
สิ่งที่เคยได้ยินเพื่อนๆ พูดถึงโอตารุ ก่อนจะออกตัวไปจริงก็คือ
“มีร้านชีสเค้กเทพมาก ร้านขนมเยอะมาก เดินเล่นริมคลองสวยดี” พอเราจับมารวมกัน เลยคิดว่าร้านขนมพวกนี้ตั้งอยู่บนถนนริมคลองโอตารุซะอีก มโนไปล่วงหน้า ว่าการเดินเล่นริมคลองไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็แวะเข้าร้านขนมนั้น ออกมากินร้านนี้ น่าจะเป็นอะไรที่สนุก
ปรากฏไปถึง…อ่าว มันคนละที่กันเลยนี่หว่า (ใช่! ยัยนี่ไม่ได้ดูรูปและอ่านรีวิวล่วงหน้าก่อนไป >__< ก็แบบว่า อยากได้อารมณ์สดไง ไม่อยากถูกสปอยล์ก่อน 5555) ถนนริมคลองก็ส่วนริมคลอง ร้านขนมก็อยู่บนถนนเส้นหลัก (ถนน Sakaimachi) แต่นะ ความสนุกก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากัน แถมเจออะไรน่าสนใจกว่าที่คิดไว้หลายอย่าง
สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจในโอตารุ นอกจากกินขนม เดินเล่นริมคลองแล้ว ยังมีสวนโอตารุ (Otaru Park) มีร้านซูชิขึ้นชื่อหลายร้าน เพราะเป็นเมืองท่าหลักของญี่ปุ่นตอนเหนือตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ยังมีมิวเซียมวิสกี้ (Nikka Whiskey Distillery) และมิวเซียมของเมือง (City Museum)
แต่ขอบอกว่า ความสนุกอย่างนึงของการมาเที่ยวโอตารุ ก็คือการเดินรอนแรม ออกนอกเส้นหลักไปทางนั้นทางนี้ แล้วจะเจอของดีเช่นร้าน Zakka และของมุ้งมิ้ง ที่ชอบแอบซ่อนตามถนนต่างๆ อย่างเงี๊ยบเงียบ ใครไปก็สอดส่ายสายตาหากันนะ
นั่งรถไฟ ไปโอโตรุ
เราพักที่ซัปโปโร และใช้วิธีเที่ยวแบบเดย์ทริปด้วยการจับรถไฟไป ใช้เวลาราวครึ่งชม. ก็ถึงโอตารุ รถไฟไปโอตารุมีมากมายหลายแบบ ทั้งแบบ Rapid และแบบหวานเย็น ที่สถานี มีพนักงานคอยให้ความช่วยเหลือ ดูเวลารถออกและแพลตฟอร์มที่ต้องขึ้น ทำให้รู้สึกมันง่าย เร็ว และสบายมากๆ
พวกเราไปถึงสถานีตอนไหน ก็ขึ้นรถเที่ยวถัดไปทันที ไม่สนละว่ามันจะเร็วหรือหวานเย็น และสรุปว่าได้รถหวานเย็น ^^” จึงนั่งชะเอิงเงิยกันไปราว 45 นาทีได้ ไปรถไฟเที่ยว 10.27 กลับรถไฟเที่ยว 17.34 น. รู้สึกได้เที่ยวเต็มอิ่มมาก

สถานีรถไฟโอโตรุ
เป็นสถานีที่น่ารักมาก มีรายละเอียดเก่าๆ ที่เขายังรักษาเอาไว้ เช่นโคมไฟติดเสา ม้านั่งแบบเก่า ชานชาลาวินเทจ ตะเกียงโบราณ และระฆังเวลคัม! ดิฉันยืนถ่ายรูปเพลิน จนออกจากแพลตฟอร์มเป็นคนสุดท้ายชะเอิงเงิย จะไม่เก่าแก่ได้ไง ในเมื่อที่นี่คือสถานีรถไฟแรกของสายฮอกไกโด



