
หลังจากอยู่ฮ่องกงมาเกินครึ่งปี ก็ถึงเวลาละ
ที่จะแนะนำให้คนที่หลงเข้ามาอ่านบล็อกนี้รู้จักกับ “ฮ่องกงแปลกหน้า”
หรือฮ่องกงในมุมที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมาสักเท่าไร
ที่ๆ ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวกระแสหลัก
ที่ๆ อาจจะไม่ติดร่างแหอยู่ในคู่มือท่องเที่ยวเล่มแรก
แต่เป็นที่ๆ เรามองว่าน่าสนใจ อย่างลำดับแรกที่จะเขียนในบล็อกนี้
ลองจินตนาการดูนะ ว่า “บ้านนอกฮ่องกง” หน้าตาเป็นยังไง
…นึกกันไม่ค่อยออกใช่ม้า ไม่แปลกนะ เพราะภาพฮ่องกงที่ติดตาคนส่วนใหญ่
คือตึกสูงชะลูดสู่ฟ้า ราวกับเป็นต้นถั่วยักษ์ที่มนุษย์เราสามารถไต่ทะลุขึ้นไปบนสวรรค์ได้ (ด้วยการกดลิฟต์ high zone)
อันที่จริงฮ่องกงมีเกาะแก่งเล็กๆ อยู่รอบนอกแยะพอควร (ภาษาทางการเขาว่า outlying islands)
ส่วนใหญ่เป็นหมู่บ้านชาวประมงเก่าแก่ บางแห่งก็เป็นแหล่งผลิตกะปิ บางแห่งพัฒนาเป็นย่านคนท่องเที่ยว
บางที่มีโรงแรมดีๆ วิวสวยให้ค้างคืนแบบเงียบๆ
ทั้งหมดสามารถนั่งเรือไปเที่ยวแบบเช้าเย็นกลับได้สบายๆ แล้วจะได้เห็นบ้านนอกฮ่องกงอย่างที่บอก
และถ้าจะแนะนำให้ใครสักคนขึ้นเรือตุเลงๆ ออกจากเมืองที่เข้มข้นด้วยผู้คน เพื่อไปยังเกาะไหนสักแห่งล่ะก็…
ข้าเจ้าขอแนะนำ “เกาะลัมมะ”
เหตุผล?
เกาะนี้ใหญ่พอที่จะมีร้านรวง และสถานที่ท่องเที่ยวให้ไม่เบื่อ
ขณะเดียวกันก็เล็กพอที่จะเบรกอารมณ์เลี่ยนตึกสูงๆ ในตัวเมืองได้ชะงัด
ดังนั้นมันจึงเป็นบ้านและสถานที่พักผ่อนวันหยุดของ Expat และชาวฮองกี้หลายๆๆ คน
รวมถึงคนไทยหัวดำ 2 คน (ฉันกะคุณบู)
เกาะลัมมะมีท่าเรือ 2 แห่ง คือท่า Yung Shue Wan (Banyan Bay) (Peir 6) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของเกาะ
กับท่า Sok Kwu Wan (Rainbow Bay) ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออก ทั้งสองท่าไกลกันพอควร
ใช้เวลาเดินจากท่าหนึ่งไปอีกท่าหนึ่งราว 3 ชม. ดังนั้นตอนจะขึ้นเรืออย่าเลือกมั่ว ให้ตัดสินใจเด็ดขาดตั้งแต่ต้น
ไปท่าไหนก็เลือกจากตรง Central Pier ได้เลย เขามีป้ายบอกชัดเจน
ราคาค่าเรือราว HKD24 ใช้เวลาเดินทางราว 45 นาที
ท่า Sok Kwu Wan เหมาะสำหรับ “คนอยากมาเดินชมธรรมชาติและกินอาหารทะเล” …แค่นี้จริงๆ
