หากถามว่าตอน 1 และ 2 อยู่หนใด
สามารถคลิกกลับไปดูได้ที่ Bloggang ซึ่งเขียนไว้ตั้งแต่หลังกลับจากหลวงพระบางใหม่ๆ ตามลิงก์ค่ะ : )
หลวงพระบางตอน 1 ที่พัก Lotus Villa
หลวงพระบางตอน 2 ตลาดเช้า
มรดกโลก
การที่หลวงพระบางถูกยกให้เป็นหนึ่งใน Unesco World Heritage Site
ทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวคึกคัก มีนักท่องเที่ยมาไม่ขาด มีการทำสนามบินใหม่
ขณะที่ตึกสไตล์โคโลเนียลเก่าแก่ในตัวเมือง ก็ได้รับการอนุรักษ์และดูแล
ไม่มีตึกสมัยใหม่ หน้าตาผิดพรรคพวก โผล่ออกมาให้เกะกะสายตา
หลายๆ ตึกสวยมาก บางแห่งก็ถูกดัดแปลงให้เป็นเกสต์เฮาส์ หรือแกลลอรี่
หรือจะพูดให้สั้นกว่านั้นก็คือ…แค่เดินเล่นชมเมืองก็สนุกแล้ว: )
ไปเจอลิงก์นี้มา พบว่าเป็นอะไรที่ทำให้เห็นภาพรวมของหลวงพระบางได้ดียิ่งขึ้น
มันคือแผนที่ของตัวเมืองค่ะ แผนที่ชนิดนี้สามารถหยิบได้ที่สนามบิน หรือถามจากที่พักของเราก็ได้
แผนที่หลวงพระบาง
ด้วยความที่ตัวเมืองไม่ใหญ่มากนัก
ใช้เวลาครึ่งวันก็น่าจะเพียงพอ ถือโอกาสนี้เล็งหาร้านอาหารสำหรับมื้อค่ำเอาไว้ก็ไม่สาย
หรือใครคิดจะปั่นจักรยานก็ได้ น่าสนุกดีเหมือนกัน
ระหว่างเดินชมวิวริมน้ำ เราพบว่า “ศาลาหลวงพระบาง” ก็เป็นที่พักที่น่าสนใจ
สวยและติดริมน้ำด้วย ถ้าใครกำลังวางแผนจะไป ลองเช็กกับทาง Agoda ดูว่า ราคาเป็นอย่างไร
อารมณ์หลวงพระบางเหมือนคนนอนหลับ … คือไม่โฉ่งฉ่าง และเนิบอย่างบอกไม่ถูก
ขนาดถนนที่ว่าคึกคักด้วยร้านรวง ร้านอาหาร และธนาคาร ยังไม่โจ๊ะพรึมพรึมเลย
บ้านหลังนี้อยู่ตรงข้ามกับ Lotus Villa ที่เราพักคืนแรก
สะพานไม้ ฝั่งตรงข้ามกับทางขึ้นภูสี
พระธาตภูสี
เป็นหนึ่งในสถานที่ๆ ทุกคนต้องมา โดยเฉพาะในเวลาเย็น
เพราะสามารถเห็นวิวยามอาทิตย์ตกได้อย่างชัดเจน
รวมถึงเห็นภาพเมืองหลวงพระบางแบบ 360 องศา
ระยะทางการเดินขึ้น ชันแบบเหนื่อยแฮก บางจังหวะหัวใจแทบเต้นออกมานอกอก
…สูงเอาเรื่องเหมือนกันอ่า…
ขึ้นไปกลางทางจะมีโต๊ะเก็บค่าบำรุง 80 บาท /20,000 กีบ
อ่านหนังสือไกด์บุ๊กต่างๆ แล้วน่าไปเหลือเกิน
แต่พอขึ้นไปถึง เห็นความเป็นจริงแล้วแอบตกใจเบาๆ
เพราะคนเยอะแยะมากมาย … จนไม่มีที่จะนั่ง – *-