สวนโอตารุ (Otaru Park)
ออกจากสถานีเลี้ยวขวา (สถานีมีร้านขนมมากมาย จนฉันไม่อยากออกมาเลยให้ตายดิ) เดินไปเรื่อยๆ ก็จะถึงสวนโอตารุ ใช้เวลาเดินไม่นานมาก (จุดนี้เข้าใจว่าทุกคนน่าจะมีแผนที่แจกฟรี หรือไม่ก็ google map กันหมดแล้ว) ระหว่างทางเจอร้านขายถ้วยชามมือ 2 แบบของอัดแน่นมาก เข้าไปเดินวนนาน 38 รอบแต่ไม่กล้าซื้ออะไร เพราะส่วนใหญ่เป็นของหนัก ฮือออ ฟ้าแกล้ง T^T
ทางเข้าสวนน่าจะมีหลายจุด แต่จุดที่เราไป มีร้านไอติมซอฟเสิร์ฟชื่อดังอยู่ด้านหน้า แน่ล่ะจะพลาดได้ไง เราเลยเอาฤกษ์ประเดิมชัยด้วยของเย็นก่อน (โคนละ 240 เยน)
เป้าหมายของการมาสวนโอตารุก็เพื่อดูซากุระ ซึ่งเพิ่งเข้าใจเหมือนกันว่าพันธุ์มันแตกต่างกันออกไปในแต่ละที่ กลีบดอกก็ต่างกันด้วย ของที่นี่จะกลีบดอกเล็ก สีอ่อน เวลาลมพัดมาที กลีบจ้อยๆ ของมันก็พร้อมใจกันปลิวพรูพลิ้วไปตามกระแส ยัยหญิงไทยคนนี้ก็ได้แต่กรี๊ดกร๊าดมองอย่างเป็นสุข จำได้ว่าใช้เวลาตรงทางเข้าสวนราวๆ เกือบ 20 นาที เพราะแค่ยืนมองก็สุขีสโมสรแล้ว น่าเสียดายเนาะที่ซากุระพวกนี้ปีๆ นึงบานแค่ไม่กี่สัปดาห์…ที่เหลือก็กลายเป็นต้นไม้ใบเขียวๆ ก็ต่อไป…
ทางเดินในสวนโอตารุจัดว่าง่ายค่อนข้างมาก เส้นทางดีมีขึ้นนิด ลงหน่อย พอให้กล้ามเนื้อทั้งไบเซปและไตรเซปได้ทำงานถ้วนหน้า วันที่เราไป มีชาวญป.มาฮานามิกันพอประมาณ คนน้อยอย่างน่าอัศจรรย์ มีเด็กรวมกลุ่มกันมาเดินเที่ยวชมซากุระ บางกลุ่มเอาเตามาย่างเนื้อสร้างความทรมานใจให้กับผู้คนในวงกว้าง เราอยู่ห่างมา 200 ม.ยังได้กลิ่นอยากไปร่วมแจม T^T บางคนก็เอาหม้อมาต้มสุกี้กันเป็นกิจจะ โห…เขาสนุกกันแบบนี้เอง เราเคยนึกว่าคนจะห่อแต่อาหารเย็นๆ พวกข้าวกล่อง แซนวิช ผลไม้ อะไรง่ายๆ มากินกันซะอีก อันนี้จัดหนักกันเลยอ่ะ
เมื่อหันไปถามคุณบุว่าทำไมไม่บอกล่ะคะ อิฉันจะได้จัดหาข้าวกล่องมาจากสถานี เพื่อจะนั่งขัดสมาธิ กินกันไป ดูซากุระไปโรแมนติกหนุงหนิง เหมือนอย่างพี่ๆ ญี่ปุ่นเขาบ้าง
นางหันมาตอบหนักแน่นว่า “ไม่อ่ะ จะไปกินซูชิร้านที่เล็งไว้แล้ว” …. แป๊ว แป๊วๆๆๆๆ













กินซูชิร้าน Masazushi
เป็นร้านนึงซึ่งท่าจะขึ้นชื่อ เพราะมี “ห้องนั่งรอ” เป็นกิจจะมาก! วันไปรอสัก 10 นาทีได้มั้ง นึกว่าร้านเล็กคนเลยต้องรอ เปล่าค่ะ ร้านใหญ่แต่…ดูไม่อึดอัด เพราะเขากั้นแบ่งซอยห้องทำให้แต่ละโต๊ะมีมุมส่วนตั๊วส่วนตัว
ซูชิที่นี่สดสมเป็นเมืองท่า สิ่งแปลกใหม่ที่พบเห็น คือปลาหมึกซาชิมิ กินกับซอสพอนสึและไข่นกกระทา? เรียกว่าแปลกจนงง เกือบออกสเต็ปไม่ถูกว่านี่มันน้ำจิ้มใคร วิธีกินคือเอาอุนิที่กองอยู่ข้างๆ ปลาหมึกใส่ลงไปในซอส แล้วคนให้ไข่แตก จากนั้นเอาปลาหมึกจุ่มกิน…คิดได้ไง! รสชาติมันละมุนละไมมากเลย (บูบอกเค้าเรียกบะหมี่ปลาหมึก) อีกอันที่ชอบคือไข่หวานกินกับไชเท้าฝน
อาหารมื้อนี้ปิดเกมที่ 9020 เยน