เพราะนอกเหนือจากนี้คือไม่มีร้านอะไรอื่นแล้ว มีวัดเล็กๆ อยู่หนึ่งแห่ง และแผงขายของทะเลแห้ง (จากไทย) อยู่ไม่กี่เจ้า
ท่าเรือฝั่งนี้ เขามีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่เดินง่าย
ตัดผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ทะเล ขึ้นเขา ลงห้วย ป่ากล้วย ฯลฯ
ใช้เวลาราว 2 ชม. ถนนเส้นนั้นก็จะพาเราวนกลับมายังท่าเรืออีกครั้ง…ในสภาพหิวโซ กินปลากระตักได้ทั้งทะเล
…นี่สินะ…เหตุผลที่มีร้านอาหารทะเลอยู่มากมาย…
ร้านอาหารทะเลที่ว่า จะกระจุกตัวอยู่ริมท่าเรือนั่นเอง
ที่มีชื่อเสียงชื่อ ‘Rainbow Seafood Restaurant’ วิวดีติดทะเล พูดอังกฤษพอไหว
อาหารทะเลสดซิง เพราะพี่เล่นให้เราไปชี้ตัวเอาจากตู้ จะเอามาปิ้งย่าง นึงเผาก็ตามชอบใจ
แต่ที่พลาดไม่ได้คือ “ปลาเก๋านึ่งซีอิ๊ว” เป็นเมนูที่มาฮ่องกงแล้วเราแนะนำให้กินเป็นอันดับ 1 แซงหน้าโจ๊กฮ่องกงอีก
ไปร้านไหน (ที่ดีๆหน่อย) ก็อร่อยสด เนื้อดึ๋งดั๋ง รสหวานเค็ม กลมกล่อมกำลังดี หากินไม่ได้ง่ายๆ ในเมืองไทย
เขามีปลาเก๋าให้เลือกหลายสายพันธุ์มาก (จนงง)
สุดท้ายคุณบูก็ไปหลับหูหลับตาชี้โบ๊ชี้เบ๊เลือกมา (การชี้ตัวปลาแบบนี้ถ้าคนไม่ชิน ก็แอบรู้สึกผิดบาปในใจมะ?)
แต่พนักงานก็จะตอกย้ำความผิดจี๊ดๆ นั้นด้วยการถือถังปลามาหาเราที่โต๊ะ เพื่อยืนยันว่าตัวนี้แน่นะ ที่ลื้อสั่งเมื่อกี๊?
รีบตอบ ค่ะๆๆๆ…ตัวนี้แหละค่ะ พี่รีบเอาไปเข้าครัวเถอะ เดี๋ยวหนูร้องไห้ปล่อยโฮมันตรงนี้แล้วนะ
แต่สิริรวมแล้วสรุปความได้ว่า ถ้าไม่ชอบเดินศึกษาธรรมชาติ…การจะมากินอาหารทะเลอย่างเดียวดูจะไม่คุ้ม
แนะนำให้ไปขึ้นอีกท่าเรือนึงดีกว่า…เชื่อหัวไอ่เอ๋น้อย









ส่วนท่าเรือ Yung Shue Wan จะโป๊งฉึ่งกว่ามาก มีร้านรวง คาเฟ่ ร้านอาหาร แผงลอยให้เดินดูสนุก
(สังเกตลักษณะคำบรรยาย รู้เลยว่า จขบ. ชอบไปท่าเรือไหนมากกว่ากัน)
ออกจากท่าเรือ ก็ตามผู้คนไปตามถนนเส้นเล็กริมทะเลไปเรื่อยๆ
ด่านแรกที่จะเจอคือเมืองขนาดมินิ มีทุกอย่างพร้อมสรรพ ทั้งซูเปอร์ คาเฟ่ ร้านของที่ระลึก
ร้านขายผัก ขายของแห้ง ร้านอาหาร ฯลฯ ใครใคร่หยุดพักผ่อนหย่อนขาก็ตามสบาย
ใครชอบแบบร้านดังแนะนำ Bookworm Cafe เพราะเห็นคนเข้าออกกันจังไม่หยุดหย่อน
แต่ถ้าใครชอบสงบหน่อย แนะนำร้านขายของออร์แกนิกที่อยู่ติดกันเลย (ใช่…เราจำชื่อร้านไม่ได้ #ตลอด!)
