เที่ยวญี่ปุ่นทริปนี้ เราออกจากโกเบ แวะฮิโรชิม่าเป็นเวลา 2 คืนถ้วน
โรงแรมฮิโรชิม่าที่เลือกชื่อ APA Hotel (อาป้า) เป็นโรงแรมราคาประหยัด ห้องเล็กเท่าพอเบียดกันเดิน
แต่ก็มีทุกอย่างครบครัน เหมาะสำหรับเมืองที่จะออกไปตะลอนๆ ทั้งวันที่สุด
ข้อดีของ APA Hotel Hiroshima
// ห้องพักสะอาดสะอ้าน ไม่มีกลิ่นอับ
// มีไดร์เป่าผม แชมพู สบู่ หวี หมวกอาบน้ำ กาต้มน้ำ ตู้เย็นขนาดเล็ก
// มีผ้าเช็ดตัวให้ 2 เซ็ต ที่สีแตกต่างกันด้วย (ชอบไอเดียนี้มาก! จะได้ไม่ใช้ผ้าผิดผืน)
// มีรองเท้าแตะให้ใส่ มียูกาตะให้เปลี่ยน
// มีตู้ขายน้ำ
// ห้องที่เราพักเห็นวิวแม่น้ำ
ข้อเสีย
// เจอแมงสาปขนาดยักษ์ในห้องน้ำ เช้าวันที่จะเช็กเอาต์ … คิดว่ากรี๊ดแตกไหมจุดนี้??
// ไม่มีน้ำดื่ม
// พนักงานบางคนพูดอังกฤษได้ บางคนเกือบจะไม่ได้

เมืองฮิโรชิม่า
เป็นเมืองราบกว้าง มีตึกสูงให้เห็นบ้างประปราย ด้วยความที่ผังเมืองวางใหม่หลังระเบิดปรมาณู
เมืองเลยยังดูใหม่และเป็นระเบียบพอควรทีเดียว
ฮิโรชิม่าไม่มีรถใต้ดิน มีแค่รถราง (Tram) คิด 160 เยน/เที่ยวภายในตัวเมือง
แต่คนส่วนใหญ่ใช้ “จักรยาน” เป็นพาหนะเดินทางหลักเลย ใช้กันแยะมากๆๆๆ
แถมยังขับซิ่งด้วย ถ้าเดินไม่ดี หรือเปลี่ยนเลนกะทันหัน มีสิทธิ์โดนชนจากด้านหลังได้ง่ายๆ
ดังนั้นเวลาเดินขอให้ทุกท่านพึงระลึกไว้ด้วยความหวังดี
วันที่ไปอากาศเย็นสบายใส่สเวตเตอร์ 1 ตัวกำลังพอดี
ลมพัดหวือหวิว หัวกระจุยเป็นบางจุด ว่าแล้วก็เข้าเรื่อง สถานที่ท่องเที่ยวในฮิโรชิม่า...



