
Noboribetsu คือเมืองออนเซ็นขนาดเล็ก อยู่ไม่ไกลจากซัปโปโร เราสอดไส้เมืองนี้ เข้าไปในทริปเที่ยวฮอกไกโด – ซัปโปโร อย่างลงตัว และรู้สึกว่าถ้าขาดไป จะทำให้ความสนุกหายไปอีกแยะเลย
นั่งรถบัสจากซัปโปโร ไป Noboribetsu
บริษัทเดียวที่มีรถไปคือ Donan Bus มีวันละ 1 เที่ยวคือเวลา 14.00 น. ออกตรงเวลาระดับวินาที!
ขณะที่ขากลับ รถบัสจาก Noboribetsu จะมาที่ซัปโปโร หรือจะเลือกตรงไปที่ Chitose Airport เลยก็ได้
ค่ารถ 1,950 เยน/เที่ยว ใช้เวลาเดินทาง 1.45 ชม. ขึ้นรถที่ท่ารถบัสบริเวณสถานีรถไฟเลย และซื้อตั๋วรถไฟล่วงหน้าได้ที่ตู้ขายซึ่งอยู่ตรงจุดขึ้นรถนั่นเอง
เราซื้อตั๋วล่วงหน้า 1 วัน เพราะมันอยู่ตรงข้ามกับโรงแรมที่พักพอดี แพ็คกระเป๋าเช็กเอาต์ ต้องหอบหิ้วมันไปด้วย เพราะวางแผนว่าออกจาก Noboribetsu แล้วจะไปสนามบินชิโตเสะเลย กระเป๋าไม่มีช่องใส่ไต้รถ ให้แบกขึ้นไปด้วยแล้ววางแหมะบนเบาะที่นั่งแรกๆ ได้เลย อย่าวางบนตักตัวเอง…มันหนัก!!!
ตอนเข้าแถวรอขึ้นรถ พวกเราก็ชักสงสัยว่าทำไมตัวหนังสือปลายทางบนป้าย ไม่เหมือนกับที่อยู่บนตั๋ว สักพักคุณพี่ที่ยืนต่อแถวข้างหลังมาดู ถึงรู้ว่าเข้าแถวผิด = =” คนญป.น่ารักมาก คอยช่วยเหลือด้วยรอยยิ้มตลอด พอพวกเราขึ้นรถมา พี่เค้าก็โบกมือบ๊ายบายด้วย (เอาใจฉันไปอีกแล้ว คนญป.เนี่ย) พอนั่งได้ก็รู้สึกเกรงใจมาก เพระทั้งรถมีแค่เรา 2 คน! มันจะคุ้มไหมเนี่ย รถคันบะเลิ่มเชีย! แต่นั่งไปอีกสัก 30 นาทีก็มีคนขึ้นมา (แต่ก็อีกแค่ 2 คน >__<)

Noboribetsu
เป็นเมืองออนเซ็นขนาดเล็กที่เงียบสงัดแสนสงบ สถานที่ท่องเที่ยวหลักนอกจากออนเซ็นรีสอร์ตต่างๆ ก็คือ Hell Valley หุบเขาซึ่งมีควันร้อนพวยพุ่งออกมา ทำให้มาสคอตของเมืองนี้คือยักษ์หน้าดุแต่ใจดี ยังมี ทะเลสาปโทย่า และถนนสายช็อปปิ้งกันแสนสนุก ดังนั้นจึงเหมาะจะมาค้าง 1 คืนมากกว่าเดย์ทริป เพราะใช้เวลาเดินทางพอควร อีกอย่างถ้ามีออนเซ็นอยู่ตรงหน้า เราต้องกระโจนเข้าหามัน ห้ามเพิกเฉยเด็ดขาด



Hell Valley
อีกชื่อของเขาคือ Jigokudani เป็นหุบเขาที่มีควันร้อนพวยพุ่งจากใต้ดินเป็นจุดๆ ภูมิประเทศตรงนี้สวยแปลกตาดี ด้วยความที่ ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของ Shikotsu-Toya National Park อุทยานแห่งชาติขนาดใหญ่ รอบๆ หุบเขาจึงมีทางเดินศึกษาธรรมชาติให้เลือกหลายเส้นทาง ถ้าใครเลือกสายแข็ง เดินราว 30-40 นาที จะเจอ Oyunuma Pond ซึ่งเป็นสระน้ำแร่ซัลเฟอร์ธรรมชาติ บางจุดที่น้ำไหลเป็นสายธารไปตามแนวป่า เราสามารถเอาเท้าไปแช่ในนั้นได้ แต่อาจจะมีกลิ่นเล็กน้อยเพราะเป็นซัลเฟอร์ ส่วนตัวข้าเจ้าไม่ได้เดินไปถึงตรงนั้น ก็น่าเสียดายเหมือนกัน แต่ดูรูปปลอบใจไปก่อน คลิกที่นี่จ้ะ













ถนนสายช็อปปิ้ง
สมการง่ายๆ ของเมืองออนเซ็น = เรียวกัง + ถนนช็อปปิ้ง + คนใส่ยูกาตะ
ถนนช็อปปิ้งที่นี่ไม่น้อยหน้าใคร แม้ในตัวเมืองจะเล็ก แต่ร้านขายของต้องใหญ่และแยะ โผล่หน้าไปร้านแรกนี่ถึงกับผงะเนื่องจากทัวร์จีนลงพอดี คิวต่อแถวจ่ายสตางค์นี่ยาวเป็นหางงู แต่ก็สนุกมาก เพราะของฝากส่วนใหญ่เป็นอาหารที่เก็บไว้กินได้นาน มีหลายอย่างไม่เคยเห็นที่ไหน วิญญาณแม่บ้านสิงแรงมาก(อีกแล้ว!) วิ่งแล่นแทรกหมู่ชนชาวจีนไปทั่วร้าน ก่อนหน้าบานไปต่อคิวจ่ายสตางค์ ฟินละตู …ส่วนบนถนนหนทางเค้ามีตุ๊กตาหินปูนรูปสัตว์ต่างๆ คอยสร้างความบันเทิงให้ตลอดเส้นทาง เดินเพลิ๊น!