หน้าร้านขายทุกสิ่งออร์แกนิก ขณะที่ด้านในมีตู้ขายน้ำสารพัด มีโซฟาดีๆ ให้นั่ง
เราแค่หยิบน้ำไปจ่ายสตางค์ที่เคาน์เตอร์เอง เปิดขวดเอง และหาที่นั่งชิลล์กิ้วกันเอง
มีที่นั่งตรงระเบียงด้านหลังเห็นวิวทะเลด้วย (แนะนำให้ออกเฉพาะช่วงเย็นย่ำ ถ้าไม่อยากกลายเป็นหมึกแดดเดียว)
อีกร้านที่ภูมิใจนำเสนอ คือ Little Elephant อยู่ชั้น 2 ตรงข้ามกับร้านออร์แกนิก
(ไม่ต้องกลัวหาไม่เจอ เพราะถนนมันเส้นเล็กเท่าไม้จิ้มฟัน)
สังเกตป้ายสีชมพูช็อกกิ้งพิงค์ด้านล่าง มันคือร้านเล็กๆ ที่ขายเสื้อผ้าแบรนด์ตัดป้ายราคาไม่แพง
กระเป๋ามูมินเราก็ได้มาจากร้านนี้ มีรองเท้า New Balance สีสวยๆ ให้เลือกหลักสิบคู่
เสื้อแบรนด์เนื้อดีมีแยะอยู่ ขึ้นบันไดเล็กๆ ไปเถอะ ไม่ต้องกลัวจะถูกล่อลวงไปทำมิดีมิร้าย เจ้าของเขาก็อัธยาศัยดี
แผนที่ตำแหน่งของร้านรวงต่างๆ บนเกาะลัมมะที่พูดถึงในบล็อกนี้ คลิกดูได้ที่นี่









ถ้าใครนั่งเรือยังไม่หายเมื่อยก้น สามารถเดินเลี้ยวซ้ายตรงร้านขายผัก ไปบนถนนเส้นเดิมได้
มีร้านรวงและแผงค้าให้ดูตลอดไม่น่าเบื่อ เช่นร้านขนม Fafa House ที่เรายังไม่มีโอกาสลองสักที เพราะไปทีไรก็อิ่มซะ!
เต้าฮวยคุณป้า Kin Hing Ah Por Tofu Dessert ที่คนต่อคิวแน่นตล้อด ตลอด
เขามีขายทั้งร้อนและเย็น อร่อยล้ำนำคุณค่า ราคาไม่แพง ความสกปรกขั้นเทพ (เคล็ดลับความอร่อยมันก็ตรงเนี้ยะ)
เดินผ่านจะรู้เลยว่าใช่ เพราะร้านคนแยะอย่างกับเป็น Tourist Attraction ลำดับต้นๆ ของเกาะ
เดินก่อนถึงหาด จะมีหักซ้ายไปกังหันลม Lamma Winds ซึ่งผลิตไฟฟ้าให้ใช้บนเกาะลัมมะ
การเดิน “ขึ้นเขา” ไปดูกังหันเป็นการออกกำลังกายที่ดีนะ แม้แม่ที่เคยไปด้วยจะแอบบ่นบ้าง แต่แกก็ชอบ เราเองก็ชอบ
เพราะงั้นถ้าไม่เหนื่อยเกินไป ก็ขึ้นไปดูเถอะ สวยดี ทางสะดวก เดินสบาย
พอเดินไปถึงหาด ใครจะเล่นน้ำ ขุดทรายทำเป็นปราสาทก็เชิญตามอัธยาศัย
เขามีห้องน้ำสาธารณะให้ใช้ตรงนั้นเลย แต่ถ้าใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศ
มาพักบนเกาะเล็กๆ ในฮ่องกง น้องวี (จาก Cookie and the Gang) เคยแนะนำรีสอร์ทชื่อ Dayan Petit Resort
ซึ่งเป็น Theme Resort น้องเหมียว Wachifield จากญีปุ่่น เชื่อว่าทาสแมวจะต้องเป็นแฟนเขากันพอควร
ที่นี่มีแพ็คเกจพร้อมอาหารเช้าและค่ำ หรือใครจะเลือกอาหารเช้าอย่างเดียวก็ได้ ศึกษาดูข้อมูลจากเว็บไซต์กันนะ
เราเองก็ย๊ากอยากไป แต่คนบอกว่ายิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งไม่ค่อยได้ไป
http://www.wachifield.com.hk/resort
อีกฟากหนึ่งของหาดไม่ไกลจาก Dayan Petit Resort คือ Herboland
สวนเล็กๆ ที่เจ้าของปลูกสมุนไพรหลากหลายชนิด เพื่อนำมาตากแห้งทำชาออร์แกนิกขายในร้าน!