Hiroshima Peace Memorial Museum
เกียมใจไว้ละว่าจะต้องเดินหูตูบออกมา แล้วก็เป็นจริงดังว่า…
ที่นี่นำเสนอรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับระเบิดปรมาณูที่เกิดขึ้นในปี 1945 (A-Bomb) ที่ฮิโรชิม่า
ทั้งผู้คนที่ล้มหาย และเจ็บป่วย ลูกระเบิดจำลองขนาดเท่าของจริง (ใหญ่มากอ่ะ) เศษซากอาคาร เสื้อผ้า
กระทั่งเสาที่่คนนั่งอยู่แล้วจู่ๆ ก็ระเบิดลงทำให้ร่างเขาละลายคาที่ จนเหลือเป็นคราบดำทิ้งไว้
มาที่นี่ทำให้เรารู้ว่าหลังจากเกิดปรมาณูแล้ว จะเกิดลมหวนซึ่งจะทำให้เกิดลมแรงทำลายล้างทั้งขาไปและกลับ
จากนั้นราว 20-30 นาที มี Black Rain เกิดซ้ำอี๊ก อันเนื่องมาจากสารเคมีพิษทั้งหลาย
และมวลควัน mushroom clouds ที่พวยพุ่งสู่ท้องฟ้านั่นเอง
ยังค่ะยังไม่พอ…ก่อนออกมีเรื่องราวของซาดาโกะกับนกกระเรียนพันตัวให้อ่านด้วย … อา… กู่ไม่กลับละจิตฉัน
เชื่อว่าทุกคนที่เดินออกมา จะต้องคิดเหมือนกันคือ อย่าให้เกิดสงครามและการใช้ระเบิดนิวเคลียร์
(หรือระเบิดประเภทใดๆ ก็ตาม) อีกเลย มันน่ากลัวจริงๆ
แต่…สิ่งที่ในนี้จงใจลืมนำเสนอ ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมฮิโรชิม่าถึงโดนบอมบ์
ถ้ามองย้อนกลับไปสักนิด ก็จะพบว่าช่วงเวลานั้น ญี่ปุ่นเองก็ออกล่าอาณานิคมยึดประเทศโน้นนี้
อเมริกาจึงตัดสินใจทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิม่า อันเป็นเมืองท่าหลักในการผลิตและส่งอาวุธให้กับญี่ปุ่นทั่วโลก
เพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่สองให้จบสิ้น … และญี่ปุ่นก็ยอมสยบจริงเสียด้วย ทว่าไม่ใช่เพราะ a-bomb อย่างเดียว
ยังมีเหตุผลที่ว่าสถานการณ์ตอนนั้นญี่ปุ่นก็เริ่มง่อนแง่นแล้ว หลังจากเซ็นสัญญาแพ้สงคราม
ญี่ปุ่นก็ไม่เคยมีตะหานและอาวุธอีกเลย กระทั่งดาบซามูไรก็ห้ามทำ แต่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มมีแล้วนะ




Sui Shin Honten
ร้านนี้เลือกเพราะเดินผ่านแล้วคิดว่าน่ากินจัง เป็นร้านข้าวอบและอาหารเซ็ต
มาตอนหลังถึงรู้ว่าเป็นร้านอาหารที่สามารถพาแขกต่างจังหวัด ต่างชาติมากินได้
เพราะมันคือ Hiroshima Cuisine from mountain and sea มีหลายร้าน หลายสาขา
แต่ที่เราไปกินหลักๆ เค้าเป็นข้าวอบ และจัดเป็นเซ็ตน่าทานเชอ มีหลายหน้ามากคือปลาไหล เกาลัค
(เพิ่งรู้ว่าเกาลัคหนามแหลมมาก ยังกะหอยเม่น!) แต่ตอนนี้เป็นหน้าเห็ดสน มัตสึตาเกะ เค้าเลยจัดเซ็ตเห็ดสนเป็นพิเศษ
ด้วยความที่ตอนเช้าเห็นขายเห็ดสนในสถานี 3 ดอก 12,000 เยน แต่เซ็ตนี้แค่ 3,200 เยน เลยขอจัดมา 1!
ส่วนบูสั่งเซ็ตปลาดิบ ซึ่งมปลาปักเป้าเสิร์ฟมาด้วยโดยไม่รู้ตัว ส่วนใหญ่ปลาของที่นี่เป็นปลาเนื้อขาว และมักจะเนื้อแน่น
กัดเข้าไปทีหยึบสู้ฟันสุดๆ คล้ายเคี้ยวเนื้อหมู บูบอกเป็นปลาที่ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อนซะเยอะเลย
ข้าวอบปลาไหลหอมอร่อยจริงๆ ส่วนเราติดใจซุปกาเห็ดสน ซดได้ทั้งกาสบายๆ เลย
คงเพราะอากาศเย็นด้วย พอได้ซดอะไรอุ่นๆ หอมๆ เปรี้ยวนิดหน่อยกลมกล่อมก็เลยแฮปปี้
ข้าวอบเห็ดก็ธรรมดา ตัวเห็ดจะกรึบกรอบมีเท็กซ์เจอร์เหมือนเห็ดโคนบ้านเรา
มะเขือม่วงลูกเล็กๆ ที่ตอนแรกจะยกให้บู ปรากฎอร่อยมากค่ะ เลยกินเองคนเดียวหมด โฮ่ โฮ่ โฮ่