Sakaimachi Street
สุดยอดแห่งความแฮพเพนนิ่งของโอตารุ ก็ต้องแถวนี้แล ขนมแถวนี้…อร่อยทุกร้านที่กิน+ชิม!!! คือถ้าไม่อยากเสียทรัพย์ ก็อย่าชิม เพราะถ้าชิม…แล้วจะเกิดกิเลสอยากซื้อ T^T และถ้าซื้อแล้วต้องแบกกันไปตลอดทาง…โดยเฉพาะพวกชีสบิสกิตสอดไส้สารพัด
แน่ล่ะเราแวะชิมชีสเค้กเทพร้าน Le Tao ที่เพื่อนโปรยหัวไว้ก่อนมา และพบว่ามันก็อร่อยดี (ล่าสุดเห็นขายที่พารากอนแล้ว) พี่คนนึงบอกให้กินเมลอน…เราก็กินค่ะ ซื้อจากร้านริมทางแบบมั่วๆ ชิ้นละ 300 เยน…หวานเทพ!!!! เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่เค้าถึงยอมหอบเมลอนกลับเมืองไทย 2 ลูก โมจิคัสตาร์ดฉันก็กิน (ร้านไหนท่าทางน่ากิน เข้าหมด) ส่วนใหญ่คนจะมองหาซอฟเสิร์ฟรสแปลกๆ อย่างเช่นลาเวนเดอร์ ฯลฯ กัน แต่เราเหมือนเข้าร้านผิด ไม่มีรสนี้ เลยสั่งซอฟเสิร์ฟธรรมดามากินกะเมลอน…โห อร่อยมากๆๆๆ (ก.ไก่ล้านตัว) และขนมแถวนี้ไม่ค่อยแพงมากด้วยอ่ะ ขอให้มีพุงกินเหอะ มีร้านนึงขายลูกชิ้นปลาทำเป็นหน้าคนน่ารักม๊ากกกก! จึงไปต่อแถวกินกับเค้าด้วย (วันนั้นกลับถึงรร.จัดอีโนอย่างด่วน! เพราะทุกสิ่งที่กิน เกิดขึ้นภายในบ่ายวันเดียวทะนั้น!!!) ส่วนขนมบางร้านก็มีขายในเมืองซัปโปโร บางอย่างก็ไม่มี ให้ใช้วิธีสังเกตในเมืองก่อนว่ามีอะไรบ้าง มาที่นี่ถ้าเจอสิ่งที่พิเศษกว่าก็ค่อยซื้อกลับไป







Music Box Museum
ได้ยินครั้งแรกมันเลยผ่านมาก ไม่น่าสนใจเลยอ่ะมิวเซียมกล่องดนตรี?
สุดท้ายอยู่ในนั้นเกือบชม.แน่ะ แฮ่… ^^” มองจากข้างนอกก็สวยแล้ว เพราะเขาดัดแปลงจากตึกอิฐแดงอายุเป็นร้อยปี ด้านหน้ามีนาฬิกาไอน้ำซึ่งจะส่งเสียงทุก 15 นาที และจัดหนักทุกๆ 1 ชม.
เรา…ที่ว่าไม่เคยสนใจมิวสิกบ็อกซ์…ก็ซื้อกลับมาอันนึงจนได้ (บัดนี้ตั้งในห้องน้ำ เอาไว้ฟังเวลาแปรงฟัน) เพราะเค้าทำเป็นตุ๊กตุ่นตุ๊กตาสารพัดรูปแบบ ที่มันจะต้องสวยถูกใจคนบ้างสักคนล่ะน่า! ส่วนคุณบูเธอหยอดเหรียญฟังออร์แกนแก่ ที่เล่นในตู้ไม้ เสียงกังวานเพราะมาก





เดินเล่นริมคลอง Otaru
ใครไปใครมา ก็ต้องแวะถ่ายรูปที่นี่ ฝั่งหนึ่งคือทางเดินสวยงาม อีกฝั่งเป็นโกดังขนาดใหญ่ ที่บางแห่งดัดแปลงเป็นร้านอาหารไปแล้ว ตอนกลางวันได้บรรยากาศแบบ ตอนกลางคืนก็ได้บรรยากาศอีกแบบ







เดินเล่นไปเรื่อย
ด้วยความที่รถไฟจากโอโตรุ ไปซัปโปโรมีบ่อยมากๆๆ พวกเราเลยไม่ร้อนใจเรื่องต้องรีบกลับเท่าไร เดินเล่นริมคลองเสร็จ ก็เริ่มเตร่เข้าไปตามถนนเส้นนั้นเส้นนี้ที่คู่ขนานไปกับคลองนั่นแหละ เจอร้าน Zakka เจอบ้านน่ารักๆ ตามสไตล์ญี่ปุ่น และเสียทรัพย์ซื้อของกลับมากันจนกระเป๋าตุง ชอบตรงถนนหนทางรถราไม่ค่อยแยะ เดินยังไงก็ได้ไม่ต้องกลัวหลง ให้ยึดทิศทางการกลับไปสถานีรถไฟไว้แล้วจะดีเอง
พอได้มาแล้วถึงเข้าใจ ว่าทำไมคนถึงชอบมาโอตารุกันจัง : )











ส่วนภาพด้านล่างนี้ ถ่ายตั้งแต่เช้า ตอนที่เดินจากสถานีไปสวนโอตารุ และเดินจากสวนโอตารุไปกินกลางวัน พวกเราไม่ได้ใช้พาหนะอื่นใด นอกจากเดินไปเรื่อยๆ เมืองนี้เดินง่าย เดินสบาย แถมตอนไปอากาศยังเย็นอยู่ ชิลหลายๆ









