
รอบแรกที่มาไถจ๊ง คุณบูก็ชวนไป Sun Moon Lake หรือ ซันมูนเลก (จากนี้ไปขอย่อเป็น ซมล.)
แต่ทำไมไม่รู้ ไม่อยากไป – -” นึกว่าเป็นแค่ทะเลสาปแล้วเราเดินรอบๆ
แต่พอดีมารอบนี้อยู่หลายวัน เลยไปจนได้ และพบว่ามันไม่ธรรมดาอย่างที่คิด
คือมีกิจกรรมให้ทำ สามารถใช้เวลา 1 วันเต็มอยู่ที่นั่นได้สบายๆ
ถ้าน้อยกว่านั้น เราว่าจะน้อยเกินไปด้วยซ้ำ
วิธีไป Sun Moon Lake
ไม่จำเป็นต้องจองตั๋วล่วงหน้า ราคาตั๋วคนละ 190NT/เที่ยว
เขามีป้ายรถของตัวเองเลย เขียนว่า Sun Moon Lake ยืนรอไม่ผิดที่แน่นอน
จะจ่ายค่ารถด้วยเงินสด (ต้องเตรียมให้พอดี) หรือบัตร Easy Card ก็ได้
ช่วงรอรถนี้เอง จะมีลุงแท็กซี่หน้าตาไม่น่าไว้ใจ
เหมือนตัวโกงคลาสสิกที่เห็นได้ในหนัง จะมาทำการ “ปาดหน้าครีม”
หรือจิกเอาผู้โดยสารที่เบื่อจะรอรถบัสไปขึ้นรถแท็กซี่ตัวเอง
เทคนิคคือรวบรวมคนที่ยืนรอให้ได้แยะที่สุด เพื่อแชร์ค่าโดยสาร
ตอนแรกลุงมารัวภาษาจีนใส่เรา รู้คร่าวๆ ว่าคิดคนละ 250 NTD (แพงกว่ารถบัสนิดเดียว)
แต่พอเราปฏิเสธไป 2 รอบ…รอบ 3 แกมาบอกว่างั้นคิด 200 ก็ด้ะ!
เอ๊ออ…เอากะลุงสิ แต่ยิ่งเป็นแบบนี้เรายิ่งไม่ชอบ ส่วนคุณบูไม่ต้องพูดถึง
เหล่สายตามองพร้อมกำชับเราตลอด “เด๋วบัสก็มาแล้วๆ” คือกลัวอิฉันตัดสินใจไปกะลุงฉลามคนนี้มาก
เพราะคุณบูได้กลิ่นเหล้าจากลุงด้วย …
แต่สุดท้ายก็มีคนตัดสินใจไป 2 คู่ คงเพราะขี้เกียจรอ
อ่ะก็เดินตามกันไปขึ้นแท็กซี่แวนของลุง
ตอนแรกนึกว่าแกจะพอใจแล้ว สักพักแกให้หนึ่งใน 4 คนที่ตัดสินใจไป
กลับมาคุยกับเราเป็นภาษาอังกฤษว่า
ไปด้วยกันเถอะ จะได้หารค่าโดยสารน้อยลงอีก… ดูลุงทำ!!!
คือไม่ได้ว่าอะไรนะ ลุงก็คงพาทุกคนไปส่งที่ ซมล. นั่นแหละ คงไม่พาไปขายแถวเมืองจีนหรอก
แต่เราไม่ชอบวิธีการอ่ะ ไม่อยากนั่งกระสับกระส่ายไปตลอดทางกลัวโดนหลอก
และคิดดูสิ ถ้าไปกัน 6 คน…จะนั่งกันยังไง แท็กซี่แวนเนี่ยนะ??? โอ๊ยยย…ฉันเต็มใจยืนรอต่อ!