โอโคโนมิยากิ แบบฮิโรชิม่า
เป็นอีกสิ่งที่ต้องลอง เพราะคือของขึ้นชื่อและมีสไตล์เป็นของตัวเอง
(มีโปสการ์ดที่เป็นรูปส่วนประกอบของโอโคโนมิยากินแบบฮิโรชิม่าขายด้วย น่ารักมาก)
แน่ล่ะถ้าคิดจะกินแค่ครั้งเดียว พวกเราเลือก “ตึกโอโคโนมิยากิ” ซึ่งชั้น 2-4 ของตึกจะมีแต่ร้านโอโคโนฯ
มันอยู่ตรงเวิ้งที่เป็นที่จอดรถ และมีกระเบื้องก่อเป็นรูปไพ่ ตรงข้างๆ ห้าง Parco
พอเข้าไปในตึกแล้ว ยากที่ตรัสรู้ว่าร้านไหนอร่อย แต่บูก็ใช้จมูกทรัฟเฟิลดมและเลือกมาจนได้
ส่วนตัวคิดว่ารสชาติคงไม่ต่างกัน เพราะมันคือแป้ง ผัก ไข่ เนื้อสัตว์ ราดด้วยซอสยี่ห้อเดียวกันหมดทุกร้าน (เค้าบังคับ)
คงจะต่างกันที่เทคนิคการทอดและปริมาณมากกว่า เห็นบางร้านตัวพิซซ่าสูงมาก
ส่วนตัวคอนเฟิร์มว่าไม่ชอบโอโคฯ สไตล์ฮิโรชิม่า เพราะมันยัดเอาเส้นยากิโซบะจำนวนมากเข้าไปที่ชั้นบนสุด …จุกอ่ะ!
เราเลยพยายามกินผักและเนื้อสัตว์(ทะเล) จนหมด ส่วนเส้นยากิฉันขอบ๋ายบาย ขณะที่บูกินหมดจนหยดสุดท้าย
ซึ่งจริงๆ คนญป ที่ร่วมร้านเค้าก็กินหมดกันนะ ทำกันได้ไงอ่ะ



