได้ด้วยนะ! สุดท้ายอิฉันห่อพกไปทิ้งที่เรียวกัง) ดังนั้นจึงเป็นที่สังเกตได้ว่า บนฟูจินั้นสะอาดสะอ้านงามตา มันคือกฎที่ไม่มีการเขียนไว้อย่างชัดเจน แต่เป็นอันรู้กันว่าถ้าคิดจะมาปีนเขาฟูจิก็อย่าได้ทิ้งขยะไว้ให้ประเทศชาติต้องเสียชื่อเสียง และอย่าไปโกรธใคร เวลาเขาบอกว่าให้เธอพกขยะกลับบ้านด้วย

5.ทิชชู่แห้ง / เปียก / เหรียญ 100 เยน

ทั้งหมดนั่นเพื่อเข้าห้องน้ำค่ะ ค่าบริการห้องน้ำบนฟูจิครั้งละ 200 เยน (แต่ถ้าใครแอบเข้าไปหลับในห้องน้ำล่ะก็ จะโดนปรับ 5 หมื่นเยนนะ!) กระดาษบางที่ก็มีให้ ความสะอาดยอดเยี่ยมสมเป็นญี่ปุ่น ลักษณะส้วมก็มาตรฐานสากลมากคือเป็นโถปกติ มีปืนฉีดน้ำสำหรับทำความสะอาดโถหลังใช้ พื้นห้องน้ำแห้ง แต่กลิ่นนี่ดิ…ตลบไป 2 บ้าน 10 บ้าน มันสุโค่ยมาก! เนื่องจากเค้าใช้แบคทีเรียกำจัดของเสียทั้งหลาย จะได้ไม่ต้องให้รถดูดส้วมตะกายขึ้นไปบนเขา ดังนั้นกลิ่นจะแรงเป็นพิเศษ แต่ศรีทนด๊าย อย่างน้อยก็ไม่ใช่ส้วมหลุมนั่งยอง ฉันพอใจแล้ว

DSCF94726. หมวก / แว่นตา / ครีมกันแดด / Headlamp

หมวกกันแดดนี่ต้องมีแน่ๆ แต่เราไม่ได้ใส่แว่นเลย รู้สึกภาพที่เห็นมันสวยจนไม่อยากใส่แว่นบดบังสายตา ส่วนครีมกันแดดนี่ A must มาก เพราะบนนั้นยูวีแรงสุดๆ มันสูงไง

เราเตรียมหมวกไปแค่ใบเดียว คิดว่าถ้าหนาวจะเอาฮู้ดของเสื้อมาคลุมเอา แต่เท่าที่สังเกต เห็นคนเตรียมหมวกไป 2 ใบคือกันแดด กับหมวกไหมพรมกันหนาว เพราะอากาศตอนเช้าบนยอดเขาระหว่างรอดูพระอาทิตย์ขึ้นเนี่ย…มันหนาวเหน็บได้ใจ เข้าใกล้ 0 องศามาก (หรืออาจจะ 0 องศา) ทั้งความเย็น + ลมกรรโชก พยายามทำตัวให้อุ่นไว้ก่อนเป็นดี

ส่วน Headlamp นี่มาหาซื้อที่ญี่ปุ่นได้ ราคา 5-600 บาท มีประโยชน์อย่างยิ่งยามค่ำคืน ที่คุณต้องใช้ 2 มือถือไม้พร้อมกับตะกายหินจากสเตชั่น 8 ไป 9  ใครจะเอาไฟฉายปกติมาก็ได้เช่นกัน แต่มันจะไม่ค่อยคล่องตัวอิตรงเราต้องถือตลอด

7. First Aid Kit

ถึงไม่ได้ใช้ ก็จำเป็นต้องมีไว้ เป็นพวกพลาสเตอร์ แอลกอฮอล์แห้ง เบตาดีน อะไรพวกนี้ คือตอนแรกเล็งๆ ว่าจะซื้ออ็อกซิเจนกระป๋องไปด้วย กลัวเป็นลมหน้ามืดเพราะบนนั้นอ็อกซิเจนน้อย แต่ก็ไม่ได้ซื้อ ถ้าใครเปลี่ยนใจบนฟูจิล่ะก็ ราคาอ็อกซิเจนจะขึ้นจาก 600 เยนเป็น 1500 เยนเลยอ่า

DSCF9204

8. น้ำดื่มและอาหาร

เรามี Camel bag ขนาด 1.5 ลิตร ก็ใส่น้ำไปแค่นั้น คนไม่มีให้ซื้อน้ำขวดขึ้นไปก็ได้เช่นกัน ไม่ต้องขนไปคราวละเยอะจนหนักบ่า เพราะบนนั้นก็มีขาย (แต่แพงกว่าหลายเท่า) อีกอย่างเราต้องพกขวดเปล่าพวกนั้นลงมาด้วย (กินหมดก็พับๆ บีบๆ ให้มันไม่กินที่ถุงขยะ) สรุปคือวันนั้นเรากินน้ำจนเกือบหมด รุ่งขึ้นต้องซื้อน้ำเพิ่มอีก 0.5 ลิตร