การจะยืนรอจนกว่าอาทิตย์ตกดิน ก็ดูจะยาวนานเอาการอยู่
แถมวันนั้นไม่รู้บ้านไหนเผาใบไม้ กลิ่นไม้และควันเลยลอยกรุ่นไปทั่วบริเวณ
สุดท้ายเราเลยเดินถ่ายรูป ดูทิวทัศน์รอบๆ แล้วก็เดินลง…ใช้เวลาอยู่บนนั้นประมาณ 20-30 นาทีได้
ไม่ได้ดูอาทิตย์ตกดินที่นี่ ก็คงไม่ถือว่าขาดอะไรไป (มั้ง)
เมื่อมองลงมา
มุมจากยอดภูสี เห็นเลยว่า หลวงพระบางยังเขียวอยู่มาก
ทิวทัศน์อีกฝั่ง
จำนวนผู้คน…
ทุกมุมจริงๆ เราคงไปวันที่คนแยะพอดี
ว่าแล้วก็เดินลงกันดีกว่า…
ตลาดมืด / ถนนคนเดิน
เราเลือกที่จะขึ้นพระธาตุจากฝั่งริมแม่น้ำ เพื่อที่จะลงอีกทางมาเจอกับตลาดเย็น
เห็นเต็นท์สีน้ำเงิน-แดง เรียงตัวกันเป็นแนวยาวตามถนน
ร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการเดินลงเขา เริ่มกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันตา
อา…ได้เวลาดูของน่ารักและงานมือแล้วสินะ : D
ของส่วนใหญ่เป็นงานผ้า มีร้านที่ขายซ้ำกันบ้าง แต่เราไม่ถือ
เดินวนไปกลับ 2 รอบ ได้ของหลายอย่างติดมือ พ่อค้าแม่ขายพูดไทยสบาย
ติดใจแผงหนึ่ง เป็นแผงที่เจ้าของเอาหนังสือมาวางขาย
พอเราซื้อ เขาจะเอาหนังสือเหล่านั้นไปบริจาคให้กับเด็ก และห้องสมุดของโรงเรียนต่างๆ
ถือเป็นธุรกิจที่วินวิน เพราะตัวเขาก็ได้สตางค์ เราก็ได้ทำบุญ เด็กก็ได้หนังสือไปอ่าน
ยิ้มกันถ้วนหน้า… : )
อากาศตอนกลางคืนของหลวงพระบางหนาวเย็นอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นหากติดผ้าคลุมสักผืนไปไม่เป็นการลำบาก ก็ควรทำนะคะ
พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน พ่อค้าแม่ขายเริ่มทยอยกันมาตั้งแผง
เข็มกลัดที่เราถอยกลับบ้านมาหลายอัน เป็นงานปักมือที่น่ารักน่าชังจิง
เสื้อยืดชื่อเมือง มีขายทุกหนแห่ง ทุกหัวเมือง
วัดเชียงทอง
เป็นอีกหนึ่งวัดที่ขาดไม่ได้ในโปรแกรมการเที่ยวหลวงพระบาง
ด้วยศิลปะบนผนังโบสถ์ขนาดเล็กของที่นี่ สวยงามและแปลกตา
ถือเป็นเอกลักษณ์อันเลอค่า เชื้อเชิญให้มาชมด้วยตัวเอง
ดูไปดูมา ก็ละม้ายคล้ายงานปักบนผ้าที่ขายในตลาดมืดเหมือนกัน
คงจะได้แรงบันดาลใจไปจากตรงนั้น … เป็นเอกลักษณ์ดี
ที่นี่ต้องเสียค่าบำรุงเล็กน้อยหลักสิบบาท หากใส่กางเกงขาสั้นจะมีผ้านุ่งให้สวมทับ