สุดท้ายไม่เกิน 5 นาทีบัสก็มา ขึ้นไปแล้วรู้สึกตัดสินใจไม่ผิด เพราะเบาะกว้างนั่งสบายมาก
หลับอ้าปากหวอไปอย่างสบายอุราตลอดเวลา 1.30 ชม. ที่ใช้ในการเดินทาง
ไม่ต้องเครียดหรือกระสับกระส่ายใดๆ ทั้งสิ้น




ตัวเมือง Sun Moon Lake
คล้ายเมืองท่องเที่ยวทั่วไป มีร้านอาหาร ร้านของที่ระลึก มี Starbucks (สิ่งแสดงความเจริญ)
รถจอดตรง Visitor Center ซึ่งจะมีแพคเกจให้เลือกหลากหลายมาก เช่นค่าเรืออย่างเดียว
ค่าเรือรวมเคเบิล ค่าเรือรวมค่ารถบัส ฯลฯ (อ่านจีนไม่ออก)
ที่เราตัดสินใจซื้อตั๋วเรือและบัส เพราะขากลับอาจจะอยากกลับบัสขึ้นมาก็ได้
เช่นกรณีของเราเป็นต้น
ซื้อตั๋วเรือชม Sun Moon Lake
มีเทคนิคเล็กๆ มาฝาก สำหรับคนกำลังจะตัดสินใจซื้อตั๋ว
ถ้าคิดว่าจะเข้า Formosan Aboriginal Culture Village (จากนี้ไปจะเรียก “หมู่บ้านกะเหรี่ยง”
เพราะเป็นสถานที่จัดแสดงวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมืองในไต้หวันทั่วทุกภูมิภาค)
ให้ซื้อตั๋วเฉพาะ “เรือ+บัส” ก่อนก็พอ ส่วนตั๋วเคเบิลคาร์ ให้ไปซื้อที่ Ropeway Station เลย
เพราะตรงจุดนั้นจะมีตั๋วโปรฯรวม Ropeway 2 ทอด + ตั๋วเข้าหมู่บ้านด้วย
(ใช่…ที่นี่มีเคเบิล 2 อัน…อันแรกคือขึ้นเขา อันสองคือเคเบิลเข้าหมู่บ้านกะเหรี่ยง)
ด้วยความที่เราซื้อตั๋ว เรือ + บัส + เคเบิล (ทอดเดียว)
พอจะเข้าหมู่บ้านกะเหรี่ยง เลยต้องซื้อตั๋วค่าเข้า ซึ่งรวมค่าเคเบิล 2 ทอด
เพราะเค้าไม่ขายแยกเฉพาะค่าเข้า! (อัลไล!!) รวม 580 NTD/คน
เรียกอีกอย่างว่า…เสียค่าเคเบิลซ้ำซ้อนค่ะ!!!
เสียรู้มากบอกเลย T^T แต่ไปถึงจุดนั้นแล้วก็อยากจะเข้าอ่ะนะ
เนื่องจากบนจุดสูงสุดของเคเบิลทอดแรกเนี่ย … ไม่มีตู้ไรให้ดู ให้ทำเลย
สรุปเราซื้อตั๋ว tourist pass (เรือ+รถ+เคเบิลทอดเดียว) ในราคาคนละ 680 NTD
การเที่ยวใน Sun Moon Lake
เมื่อซื้อตั๋วเรือเรียบร้อย ให้ไปที่ท่าเรือได้ทันที
ลักษณะการท่องเที่ยว ซมล. คือการนั่งเรือไปยังจุดชมวิวจุดแรก ใช้เวลาบนนั้นราว 15 นาที (เรือมีทุก 15 นาที)
จากนั้นนั่งเรือไปจุดชมวิวที่ 2 ใช้เวลาเป็นหลักชั่วโมง เพราะเมืองใหญ่ มีร้านอาหาร
จากจุดที่ 2 นี้เองจะมีทางเดินไม้เชื่อมไปยัง Ropeway Station
แล้วเราก็ขึ้นเคเบิลคาร์ไปถึงทางเข้าหมู่บ้านกระเหรี่ยงได้เลย
(ทางเดินเรือเป็นแบบ one way เราย้อนกลับทางเดิมไม่ได้