ไม่ต้องห่วงว่ากินน้ำเยอะแล้วจะไม่มีห้องน้ำ โดยเฉพาะทางขึ้นเขาจะมีฮัทให้เราแวะนั่งพักขา และปรับตัวเข้ากับระดับความสูงเป็นระยะๆ เกือบจะทุก 2-300 เมตร ระหว่างปีนเขาเราควรจิบน้ำสม่ำเสมอ อย่ารอให้ร่างกายขาดน้ำแล้วถึงจิบ ไม่งั้นมันอาจจะโปเก และโยเยได้

เราค้างคืนที่ฮัทบนฟูจิ ซึ่งเตรียมอาหารเย็นและเช้าไว้ให้ ดังนั้นที่ติดตัวไปก็คือเจลเพิ่มพลังงาน (แต่กินแล้วท้องยังแสบ) แล้วก็ Energy Bar อีก 2 แท่ง (กินจนหมด) แต่ข้อเท็จจริงนึงที่ประสบก็คือ อยู่บนฟูจิไม่เจริญอาหารเลยอะ กินข้าวจริงจังไม่ค่อยลง มันคงเพราะทั้งเพลียทั้งอากาศน้อย อาศัยแทะๆ energy bar ไปทีละคำสองคำ ก็ช่วยให้อยู่รอดได้ ดังนั้นถ้าใครจะซื้อขนมอร่อยๆ ติดตัวไปกินเป็นอาหารเย็นและเช้าแทนก็ไม่ผิดกติกา (แต่คุณบูตรงข้าม คือนางโฮกทุกอย่างลงพุงกะทิได้อย่างสบายอุรา)

9. แปรงสีฟัน ครีม

พวกนี้ให้พกแบบทดลองที่ได้รับแจกใช้ไป จะได้ไม่ต้องขนหนักมาก
เน้นหนักครีมกันแดด ไม่แนะนำให้เอาโฟมล้างหน้า ฯลฯ ไป เพราะ…ไม่ค่อยได้ล้างหรอกหน้าอะ น้ำไม่มีให้ล้าง จะเอาน้ำกินมาล้างก็ดูจะเปลืองเกินไป

DSCF9198

10. เครื่องแต่งกาย

เป็นอะไรที่คิดเยอะที่สุดแล้ว เพราะอยู่โตเกียวอากาศร้อน พอขึ้นฟูจิอากาศจะเย็นลงเรื่อยๆ กะเกณฑ์ไม่ถูกเลยว่าจะเอาอะไรไปใส่ก่อน-หลังดี เพราะเรามันก็โคตะระจะขี้หนาว สุดท้ายเราก็ใส่ของเราแบบนี้..

ขาแรกเดินขึ้นเขา จากสเตชั่น 5 ไปจนถึงฮัทที่จองไว้ค้างคืน (สเตชั่น 5 อุณหภูมิราว 20 องศาต้น)

ชั้นในสปอร์ตบรา (เฮ้ย บอกทำไม?!)
ทับด้วยเสื้อกล้าม เพื่อเวลาเราถอดๆ ใส่ๆ เสื้อตอนอากาศเปลี่ยน จะได้ไม่น่าเกลียด
ทับด้วยเสื้อ Heath tech แขนยาว
ทับด้วยเสื้อเชิ้ตหน้าหนาว ผ้าสักหลาด มันจะได้อุ่นหน่อย …

ขาที่ 2 คือจากฮัทไปจนถึงยอดเขา และลงมาที่สเตชั่น 5
ทับเสื้อเชิ้ต ด้วยเสื้อฟลีซ 1 ตัว
ทับด้วยเสื้อขนห่านบางๆ 1 ตัว
ทับด้วยเสื้อกันลม 1 ตัว แบบมีฮู้ด
กางเกงใส่เลกกิ้งฟลีซอุ่นๆ 1 ตัว ไว้ใต้กางเกงเดินป่า
…ถึงตอนนี้กระเป๋าเป้ฉันเบาหวิวเลย เพราะควักเสื้อผ้ามาใส่ครบทุกชิ้นแล้ว
2 วันนี้ เราไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าอะ ใส่มันชุดเดียวนี่แหละ โนแคร์เชิ้บๆ

ถุงมือและถุงเท้า…ต้องมานะคะ หนาได้ยิ่งดี ไม่งั้นมือแข็งแน่นอน เราเตือนท่านแล้ว!!!
(บนนั้นมีถุงมือผ้าฝ้ายขาย แต่ดูบ๊างบางไม่น่าเอาอยู่ แต่ก็ดีกว่าไม่มีไรเลย)

