สวีเดนมีอะไรเที่ยว?
สารภาพตามตรงว่าก่อนหน้าที่จะเดินทางไปสวีเดน เอ๋ไม่รู้จักมักจี่กับประเทศนี้มากนัก เคยได้ยินผ่านหูเกี่ยวกับม้าไม้สวีเดน ชื่นชอบวงดนตรีป็อบร็อคคู่หู Roxette และรู้ว่ามันเป็นประเทศต้นกำเนิดของอิเกีย ที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่สวยที่สุดเมืองหนึ่งในโลก แถมพ่วงศักดิ์ศรีความเป็นกรีนแคปปิตัลด้วยอีกหนึ่งตำแหน่ง แต่เหตุผลหลักๆ ที่เลือกไป เที่ยวสวีเดน ก็เพราะเป็นประเทศที่ทั้งเอ๋และคุณบูไม่เคยไป ไหนๆ ก็ไหนๆ มาทำความรู้จักกับสวีเดน จากที่เราไปพบเห็นเจอะเจอมากัน : )
เมืองแห่งเกาะ
สตอกโฮล์มคือเมืองที่ประกอบไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยมากมาย ดังนั้นนอกจากจะเดินเล่นดูสถาปัตยกรรมในเมืองเก่า ชอปปิงสินค้าดีไซน์ และงานฝีมือสไตล์สแกนดิเนเวียนอันมีเอกลักษณ์และสีสันเฉพาะตัวแล้ว การซื้อตั๋วเรือล่องไปชมความสวยงามของอาร์คิเพลาโก (archipelago) ซึ่งเต็มไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อย ก็ไม่น่าพลาด อย่างบางเกาะเล็กมากขนาดปลูกบ้านได้เพียงหลังเดียวเองอ้ะ! หรือจะเลือกลงเรือไปเกาะ Lovön ชมพระราชวังดรอตต์นิงโฮล์ม (Drottningholm) ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะที่นี่ขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลก แถมชื่อเสียงของสวนขนาดใหญ่ที่ได้รับการออกแบบอย่างสวยงามก็เป็นที่เลื่องลือ ทั้งยังเป็นพระราชวังที่เหล่าราชวงศ์ประทับอยู่จริงในปัจจุบัน
เมืองแห่งพิพิทธภัณฑ์
ในฐานะเมืองที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน สตอกโฮล์มจึงมีพิพิทธภัณฑ์มากมาย ไล่ตั้งแต่พิพิทธภัณฑ์อาวุธ เงินตรา เรือวาซ่า แอบโซลูทวอดก้า Fotographiska Moderna และอื่นๆ อีกกว่า 80 แห่ง เราสามารถเลือกเข้าชมได้ตามชอบใจ บางแห่งเปิดให้เข้าฟรี แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเสียสตางค์ค่าเข้า ดังนั้นการมีบัตร Stockholm Card จะช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายลงไปได้มาก
สิทธิอันเท่าเทียม
ประเทศนี้ให้ความเท่าเทียมกันระหว่างเพศชายและหญิงมีมากจนกะเหรี่ยงอย่างฉันอึ้ง เช่นการที่ผู้ชายสามารถลางานมาเลี้ยงลูกอ่อนได้เหมือนที่ผู้หญิงเราลาคลอด เราจึงเห็นแก๊งค์คุณพ่อเข็นรถพาลูกตัวน้อยไปเที่ยวตามที่ต่างๆ เสมอ เป็นภาพน่ารักไม่คุ้นตา ทำให้บางเวลาเผลอมองเขาอยู่นานสองนานจนเขินตัวเอง “ที่นี่ ผู้หญิงจะจีบผู้ชายก่อนก็ไม่ผิดนะพี่” น้องแอ๋มบอกเรา พร้อมส่งสายตามีเลศนัย ฉันเชียร์เต็มที่ เพราะคนสวีดิชไม่ว่าจะหญิงหรือชาย หน้าตาดีกันหมด!!! รูปร่างก็ดี ขาย๊าว ยาว ตอนเดินเล่นในเมืองปะปนกับคนสวีดิช ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเดินในโรงถ่ายหนังอย่างบอกไม่ถูก
สกุลเงิน