นอกจากโบสถ์ขนาดเล็กที่มีศิลปะบนผนังสวยงามแล้ว
ด้านในของโบสถ์ขนาดใหญ่ และขนาดกลาง ให้เข้าชม
ให้ความรู้สึกเหมือนศิลปะของวัดอรุณ ต่างกันตรงที่นี่เหมือนจะทำเป็นเรื่องราว
ขณะที่วัดอรุณบ้านเรา จะตกแต่งเน้นความสวยงาม
พิพิธภัณฑ์ Royal Palace Museum / National Museum
แอบเสียดายที่ไม่มีโอกาสเข้าชม เพราะเราไปถึงตอนปิดช่วงเช้าพอดี (มีเวลาเปิด-ปิด 2 รอบดังภาพค่ะ)
แถมตั้งใจไปในวันสุดท้ายของทริปเสียด้วย…ผลลัพธ์คือ…ชวด T^T
วัดใหม่ (Wat Mai / Wat May)
ถัดจากพิพิธภัณฑ์ไม่ไกล เดินยังไม่ทันเหนื่อย
ก็จะเจอกับวัดสวย เชื้อเชิญให้เดินเข้าชม
ในวัดมีเณรจำนวนมาก จึงเข้าใจว่ามีโรงเรียนด้วย
สืบค้นข้อมูลไปมา พบว่าที่นี่คือวัดที่ใหญ่ที่สุดในหลวงพระบาง
การตกแต่งบนผนังโบสถ์อลังการสวยงาม ทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต
จำได้ว่านั่งด้านนอกโบสถ์ อากาศเย็นสบาย…แล้วหลับ
เอ้ย! ไม่ใช่ มองผนัง และเพดานสวยๆ เพลินอยู่นานสองนานเลยค่ะ
น้ำตกกวางสี
ที่นี่อยู่ห่างจากตัวเมืองหลวงพระบางออกมาประมาณ 45 นาที
พวกเราขอเบอร์แท็กซี่ ที่นั่งจากสนามบินเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน แกชื่อว่า พี่ปาน
ตอนไปต้นปี 2013 เขาคิดราคาค่ารถไป “วัดเชียงทอง + น้ำตกกวางสี” 1,000 บาท
เขาบอกว่า รถสามล้อก็ 800 บาทแล้ว … แหม แต่วัดเชียงทองมันห่างจากที่พักเราแค่ 100 เมตรเอง
ด้วยความที่เราสองคนไม่อยากเช่ามอเตอร์ไซค์ ก็เลยตกลงใจ(ง่ายๆ) ไปกะพี่เค้าล่ะ
(เพราะเจ้าบูขับไม่เป็น คริ คริ คริ…เผาสามีคือความสุขอย่างหนึ่งของเรา)
ด่านแรกเมื่อเข้าไป คือโชว์การให้อาหารหมี ซึ่งจะมีเป็นรอบเวลา
หากใครไปไม่ตรงช่วง ก็ให้เดินเข้าไปที่น้ำตกได้เลย
แต่พวกเราไปก่อนเวลาแค่ 15 นาที ก็เลยจับจองที่ยืนรอ สักพักหมีหิวๆ
ก็จะพากันต้วมเตี้ยมออกมาให้เรา “พบ” … อย่าใช้คำว่า “เห็น” ในกรณีนี้เป็นการดีที่สุด
เหล่าหมีพากันเคี้ยวอาหารกร้วมๆ โชว์ให้มนุษย์ดูเป็นขวัญตา
ก่อนแยกย้ายไปทางใครทางมัน
หมีอิ่ม(พุง) กลับไปนอน … คนอิ่ม(ใจ) เดินต่อไปดูน้ำตก
จุดเด่นของน้ำตกที่นี่คือน้ำสีเหมือนมรกต
