
ครั้งแรกที่ไปเที่ยว Taichung เมื่อปี 2011 เราไม่ได้ไปนอกเมืองกันเลย (พลาด!)
เพราะดันเลือกจะไปค้างเมืองออนเซ็นชื่อว่า Guguan 1 คืน ทำให้เหลือเวลาในเมืองน้อยมาก
ดังนั้นมาคราวนี้เลยจัดเต็มที่ 1 วัน วางแผนกันอย่างดี และเพราะความขี้เกียจผสมกับขี้เกี๊ยจขี้เกียจ
เลยให้ Jodie ติดต่อเช่าแท็กซี่ให้ 1 วัน จะได้ไม่ต้องเครียดเรื่องเส้นทาง
จริงๆ ตอนแรกกะเช่ารถ แต่ไม่อยากเช่าทุกวัน (เปลือง) ประกอบกับ Jodie & Ba ba lin บอกว่า
การขับรถไปเองมันอันตราย ซึ่งภายหลังเราเข้าใจแจ่มแจ้งถึงคำว่า “อันตราย” ของการขับรถในไถจ๊ง
1. ตามท้องถนนในเมืองคนขับมั่วมาก ซิ่งมาก มอไซค์แยะมาก
2. เวลาออกนอกเมือง ถนนเส้นเล็กมาก บางจุด (เช่นทางไป Lavender Cottage)
ถนนเล็กจนเวลาสวนกัน ต้องหยุดให้คันใดคันหนึ่งไปก่อน
ดังนั้นยอมจ่ายสตางค์ให้คนขับรถให้ดีละ แต่ปัญหาคือคนขับจะพูดภาษาอังกฤษกันไม่ได้
ดังนั้นถ้าใครพูดจีนกลางเป็น ถือว่าชีวิตท่านรอดแล้ว (มาไต้หวันถ้าพูดจีนกลางเป็นนี่สบายสุดอ่ะ)
ว่าแล้วก็ไปเที่ยวกันเลย
ก่อนไป : สถานที่เที่ยวแต่ละที่ จะเก็บค่าเข้าชม แต่เขาจะแจกคูปองเงินสดให้เรานำไปซื้อของหรืออาหารในนั้นได้
Lavender Cottage
ค่าเข้าคนละ 100 NTD ได้คูปองเงินสดคืนคนละ 100
ตอนเราไปมันไม่ใช่หน้าหนาวแล้ว ลาเวนเดอร์เลยไม่แยะ สถานที่เขาใหญ่มาก แต่แปลงลาเวนเดอร์จิ๋วเดียวเอง
แถมดอกยังไม่บานเต็มที่ด้วย … พอเข้าไปใกล้ๆ แล้วถึงรู้ว่า ลาเวนเดอร์ที่ดอกยังไม่ออกเต็มที่…เหม็นเขียวมาก = =’
แนะนำให้มา lavender cottage เป็นอย่างแรกในตอนเช้า ซึ่งคนยังไม่แยะมาก
อีกทั้งที่นี่อยู่ไกลสุดในเส้นทางสายนี้ พอเสร็จจากที่นี่เราจะได้ค่อยๆ ย้อนกลับเข้าเมือง








ด้วยความที่สถานที่ค่อนข้างกว้าง เขาเลยมีแผนที่น่ารักๆ ให้ถือติดมือเดินตามไป
ถึงจุดสำคัญก็จะมีสแตมเปอร์ซ่อนตัวอยู่ในบ้านไม้หลังเล็ก ให้หยิบมาปั๊มเหมือนเล่นเกมเก็บแต้มไปเรื่อยๆ
มาที่นี่ได้ครบรสพอควรเลย คือเห็นวิวภูเขา มีมุมให้ศิลปินไต้หวันเอาผลงานมาจัดแสดง
มีมุมให้ถ่ายรูปแยะมากๆ เรียกว่าเราใช้เวลาที่นี่นานที่สุดเลย เพราะสนุกทั้งการถ่ายรูปและชมงานศิลปะต่างๆ
ไม่ว่าจะเดินมุมไหน ก็จะมีอะไรมุ้งมิ้งให้ได้พิจารณาตาล้อด











มีลาเวนเดอร์ขายที่นี่ด้วย ราคาไม่แพงมาก มีทั้งแบบบรรจุถุงมาให้
หรือแบบให้เราตักใส่ถุงเอง (ใช่…เราตักเลือกแบบตักเอง และอัดแน๊นแน่นจนสาแก่ใจ555)
เข้าใจว่าไม่ใช่ลาเวนเดอร์ที่ปลูกที่นี่ และค่อนข้างแน่ใจว่าเค้าปรุงแต่งกลิ่นเพิ่มเข้าไปด้วย
เพราะกลิ่นมันแรงจัด เคยซื้อจากกรีกกลิ่นไม่แรงเท่านี้ (เอ๊ะ…หรือจะคนละสายพันธุ์?)