คือถ้าสวนนี้อยู่ที่เมืองไทยคงไม่ตกใจเท่าไร แต่ฮ่องกงนี่ขึ้นชื่อว่าที่ดินโคตะระมะหาจะแพง
กระทั่งบนเกาะอันห่างไกล (และลัมมะก็เป็นเกาะที่คนอยู่แยะนะ) การสละที่ดินมาทำอะไรแบบนี้ (แม้จะเป็นแค่ที่ผืนเล็ก)
ดูจะได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่ากับราคาของมันเอาซะเลย แสดงว่าเขาต้องชอบและรักทางนี้มากแน่ๆ
สืบไปสืบมา เลยรู้ว่าเจ้าของ (ผู้ชายด้วยนะ!) เป็นศิลปินพวกประติมากรรม งานปั้นอะไรทำนองนั้น
เลยใช้เวลาส่วนหนึ่งมาทำสวน ส่วนหนึ่งทำงานศิลปะ…อา…นี่สินะ วิถีศิลปิน
ว่าแล้วก็เข้าไปสั่งชาเย็นดื่ม ทั้งหมดคือชาสมุนไพร ไม่มีชาแดงใส่นมหรือชาใบเตยไข่มุกขายแน่ๆ
เราเลือกชาใบเตย+ตะไคร้ แบบใส่ความหวานธรรมชาติ (เป็น blend ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต)
ไม่เกิน 5 นาทีพี่เขาก็เสิร์ฟมาแบบเพียวๆ เลยครับ ไม่มีน้ำแข็งละลายความละไมใดๆ ทั้งสิ้น
กรึบ…กรึบ…กรึบ (ควรจะใช้คำว่า อึก อึก อึก มากกว่าเนาะ กรึบนี่เหมือนกินเหล้า)
อร่อยแฮะ! พี่เขาปลูก Stevia หรือพืชที่ให้ความหวาน มาใส่ในชาแทนน้ำตาล รสอาจจะเฝื่อนๆ สำหรับบางคน
แต่เราว่าอรอ่ยดี เลยซื้อแบบซองกลับไปชงต่อที่บ้าน (ซองละ $50)
ที่นี่มีชาจากสมุนไพรในสวนนั่นแหละให้เลือกหลายเบลนด์ และแปลกๆ ทั้งนั้น มีสบู่และต้นไม้ขายด้วย
ปล.เขาไม่ให้ถ่ายรูปในสวน จึงไม่อาจขัดขืนคำสั่งได้ (เดี๋ยวอดกินชา)
ก็ประมาณนี้ สำหรับการมาเที่ยวเกาะลัมมะ จริงๆ แล้วยังมีร้านรวงอีกแยะที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา
ของแบบนี้ต้องมาเดินดูเอานะ สนุกดี เหมือนไปเที่ยวตลาดต่างจังหวัดบ้านเรา (อ้าว แล้วจะชวนคนอื่นเขามาทำไม!)
สำหรับคนที่สนใจร้านรวงต่างๆ ในบล็อก ดูตำแหน่งแห่งที่ของมันได้จาก แผนที่เกาะลัมมะ นี้เลยจ้ะ














เมืองเล็กๆน่ารักดีจัง ^^ น่าไปเดินเล่น
ชิลล์มาก มีทั้งภูเขาและทะเลในเกาะเดียว : )