ส่วนคนที่ไม่ขี้หนาว จะเอาอย่างคุณบูก็ได้ คือ
เสื้อยืด ทับด้วยเสื้อเชิ้ต ทับด้วยฟลีซ ทับด้วยเสื้อกันลมแบบหนา…จบ!  (แต่นางก็บอกว่าหนาวมากตอนอยู่บนยอดเขา)

DSCF9631อันนี้ถ่ายมาจากข้างตู้กดน้ำ ของเรียวกัง แต่ละเส้นทางจะมีระยะเวลาของมันเองด้วย

เส้นทางเดินเขาฟูจิ

เทศกาลปีนเขาฟูจิ มีในช่วงฤดูร้อนระหว่างเดือนกค.-ตค. ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศแต่ละปี ทั้งหมดมี 5 เส้นทาง แต่ที่ฮิตฮอตและเปิดเป็นทางแรกก็คือ Yoshida Trail ที่เราเลือกไปกัน แต่ละเส้นทางจะมีเวลาที่สามารถเดินได้ ใช่จะดุ่มๆได้ตลอด เพราะเขาต้องเคลียร์เส้นทางให้เราก่อนทุกครั้ง (เช่นซ่อมบันได เกลี่ยดินมาให้เดินง่ายขึ้นหน่อย ดูโซ่ที่กันขอบทางว่าอยู่ในสภาพดีไหม ฯลฯ)

ขณะที่เจ้าของฮัท ก็จะต้องไต่เขามาปัดกวาดฮัท และกักตุนเสบียงให้นักท่องเที่ยวผู้หิวโหยได้มีของยาไส้กันในยามคับขัน อ่านที่น้องคนนึงเคยไป บอกว่ายิ่งสูงพนักงานหนุ่มๆ ประจำฮัทยิ่งแซบ…เออเราว่าแอบจริงนะ เพราะฮัทเราที่สเตชั่น 8 เนี่ย…น้องๆ หนูเค้าแบบว่าน่ารักกิ๊วก๊าวมาก บริการสุดตัวเลยอะ คืออิป้านี่กระชุ่มกระชวยขึ้นมาได้นิดนึง

DSCF9473

การเดินขึ้นยอดเขาฟูจิ

ทำได้ 2 แบบคือ
1. เดินรวดเดียวจบ (Bullet Climbing) และ
2. พักค้างคืนเอาแรงบนฮัทที่สเตชั่น 8 ก่อน

สำหรับคนอายุ 35 อัพ แนะนำว่า…พักค้างคืนที่ฮัทเหอะ มันจะทำให้เราไม่กลายร่างเป็นซอมบี้ และจิตวิญญาณสูญสลาย เดินลอยตาแก้วในอีกหลายๆ วันถัดมา ร่างไม่แหลกไม่พัง สติสตางค์ยังอยู่ครบ และยังเอ็นจอยชีวิตได้เกือบจะเหมือนปกติ เมื่อกลับมายังภาคพื้นดิน (aka ยังเที่ยวต่อได้) อันนี้พิสูจน์มาแล้วด้วยตัวตรูเอง

แต่เด็กหนุ่มสาววัยละอ่อน สูเจ้าจะเดินรวดเดียวเลยก็ได้ เพราะกายาและข้อเข่าเจ้ายังดึ๋งดั๋ง ไม่มีอะไรจะพังได้ง่ายๆ แต่ก็เป็นวิธีที่ทางโน้นเขาไม่แนะนำ เพราะมีโอกาสเกิดอันตรายกับตัวคนปีนเขาได้มากกว่าหลายเท่า อันเนื่องจากสภาพร่างกายที่อาจปรับตัวกับความสูงไม่ทัน เมื่อบวกกับร่างกายที่อ่อนเพลียจากการเดินหลักสิบชั่วโมง อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่า

DSCF9360อัตราค่าบริการ พักผ่อน + อาหารต่างๆ ของฮัทบนสเตชั่น 8
สังเกตว่า คืนวันเสาร์ค่าบริการจะแพงที่สุด