พวกเราเลือกกินอาหารกลางวันที่นี่ เค้ามีแบบเซ็ตเมนูให้เสร็จสรรพ
มีเมนูอาหารและเครื่องดื่มจากลาเวนเดอร์ให้เลือกด้วย เราเลือกน้ำลาเวนเดอร์ซึ่ง..เฉยๆ ไม่ได้หอมกรุ่นกลิ่นลาเวนเดอร์เหมือนที่จินตนาการเลบ
ไก่อบกับมันทอดของเราอร่อยเลย ส่วนสตูของคุณบูเธอก็บอกว่าดีเชียวล่ะ
กินกัน 2 คนตกอยู่ราว 1,500 NT ใช้คูปองที่ได้ตอนซื้อตั๋วลดไปได้อีก 200 NT
ใครจะเอาคูปองนี้ไปซื้อของที่ระลึกตรงกระท่อด้านหน้าทางเข้าก็ได้เช่นกัน
รสชาติอาหารโอเคมาก เมื่อเทียบกับอาหารในสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ และค่อนข้างเร็วด้วย





Nature Villa
ค่าเข้า 150/คน ได้คูปองเงินสดคืน 100/คน
บอกได้คำเดียวเลยว่าเรา “มาผิดฤดู”!!!
ดังนั้นแทนที่จะได้ดูทุ่งดอกไม้จีนสีเหลืองสวยกว้างสุดลูกหูลูกตา…กลับเห็นแต่ใบเขียวๆ T^T
กระนั้นก็ยังเดินขึ้นบันไดไปยอดเขา ซึ่งเป็นที่ให้คนมาเช่าตั้งแค้มป์กันได้
กว่าจะเดินถึงยอด…เกือบขาดใจ เพราะอากาศค่อนข้างร้อน แดดเปรี้ยงปร้าง
แต่แน่ใจว่าถ้ามาถูกหน้า มันจะต้องสวยอลังการละลานตามากแน่นอน
ห้องอาหารของ Nature Villa เสิร์ฟอาหารพวก Hot Pot มีกลิ่นพริกหมาล่าลอยตามลมมาแตะจมูก
คนมากินกันหลายโต๊ะเลยทั้งที่ไม่มีอะไรให้ดู แสดงว่าน่าจะอร่อย
พวกเราใช้คูปองเงินสดที่ได้มาซื้อน้ำจากตรงร้านอาหารนั่นเอง จริงๆ แล้วมุมนึงมีที่ขายของฝาก
เราแนะนำมากให้ซื้อดอกไม้จีนแห้ง เพราะเขาปลูกเองเก็บเอง มันอึ๋มมากมาย
ดอกไม้นี้จะเอามาผัดผัก ต้มแกงจืดก็ได้ รสจืดๆ กลิ่นหอมนิดๆ อุดมด้วยไฟเบอร์
จริงๆ แล้ว Nature Villa อยู่ใกล้ Lavender Cottage นิดเดียว แต่ทางขึ้นเขาสูงชันและหักมุม
นี่เป็นอีกครั้งที่รู้สึกโชคดีที่จ้างรถพร้อมคนขับมา ไม่งั้นตูได้ขับแบบตูดหมิบแน่ๆ



ถ้ามาถูกฤดู ใบไม้สีเขียวๆ นั่นควรจะออกดอกสีเหลืองสะพรั่งไปทั้งเนินเขาแบบภาพล่างนี้อย่างแน่นอน
อันนี้ถ่ายมาจากร้านอาหาร ตอนไปสั่งน้ำกิน ตอกย้ำกันอย่างแร๊งส์! T^T

Mushroom Farm
ไม่เสียค่าเข้า
ก่อนเข้าไปแอบดูหมิ่นที่นี่เล็กน้อย คิดว่าทำไมฉันต้องมาฟาร์มเห็ดถึงไถจีง ในเมื่อเมืองไทยก็มีเยอะไป
แต่สุดท้ายชอบเขาอย่างจังอ่ะ ^^” เพราะเห็ดที่นี่มีกลิ่นต่างจากบ้านเรานิดๆ แม้จะเป็นเห็ดหอมเหมือนกัน
เราสามารถเก็บเห็ดในโรงเก็บเห็ดได้ เขาจะคิดราคาตามน้ำหนัก แต่ตอนเราไปเห็ดถูกตัดหมดแล้ว
คุณป้ากำลังนั่งเลือกขนาดเห็ดอยู่ด้านหน้าคาตาเลยทีเดียว
แต่ไม่เป็นไร เพราะกะไม่ซื้อเห็ดสดอยู่แล้ว ขอแนะนำมากกกกกกกว่า เห็ดทอดกรอบสารพัดรูปแบบของที่นี่อร่อย!
เราซื้อมา 2 แบบก็ชอบทั้ง 2 แบบเลย เสียดายน่าจะแกะกินตรงนั้นสักนิด ถ้ารู้ว่าอร่อยขนาดนี้ฉันจะเหมากลับมาแยะๆ!
ของแห้งต่างๆ เช่นเห็ดแห้ง ดอกไม้จีนแห้งก็น่าสนมากๆ นะ เราซื้อทั้ง 2 อย่างกลับมา
(ผีแม่บ้านสิงแรงมาก ทั้งที่ตอนนั้นเงินสดเกือบไม่มีติดตัว บัตรเครดิตเขาก็ไม่รับ!)
พบว่าเห็ดหอมแบบสไลซ์อบแห้งเนี่ย มีกลิ่นถั่วนิดๆ ด้วย หอมแตกต่างจากเห็ดหอมจากจีนอย่างเห็นได้ชัด
ที่เชียร์ที่นี่แยะเพราะชอบมากจริงๆ ถ้าอยากกลับไปถจ๊ง ก็คงจะเพราะที่นี่เป็นลำดับต้นๆ เลย
ก่อนออกเราซื้อเห็ด 3 อย่างทอดโรยผงวิเศษ (ชุรส) ราคา 50NT กินร้อนๆ กันที่ร้าน