Art Museum
ฮิโรชิม่ามี Art Museum หลักๆ อยู่ 2 แห่ง แห่งนี้ตั้งอยู่ในสวนเล็กๆ ใกล้กับ Hiroshima Castle
ขนาดไม่ใหญ่มากมาย ภายในจัดแสดงผลงานศิลปินระดับโลกสลับกับไร้นาม
แต่ก็มีงานชิ้นเอกหลายอยู่ชนิดที่บูอึ้งไปเลยว่ามีได้ไง
(ส่วนตัวเอ๋ไม่ค่อยสันทัดเรื่องศิลปินพวกนี้ เลยกระโดดเหย็งไปมา ฟังบูอธิบาย
แต่สิ่งหนึ่งที่่เห็นก็คือผลงานของปิกัสโซ่ที่เปลี่ยนแปลงแนวทางและรูปแบบไปตามกาลเวลา
วันที่ไปมี Guri and Gura Exhibition ครบรอบ 50 ปี นิทรรศการนี้ต้องจ่ายสตางค์เพิ่มเล็กน้อย
แต่ก็น่ารักมากกกกกกกกกก ตัวเองไม่รู้จักศิลปินคนนี้มาก่อน แต่เหล่าแม่ๆ อาจจะรู้
เพราะหนังสือของเค้าถูกแปลเป็นภาษาไทยด้วยชื่อ กุริ กับ กุระ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าสอนเด็กผ่านหนูนา 2 ตัว
ในนิทรรศการจำลองบางฉากของหนังสือ และมีผลงานต้นฉบับให้ดูหลายตอนทีเดียว
และตอนเดินดูนี้เอง ทำให้ได้ซาบซึ้งความมีวินัยของคนญี่ปุ่นอีกครั้ง … คือพวกเขาเข้าแถวดูภาพกันค่ะ
พอเดินเข้าไปในห้องปุ๊บ และเห็นภาพติดผนังอยู่รอบห้อง พวกเขาก็จะเริ่มดูจากที่ใกล้ตัวที่สุดก่อน
และไม่มีใครแตกแถวเลยสักคนเดียว ยกเว้น….กระเหรี่ยงเอ๋กับบูค่ะ ที่แตกออกมาดูจากแถวซ้อน
เนื่องจากเวลาจำกัด เหลืออีกแค่ 10 นาทีมิวเซียมจะปิด และยังไม่ได้ไปมิวเซียมช็อปเลย
แต่เราไม่ได้เข้าไปแย่งใครดู หรือทำให้ใครเดือดร้อนนะคะ คือการมองจากแถวด้านนอกจะทำให้เห็นไม่ชัดเจน
แต่ก็พออินกับมันได้อยู่นะ
Hiroshima Prefectural Art Museum
มิวเซียมที่นี่จะใหญ่กว่าเมื่อวาน มีงานของ Monet แวนโก๊ะ และอีกหลายศิลปินที่เค้าไปยืมมาจาก Pola Museum
ซึ่งเป็นมิวเซียมกลางป่าในฮาโกเนะ บูบอกมีงานที่เคยเห็นที่อื่นด้วย
ชั้น 3 มีคาเฟ่ Tom Sawyer ซึ่งเราไปนั่งจิบกาแฟ (ธรรมดา) กับครัวซองต์ (มาการีน) และซุปข้าวโพด (คนอร์)
แต่นั่งตรงนี้ดีเพราะวินเทจและเห็นวิวสวนสวยๆ แสงสว่างจ้า นึกภาพคุณแม่บ้านมานั่งเมาท์มอยกันออกเลย
ชั้นสองเป็นศิลปินญี่ปุ่น มีศิลปินแกะงานไม้สวยน่ารัก ตั้งกะต้นศตวรรษที่ 19
ส่วนชั้นล่างเป็นห้องสมุดและมิวเซียมช็อป


สวน Shukkeien
ตัวสวนติดกับมิวเซียม จึงสามารถซื้อตั๋วจากมิวเซียม แล้วเดินทะลุออกทางประตูพิเศษได้เลย
ประตูจะเปิดต่อเมื่อเราสแกนบาร์โค้ดตรงประตูก่อน ช่างเป็นระบบไว้เนื้อเชื่อใจและใช้คนน้อยแสนน้อย
แต่ทรงประสิทธิภาพฝุดๆ บอกเลย
สวนสวยมาก เป็นสวนญปสูงสลับต่ำ มีสะพานแดง ทะเลสาป ต้นสนเข็ม (ทิ่มซะเจ็บ) ปลาคาร์ฟตัวบึ้มจำนวนมาก
ที่สามารถว่ายมาตามเสียงคนได้ มีเก้าอี้ไม้ตัวยาว และเซ็ตปิกนิกตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ มากมาย
ใต้ต้นเมเปิลก็ด้วย เหมาะสำหรับจะพกเอาเบนโตะมานั่งกินกลางวัน จิบชาร้อนๆ กัน ชมใบไม้แดงในฤดูใบไม้ร่วงเป็นที่สุด
บางจุดเป็นป่าไผ่ ไร่ชา(จิ๋ว) ผักสวนครัว ป่าสน ฯลฯ เดินสนุกเย็นสบาย
พวกเราใช้เวลาที่สวนและมิวเซียม รวมๆ แล้วราว 2 ชม 30 นาที




และที่ที่เที่่ยวหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือเกาะมิยาจิม่า Miyajima
ซึ่งขอยกไปเขียนบล็อdใหม่
ชอปปิ้งใน Hiroshima
// มีร้าน Loft
// เสื้อเดินป่า เดินเขายี่ห้อ Montbell ผลิตในย่านนี้ และมีดีไซน์ที่เก๋มากกว่าแบรนด์ฝรั่งมังค่า
ราคาก็ถูกกว่าด้วย คอนเฟิร์มว่าเจ๋งจิงๆ
// ห้าง Parco เดินสนุกมาก ถ้าอยากซื้อเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับ

3 thoughts