การเดินขึ้นแล้วค้างคืนที่ฮัท บนสเตชั่น 8
โดยเราต้องจองฮัทก่อนที่ http://www.fujimountainguides.com เสียค่าจองคนละ 10 เหรียญ ส่วนค่าเช่าและค่าอาหารขึ้นไปจ่ายบนนั้นได้ เค้ารับบัตรเครดิตด้วย!! (สิ่งใหม่ที่ได้เรียนรู้วันนี้ = ฮัทสเตชั่น 8 บนฟูจิรับบัตรเครดิตด้วย!) และนี่เป็นอีกหนึ่งอย่างที่คนญี่ปุ่นไว้ใจให้เกียรติกันมาก คือถ้าเราไม่ไปเค้าก็ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะไม่ได้เอารายละเอียดบัตรเครดิตไปก่อนด้วย (กราบงามๆ ถึงความมีศักดิ์ศรีและซื่อสัตย์)
สำหรับเวลาการปีน คนอื่นเป็นไงไม่รู้ ของพวกเราเป็นแบบนี้
11.20 เริ่มเดิน
15.40 ถึงสเตชั่น 8 ใช้เวลาเดินราว 4.40 ชม.  (ปกติจะอยู่ที่ราว 6 ชม.)
16.00 กินอาหารเย็นที่ทางฮัทเตรียมให้ (เสิร์ฟโดยหนุ่มน้อยน่าขบเคี้ยว) แปรงฟันเตรียมตัวนอน
17.00 (ใช่!   นอนได้! หลับด้วย!) ตื่นอีกทีตอนเกือบทุ่ม แล้วหลับๆ ตื่นๆ ต่อไปจนถึง 4 ทุ่มถึงค่อยปิดตาสนิท
ตี 1.45 ตื่น มึนขี้ตาเดินจากสเตชั่น 8 ได้นอนไปราว 4-5 ชม. แบบไม่ติดต่อกัน
ตี 2.15 เดินออกจากฮัท
ตี 4 ถึงยอดเขา ใช้เวลา 2 ชม. (คนเยอะมาก เลยต้องรอคิวขึ้นยอดเขา จริงๆ แล้วอาจจะเร็วกว่านี้ได้)
ตี 5 เดินลงจากยอดเขา
9 โมง เดินถึงสเตชั่น 5 ใช้เวลา 4 ชม. มีแวะพักกินข้าวเช้า ราว 20 นาที

สิริรวมเวลาเดินขึ้นลงเขาตลอดเส้นทาง 4.40 + 2 + 4 ชม. = 10.40 ชม.

การเดินแบบ bullet climbing

เท่าที่ฟังมาจากน้องที่เคยปีนแบบนี้ เขามักเริ่มกันตอนเย็นย่ำ เพื่อให้ไปถึงยอดเขาตอนอาทิตย์ขึ้นพอดี (การไปรอบนยอดเขาก่อนเวลานานเกินไป คือการทำร้ายตัวเองในรูปแบบหนึ่ง) ส่วนใหญ่ใช้เวลานานกว่าเพราะเวลาเดินเป็นช่วงกลางคืน ทัศนวิสัยต่ำกว่ากลางวัน อยู่ที่ราวๆ 8-10 ชม. ก็จะถึงยอดเขา เดินลงอีก 4 -5 ชม. รวมๆ แล้วก็ราว 15 ชม.มากสุด

แต่บางคน (เช่นตะหานที่เดินขึ้นเขาพร้อมเรา) ก็เริ่มตอนเช้าตรู่ แล้วรอดูพระอาทิตย์ตก (หรืออาจจะไม่รอ) จากนั้นค่อยไต่ลงเขาเพื่อกลับรถบัสเที่ยวดึกสุด ก็จะถึงเมืองราวๆ 5 ทุ่ม แบบนี้เขาก็ทำกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากเดินแบบไหน อยากเห็นอะไรมากกว่า หรือมีเวลาในลักษณะใด

ด้วยความที่เราก็สว.พอสมควร คิดว่าเดินรวดเดียวแล้วเหนื่อยจนร่างพังไปอีก 2 วัน ก็ขอยอมจ่ายสตางค์ค่าฮัทละกัน คนเริ่มเดินกลางคืนส่วนใหญ่ มักไปนั่งหลับเคารพยอดเขากันบนนั้น เพราะร่างกายมันทั้งเหนื่อยทั้งเพลียทนไม่ค่อยไหว บางคนก็ยอมจ่ายสตางค์เข้าไปนั่งหลับในฮัทอุ่นๆ หรือนอนในฮัทที่ยังว่างแถวๆ สเตชั่น 8 ในนาทีสุดท้าย แต่บางคนก็ประหยัดด้วยการนั่งตากลมหนาวอยู่ด้านนอก เห็นแล้วเสียวแทนกลัวจะกลายเป็นไอติมแท่ง

หมดสิ้นเรื่องการเตรียมตัวแล้ว (ยาวเชอ)
แต่กลัวจะยาวเกินไป เลยขอเขียนการปีนขึ้นฟูจิในอีกบล็อกนึงแทนนะคะ “คลิกอ่านตอน 2: พิชิตเป้าหมาย ตะกายฟูจิ ที่นี่”

More about me:
http://www.facebook.com/adaytripdiary
IG: aenoi_adaytrip

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s