ที่นี่มีหน่วยเป็นเงิน Swedish Krona หรือ SEK หรือ kr เรียกสั้นๆ ว่าโคร์น บางทีเราฟังเป็นคราวน์ ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะคำว่า kronor เทียบเท่ากับคำว่า Crown ในภาษาอังกฤษ แปลว่ามงกุฎนั่นเอง การแลกเงินก่อนมาจะสะดวกกว่ามาก สามารถแลกได้จากธนาคารพาณิชย์ หรือหากแลกจำนวนมาก ไป Superrich จะได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่า
ห้องน้ำ
สิทธิความเท่าเทียมของคนสวีเดนลามมาถึงการใช้ห้องน้ำ กระทั่งในพิพิทธภัณฑ์ขนาดใหญ่บางแห่งก็ไม่มีการแยกห้องน้ำชายหญิงแต่อย่างใด ดังนั้นจงเตรียมตัวเตรียมใจพบเห็นฝาโถชักโครกที่ถูกยกขึ้น และหย่อมความชื้น หย่อมเล็กหย่อมน้อยบนพื้นไว้ให้ดี แต่โดยทั่วไปแล้วห้องน้ำสะอาด มีกระดาษให้พร้อมสรรพ บางแห่งมีอ่างล้างมือขนาดจิ๋วในตัว ห้องน้ำในพิพิทธภัณฑ์เข้าได้ฟรี (แต่เสียค่าเข้าพิพิทธภัณฑ์) นอกนั้นจะเก็บสตางค์ค่าบริการประมาณ 10 SEK กระทั่งในห้างสรรพสินค้า
น้ำดื่ม
บทเรียนแรก จากวันแรกที่มาสตอกโฮล์มของฉันก็คือ “ค่าครองชีพที่นี่แพงเลือดสาด!” กาแฟร้อนอย่างถูกสุดใน 7-eleven ก็ 17-24 SEK เข้าไปแล้ว หากเข้าไปนั่งทานแซนวิชธรรมดาๆ จากร้าน Espresso House ซึ่งเป็นคาเฟ่แบบสาขาที่มีอยู่เกือบทุกหัวถนนก็ประมาณ 85 SEK ต่อคน ดังนั้นหากประหยัดสิ่งใดได้ก็ขอให้จงทำเสีย เช่นการตวงน้ำจากที่พักใส่ขวดพกติดตัวไปดื่มระหว่างวัน ก็จะทุ่นค่าน้ำขวดละประมาณ 17-20 SEK น้ำก๊อกที่นี่สะอาด ปลอดภัย ไร้กลิ่นคลอรีน ดื่มได้สบายบรื๋อ
เครื่องดื่ม
เมื่อน้ำดื่มแพง มีหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลายจะไม่แพงตามไปด้วย สวีเดนไม่มีร้านขายเหล้าเอกชน (หือม์?) เพราะรัฐบาลเป็นคนผูกขาดขายเอง (หา!) ร้านขายเหล้าแบบปลีกของรัฐบาลมีชื่อว่าซิสเตมโบลาเกต (Systembolaget) ซึ่งจะขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากกว่า 3.5% เป็นต้นไป และจะขายให้คนอายุ 20 ปีขึ้นไปเท่านั้น ราคาเครื่องดื่มที่นี่จะถูกที่สุดเมื่อเทียบกับการสั่งตามร้านอาหารหรือบาร์ เหตุผลก็เพื่อควบคุมการขายเครื่องดื่มมึนเมาให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี อย่างจริงจัง ถ้าใครอายุถึงแล้วแต่หน้าเด็ก ก็ต้องแสดงบัตรด้วยนะค้า จะมาโมเมไม่ได้เด็ดขาด โห…คุมเข้มเลย เจ้าบูเล่าว่า สมัยอายุ 15 ปีและเรียนโรงเรียนประจำ เคยปีนรั้วออกไปซื้อเหล้าจากร้านสะดวกซื้อมาดื่มกับเพื่อนๆ เพราะหน้าตาแก่เกินอายุ (กร๊ากก!) นี่ถ้าคุณท่านย้ายมาเรียนที่สวีเดน คงไม่มีโอกาสทำแบบนั้นแน่ เพราะนอกจากร้านเหล้าของรัฐบาลแล้ว ก็ต้องเป็นร้านอาหาร ร้านเหล้าและบาร์ ถึงจะขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ แต่ราคาก็แพงเลือดสาดอย่างที่ว่า แล้วนักเรียนนักศึกษาที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเองล่ะ จะทำยังไง “พวกเราก็จะทุ่นสตางค์ ด้วยการไปพรีปาร์ตี้ก่อนที่บ้านเพื่อนสักคน” สาวแอ๋มเผย พรีปาร์ตี้ (Preparty) ที่ว่า หมายถึงการซื้อเครื่องดื่มมาจากซิสเตมโบลาเกต แล้วรวมกลุ่มดื่มที่บ้านใครสักคนให้กรึ่มเต็มที่ (แต่ไม่ถึงขึ้นเมามาย) จากนั้นค่อยออกไปสังสรรค์กันต่อที่บาร์ ซึ่งจะสั่งเครื่องดื่มแค่ขวดหรือแก้วเดียวเท่านั้น (แต่ปักหลักอยู่กันทั้งคืน) เป็นแนวคิดที่ทุ่นค่าใช้จ่าย แต่ยังได้ความสำราญครบครันจริงๆ