และไม่ได้ขึ้นเรือลำเดิมกลับ ลักษณะมันเป็นเรือรับส่งมากกว่า
แต่เรือมีแยะ ไม่กลัวว่าต้องรอนาน)
เมื่อเที่ยวหมู่บ้านกะเหรี่ยงเสร็จ และนั่งเคเบิลคาร์กลับมาที่เดิม
มีทางกลับตัวเมือง 2 แบบ คือกลับไปที่ท่าเรือ (ใช้เวลาเดินราว 15 นาที)
หรือจะนั่งบัสจากตรง Ropeway Station เลยก็ได้ เป็น loop bus วนรอบทะเลสาป
พวกเรานั่งบัส เพราะตอนลงมาฝนตกกระหน่ำ ถึงขนาดต้องซื้อเสื้อกันฝน



จุดลงเรือที่ 1
สิ่งที่รออยู่คือกลิ่น Tea Eggs หอมมาก! ใครหิวๆ ไปเป็นเสร็จทุกรายอ่ะ
ตรงนี้มีห้องน้ำให้เข้า มีทางเดินสบายๆ ใต้ร่มไม้ขึ้นเขาไปไหว้พระ ชมวิวที่ Xuanguang Temple
สักพักก็เดินลงมา ใช้เวลาราว 15 นาทีก็เรียบร้อย
แต่ทว่า…ขากลับนี่ดิ เรือบริษัทเราต่อคิวยาวมาก ไม่ไปยืนก็ไม่ได้
จำได้ว่ากลับรร.วันนั้นเกรียมพอทำเนาเลยทีเดียว = =”







จุดลงเรือที่ 2
ตรงนี้แฮพเพนนิ่งมาก มีร้านรวง ของที่ระลึก ร้านอาหาร ชาไข่มุก 7-eleven
เดินเพลินเกินห้ามใจ แถมมีโรงแรม 2-3 แห่ง คนที่ต้องการค้างก็คงพักกันแถวนี้
ส่วนเราเดินวนๆ แล้วเลือกร้านอาหารนึงที่ไม่มีพนักงานมาร้องเรียกเราเข้าไปกิน
เข้าไปข้างในต้องรอสักพักถึงจะมีคนกวักมือให้ไปนั่งโต๊ะ เพราะเขาทำงานกัน 4 คนในครอบครัว
เมนูภาษาอังกฤษมีนะ แต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง 555 เขาจะมีเซ็ตเมนูตามจำนวนคนให้ เราก็เลือกๆ ไป
เพราะกินอะไรก็ได้ สนุกดี ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องปลาเขื่อน
บรรยากาศร้านที่เราเลือกเหมือน ส.หน้าวังที่ถนนดินสอมากอ่ะ
คือมีรูปเจ้าของเดินทางไปต่างประเทศ และรูปแกตอนรับรางวัลมาแปะให้ดูเต็มผนัง
(แกไปที่หินๆ มาแล้วแยะมาก) แต่ร้านนี้สะอาดกว่า ส.หน้าวัง
แม้จะขายปลาเป็นหลัก แต่มีกลิ่นปลาเฉพาะที่โต๊ะนี่ถือว่ารับได้ (เพียงอย่าเท้าศอกลงไปก็พอ)
เพราะคนจีนส่วนใหญ่กินปลาเสร็จเขาถุยก้างลงบนโต๊ะเลยคร่า ดังนั้นทำใจไว้จะดีเอง
สรุปว่าเมนูที่เราได้คือกุ้งจิ๋วทอดกรอบ (อร่อยมาก!) ผัดเห็ดกับคึ่นช่าย หมูผัด (กรึบๆ เหมือนหมูป่า)
ต้มซุปปลาทอด (หอมขิงฉุย) ข้าวสวยด้วย ทั้งหมดนี้ราคา 700NTD สำหรับ 2 คน!!!!
จากร้านอาหารเราเดินเล่น เลาะไปทาง Ropeway Station
แอบช็อคเบาๆ ที่ไม่มีคิวเลย ทั้งที่วันไปคนแยะมาก (ดีแล้วไม่ใช่เรอะ!)