Takinoya; เรียวกังใน Noboribetsu
พักออนเซ็นรีสอร์ตมาหลายที่ นี่คือหนึ่งในท้อป 3 สุดโปรดของเรา บริการไม่ต้องพูดถึงมันเหนือระดับมาก อาจุงม่า (เฮ้ย ผิดภาษา!) โอบ้าจังทั้งหลายน่ารักและบริการสุดตัวมาก พูดภาษาอังกฤษแอนด์ภาษากายกันสนุกเพลิน ทั้งรีอสร์ตปูด้วยเสื่อตาตามิ ใส่ถุงเท้าเดินตลอดระยะเวลาที่อยู่…ถุงเท้าไม่ดำ! ห้องพักเป็นแบบห้องชุดกว้างขวางมากพักได้สูงสุด 8 คนอ่ะ มีทั้งห้องแบบเตียงและแบบเสื่อตาตามิดั้งเดิม ไม่มีกลิ่นอับเลย มีห้องน้ำและอ่างอาบน้ำตรงระเบียงมองเห็นวิวภูเขา ห้องแต่งตัว และขนมจิ๋วรอท่าอยู่บนโต๊ะ โซฟานวมนุ่มและแบบไม้สำหรับเอนหลังพัก เมื่ออ่อนเพลียจากการแช่น้ำ…สวรรค์ชัดๆ
สิ่งที่ชอบที่สุดคือบ่อออนเซ็นนี่แหละ เค้าทำบ่อเล็กแยกชายหญิง 2 จุดคือชั้นบนสุด ที่อ่างค่อนข้างเล็กแต่เห็นวิวภูเขาจากมุมสูงได้ กับชั้นล่างซึ่งมี 3 บ่อทั้งแบบอินและเอาต์ดอร์ ซึ่งให้ประสบการณ์ที่เคลิ้มมาก เพราะเป็นการแช่ใต้ต้นไม้ ได้ยินเสียงนกจิ๊บจั๊บไปด้วย แม้น้ำแร่ที่นี่มีกลิ่นซัลเฟอร์ ทำให้แช่แล้วกลิ่นจะติดตัวเราบ้าง แต่อุณหภูมิน้ำกำลังดี และที่รีสอร์ตนี้เขาก็ผสมน้ำหรืออะไรบางอย่างไป ทำให้ลดความแรงของซัลเฟอร์ได้แยะอยู่
จะว่าไป…นี่เป็นประสบการณ์ “แก้ผ้าอาบน้ำ” ครั้งแรกของเราในญี่ปุ่น กลัว ตื่นเต้น อาย ทำตัวไม่ถูก คิดไปต่างๆ นานาว่าถ้าเจอโอบ้าจังทั้งหลายจะทำยังไง แต่โชคดี๊! ที่รีสอร์ตนี้ห้องน้อย คนเลยไม่ค่อยมาแช่น้ำเวลาตรงกัน (โล่งอกระดับเทพ) ครั้งแรกที่แช่ก่อนกินข้าวเลยอ้อยอิ่งอยู่เกือบ 20 นาที กลับห้องหมดแรงแทบสลบ แต่พอกินข้าวเสร็จแล้วจะกลับไปแช่อีกรอบ…ได้ยินเสียงคนทะลุประตูออกมา เลยเดินคอตกกลับห้อง (ใจไม่กล้าพอ 555 แต่ตอนนี้ด้านละ)
อาหารไคเซกิที่เรียวกัง นั่งทานในห้องอาหารที่มีฉากกั้นเป็นสัดส่วน เห็นวิวสวนสวย ใช้ของคุณภาพดีและจานชามน่าขโมยมาก อาหารเช้าก็เสิร์ฟในห้องเดียวกัน ชอบอารมณ์ตอนกินอาหารเช้าที่เรียวกังแบบจริงจังเลย มันคือสภาวะที่ชิลล์ to the max รองลงมาจากการแช่ออนเซ็นเลยอ่ะ นั่งกินกันไปคุยกันไป ไม่รีบไม่ร้อน เพราะอาหารมีหลากหลายและมาอย่างละนิดกระจุกกระจิก จะรีบยัดทะนานไปทำไมกัน ดังนั้นทุกๆ เช้าที่เรียวกัง เรามักจะอยากให้ตัวเองมีเวลา(และสตางค์) มากกว่านี้ จะได้พักมัน 2 คืนแบบชุ่มปอดไปเลย





















เป็นเมืองออนเซ็นที่มาค้างแค่ 1 คืน กับเดินเที่ยว 1 วัน
แต่รู้สึกประทับใจมาก เพราะรู้สึกได้พักผ่อนจริงๆ ถ้าคนที่ชอบแช่ออนเซ็นคงเข้าใจว่า มันคือกิจกรรมที่ผ่อนคลายขั้นเทพ แถมการที่เป็นเมืองเล็ก ทำให้ไม่ต้องพะวงเวลาว่าจะไปเก็บซิมดูแลนด์มาร์กอะไรมากมาย ถือเป็นไฮไลต์ของทริปฮอกไกโดเลยแหละ (ตอนไปคือช่วง พค. ลาเวนเดอร์ยังไม่บานจ้ะ)