Summit Resort
ค่าเข้า 250NT/คน ได้คูปองคืนราว 100 NT
ที่นี่เป็นรีสอร์ที่ไม่ได้เน้นห้องพักมากเท่าการขายตั๋วให้คนเข้าไปเที่ยวชม
คุณบูสันนิษฐานว่าเจ้าของที่นี่น่าจะอารมณ์เจ้าของบุญถาวร เพราะเขาเอาหินแกรนิตแผ่นบึ้มๆ มาปูพื้น
เอาหินก้อนโตๆ มาตกแต่ง จุดเด่นของที่นี่คืออาคารคล้ายปราสาทในยุโรปเมื่อมองจากระยะไกล
ไม่พอยังตั้งกลางหุบเขาเขียวขจี ออกแบบให้มีทัศนียภาพที่งดงามเหมือนเมืองในฝัน
เหมาะจะมาถ่ายพรีเว็ดดิงมาก (และมีคนมาถ่ายกันจริงๆ)
ที่นี่ก็เป็นอีกแหล่งที่ถ่ายรูปสนุก เพราะมีทั้งปราสาท สวน ทะเลสาป น้ำตก (น้ำพุชัดๆ!)
แต่ตอนเราไปมันบ่ายต้น แดดกำลังเปรี้ยง อากาศระอุมาก เลยหลบไปซื้อน้ำส้ม(ปลอม) กับชาส้มโอกินแก้กระหาย
ร้านของที่ระลึกที่นี่ด๋อยมากกก เข้าไปเดินวนแล้วถึงกับเอ๋อออกมา เออนะ…ลงทุนสร้างตึกทำสถานที่ขนาดนี้
ไม่มีปัญญาจ้างคนมาสรรหาของที่ระลึกดีๆ สักคนเชียวเหรอ
















Cardboard King
ค่าเข้า 200 NT/คน ได้คูปองคืนราว 100 NT
ความตั้งใจคุณบูคือมากิน Taro Ball ซึ่งเป็นขนมขึ้นชื่อของไถจ๊งที่มีร้านดังอยู่ใกล้ๆ
แต่บังเอิญแถวนั้นไม่มีที่จอดรถ จะเดินก็ไกลไป เราเลยถอดใจ (อากาศวันนั้นมันร้อนเกินไป)
ที่นี่เน้นงานศิลปะที่สร้างจากกระดาษลูกฟูก (ซึ่งเขาจะตั้งไว้ในที่ร่ม)
และ PVC ที่หน้าตาคล้ายกระดาษมาก (ซึ่งเขาจะเอาไปตั้ง outdoor)
ส่วนตัวเราชอบเห็ดยักษ์ที่ทำจากเหล็กดัด และร้านอาหารที่จานชามทุกอย่างทำจากกระดาษทั้งหมด (แต่ไม่ได้กิน)
ภายในมีพิพิทธภัณฑ์ผึ้ง ซึ่งขายน้ำผึ้งสารพัดรูปแบบเป็นของที่ระลึก
เราเองก็ซื้อมากระปุกนึง เพราะน้ำผึ้งแต่ละที่จะมีกลิ่นแตกต่างกันไป ตามดอกไม้ที่ผึ้งไปเก็บน้ำหวานมันมา
ร้านของที่ระลึก…ด๋อยอีกเช่นกันในความคิดเรา แต่ที่นี่มีโปสการ์ดขายและมีตู้ให้หย่อนส่งได้เลย







นั่นคือทั้งหมดที่เที่ยวใน 1 วัน
เรากลับเข้าเมืองมาราวๆ 4 โมง ซึ่ง….บางคนอาจจะมองว่าไม่คุ้มเพราะยังมีที่เที่ยวได้อีก
แต่…สารร่างแหลกไปแล้ว เนื่องจากอากาศร้อนมาก และวันนั้นเรามีปัญหากดเงินสดจาก ATM ไม่ได้
เลยอยากมาจัดการปัญหานั้นก่อน ไม่งั้นอาจจะไม่มีตังใช้ตลอดทริปที่เหลืออีก 2 วันได้