นั่งเคเบิลราว 15 นาทีก็ถึงปลายทาง









Formosan Aboriginal Culture Village
อย่างที่เกริ่นตอนแรกว่า พอมาถึงปลายทาง Ropeway ก็ออกอาการเจ…ช็อกเบาๆ
เฮ้ย ไม่มีไรให้ทำเลยเหรอ! วิวยังไม่มีให้ดูเลย นี่มันไรอ่ะ!
หันไปเจอประตูทางเข้า Formosan Aboriginal culture village
ก็คิดว่า เราคงต้องซื้อบัตรเข้าไปในนั้นแล้วล่ะ ไม่งั้นฉันจะมายืนตรงนี้ทำไม
เดินเข้าไปดูแผนผังของสถานที่ เห็นคำว่า Theme Park แล้วไม่อยากเข้า ไม่อยากเล่นสวนสนุก
ฮึดฮัดจะกลับ (เหวี่ยงตลอดนะยัยนี่!) แต่บูฉุดกระชากลากถูเข้าไป
เพราะนางอยากดูหมู่บ้านกะเหรี่ยงไต้หวัน
สติยัยเอ๋น้อยเริ่มเย็นลง เมื่อเข้าไปแล้วพบว่าเค้าทำดีมาก!
ส่วนแรกคือที่จัดแสดงบ้านหลังจิ๋วของคนพื้นเมืองในภาคต่างๆ ของไต้หวัน
ทุกหลังสะอาดสะอ้าน ไม่มีกลิ่นอับ ไม่น่ากลัวใด ๆทั้งสิ้น
สะท้อนให้เห็นความเป็นอยู่อันเรียบง่ายของคนสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี
และทุกจุดภายในอาณาบริเวณ สะอาดมากกก… ไม่มีจุดใดเสื่อมโทรม แลดูรกร้าง หรือหดหู่ให้เห็นเลย
ทั้งที่พื้นที่มันกว้างใหญ่ไพศาลมาก เลยรู้เหตุผลว่าที่เขาเก็บค่าเข้าแพง
ก็เพราะค่าบำรุงรักษามันแยะแบบนี้นี่เอง…สรุปว่าคุ้มละค่ะ เข้ามาเถอะค่ะ! (กวักมือหยอยๆ)
เดินตัดป่า หมู่บ้าน ลำธาร บ่ออปลาไปเรื่อยๆ …สักพัก…อ้าวเฮ้ย ล่องแก่ง!
อ่าวนั่น…สวนอังกฤษมหึมา อ้าว…เครื่องเล่นสารพัดรูปแบบ
โห…อารมณ์ตัดกันฉัวะฉะ เมื่อกี๊ฉันยังปลาบปลื้มกับวัฒนธรรมอันเรียบง่ายของคนพื้นเมืองอยู่เลย
นี่อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกรี๊ดของคนเล่นล่องแก่ง
ว่าแล้วก็เดินไปซื้อไอติมกินแท่งนึง (ตกใจจนคอแห้ง)
วันนั้นจำได้ว่าเราอยู่ในหมู่บ้านกะเหรี่ยงกันนานเลย โดยเฉพาะโซนแรกที่เป็นวัฒนธรรมพื้นเมือง
เค้าทำดี๊ดีจริงๆ นะ สะอาด น่าเดิน ร่มรื่น เดินเพลินๆ ไม่รู้ตัว
มีอาหารพื้นบ้านอย่างข้าวเหนียวในไม้ไผ่ขายในซุ้มด้วย แต่ตอนนั้นอิ่มไม่ได้กิน
ขากลับเราไปยืนรอบัสที่จุดลงนั่นเอง ไม่ต้องจองตั๋วล่วงหน้า
ยืนรอคิวตามเวลาได้เลยจ้ะ ขากลับจะใช้เวลานานกว่ามานิดหน่อย
เพราะรถติดในเมืองเล็กน้อย แต่เราก็หลับมาเกือบตลอดทาง ไม่ค่อยรู้สึกอะไร