แค่เราดูยังอยากกระโดดตุมลงไป (แต่ไม่ได้เตรียมสิ่งใดมาเลย)
ฝรั่งมังค่าจึงมีความสุขกันมาก เดี๋ยวโดดลง แล้วขึ้นมาผึ่งตัว
สักพักโดดลงไปใหม่ …
ทางขึ้นน้ำตก ไม่ว่าจะประเทศไหนก็คล้ายกัน มีร้านอาหาร ร้านของที่ระลึก
แล้วเราสองคนก็เตร่ไปกินน้ำมะพร้าวสด หอมอร่อยชื่นใจ กันคนละ 1 ลูก
หมีจะออกมากินอาหารพร้อมกันทั้งครอบครัว
ทางเดินไปน้ำตก ฝรั่งมังค่ามีถุงสะพายหลังติดมากันทุกคน
…เล่นน้ำกันทู้กกกคน…
ส่วนหนุ่มสาวชาวไทยอสงหน่วยนี้ … ขี้เกียจเปียก และหนาว เลยขอบาย
น้ำสวยใส น่าว่ายแบบนี้เอง ฝรั่งเห็นคงอดใจไม่ไหว
รูปนี้…โฟกัสอยู่หนใด…
ด้านในสุด จะเจอน้ำตกขนาดใหญ่ อันเป็นจุดหมายปลายทางของเรา
คนส่วนใหญ่พักทานอาหารกลางวันกันแถบนี้ เพราะมีโต๊ะเก้าอี้ไม้ให้พร้อมสรรพ
ทางทัวร์เขาเตรียมอาหารกลางวันไว้ให้ลูกทัวร์พร้อมสรรพ
น่ารักอย่างบอกไม่ถูก ตอนเห็นกล้วยน้ำว้าในจาน กะผ้าขาวม้าปูโต๊ะ
อยากให้ตัวเองเป็นลูกทัวร์ขึ้นทันตา
เนื่องจากบุญยังไม่ถึง ไม่ได้จองทัวร์มากับคณะใด
ไม่มีใครเตรียมอาหารให้กิน พวกเราเลยแวะคาเฟ่ของน้ำตก
ที่บอกได้เลยว่า ขนมอบ อร่อยได้เรื่อง คงเพราะหลวงพระบางเคยตกอยู่ใต้อาณานิคมฝรั่งเศส
รับเอาวัฒนธรรมการทำเพสตรี้ดีๆ อร่อยๆ มาไว้ พร้อมภาษาฝรั่งเศส
กลิ่นเนยหอมฉุยตั้งแต่ยังไม่นั่งโต๊ะเลยทีเดียว
มีข้อความสนุกๆ ที่อ่านจากแฟ้มของ Lotus Villa เอามาแชร์ให้ฟัง
1. น้ำก๊อกกินไม่ได้ อย่ารองใส่ขวดไปกินล่ะ
2. อย่าต่อราคาคนลาวมากนักเลย ทุกคนพยายามทำมาหากิน เลี้ยงตัวกันทั้งนั้น
3. ลาวเพิ่งเปิดประเทศต้อนรับ นักท่องเที่ยว ปี 1994 เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าจะมีมาตรฐานสากล
4. อินเทอร์เน็ตในลาวค่อนข้างเฉื่อย ดังนั้นหากไม่เร็วดั่งใจก็อย่าไปโกรธเคืองมันเลย
หลวงพระบางยังมี คาเฟ่ และร้านอาหารน่าสนใจ ที่จะเขียนในตอนที่ 4 ต่อไปค่ะ : )
สวัสดีค่า
โลตัสวิลล่าไกลจากตลาดมืดและตลาดเช้ามากไหมคะ
กำลังลังเลว่าจะพักที่ ศาลาหลวงพระบางจะดีกว่าไหม
ขอบคุณค่า
โลตัสวิลล่าใช้เวลาเดินมาตลาดมืดประมาณ 15 นาทีได้ค่ะ ถ้าปั่นจักรยานก็จะเร็วกว่านั้น ส่วนศาลาหลวงพระบางจะใกล้กว่า น่าจะใช้เวลาเดินสัก 5 นาทีถึงตลาดมืด : )