สนามบิน Arlanda อากาศวันไปถึงชิลล์มากก 14 องศา
สนามบิน Arlanda
พอลงจากเครื่อง สิ่งแรกที่ลอยเข้ามาแตะจมูกก็คือ…กลิ่นอิเกีย! (IKEA) พื้นอาคารสนามบินที่นี่ใช้ไม้สนแบบเดียวกับที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ของอิเกียนั่นเอง จึงรู้สึกเหมือนเรากำลังเดินเข้าไปเลือกซื้อของแต่งบ้านอย่างบอกไม่ถูก ทว่าแทนที่จะได้เจอกลุ่มเฟอร์นิเจอร์หรือห้องตัวอย่างงามๆ กลับกลายเป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองซึ่งตั้งกันตั้งแต่หน้างวงเลยทีเดียว เมื่อผ่านด่านแล้ว เราต้องเดินลงบันไดวนลงไปชั้นล่างเพื่อรอรับกระเป๋าจากสายพาน คนไม่พลุกพล่านเพราะที่นี่มีทั้งหมด 6 เทอร์มินัล สายการบินจากเอเชียส่วนใหญ่จะลงที่เทอร์มินัล 5 เหมือนพวกเรา ดังนั้นภาพรวมจึงไม่ค่อยวุ่นวาย
คุณบูซื้อตั๋วจากตู้อัตโนมัติ
มาแว้ววว ตั๋วรถบัสเข้าเมืองของเรา กับบัตร Stockholm Card
เข้าเมือง
หน้าปัดแสดงอุณหภูมิหน้ารถบัสบอกให้รู้ว่า ขณะนี้อุณหภูมิ 14 องศาเซลเซียส
แม่เจ้า…นี่หรือคือหน้าร้อน แถวบ้านฉันเรียกหน้าหนาว!
เนื่องจากตัวสนามบินอาร์ลันดาอยู่ห่างจากเมืองสตอกโฮล์มขึ้นมาทางเหนือประมาณ 45 กม.
วิธีเดินทางเข้าเมืองมีหลากหลาย หนึ่งจะเลือกนั่งแท็กซี่ก็ได้ แต่ราคาแพงลิบเลือดสาด
คือประมาณ 500 SEK (ขอผ่าน!)
เราสองคนเลือกนั่งรถบัสของ Flygbussarna.sp รถจะออกทุกๆ 15 นาที
ในช่วงพีคจะออกทุกๆ 10 นาที ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 40 นาที
ปลายทางมีหลายป้ายตามจุดต่างๆ ของเมือง ราคาตั๋วไป-กลับอยู่ที่ประมาณ 198 SEK/คน
ดังนั้นเก็บตั๋วเที่ยวกลับให้ดีเชียวล่ะ เราสามารถซื้อตั๋วได้จากเคาน์เตอร์ของบริษัท
หรือจากเครื่องขายอัตโนมัติที่สนามบิน รถบัสของบริษัทนี้ใช้น้ำมันคาโนล่าแบบออร์กานิก
ที่ปลูกเองในสวีเดนเสียด้วย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสมศักดิ์ศรีที่เคยได้รางวัลกรีนแคปปิตัลจริงๆ
จริงๆ แล้วมีบริษัทที่ให้บริการรถบัสจากสนามบินสู่ตัวเมืองอยู่สามเจ้า
แต่ละเจ้าจะพาเราไปสู่จุดหมายที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนมาขอให้เช็คกับทางโรงแรม
หรือที่พักให้ดีเสียก่อนว่าเราควรลงที่ป้ายรถเมล์ หรือย่านไหน
เพื่อจะได้เลือกใช้บริการรถบัสได้ถูกต้อง ถ้าอยากแน่ใจก็ถามเจ้าหน้าที่ขายตั๋วอีกที
ว่าจุดหมายปลายทางของเราควรใช้บริษัทรสบัสใดกันแน่
บนรถจะมีตะแกรงเก็บกระเป๋าเดินทางอยู่สองฝั่งด้านหลังคนขับ
เวลาแบกขึ้น-ลง ไม่มีพนักงานช่วยเหลือ กระทั่งคุณป้าค่อนข้างสูงวัย
ยังกระเตงกระเป๋าเดินทางใบบึ้มของตัวเองขึ้นรถเองแข็งขัน
ดังนั้นจงเตรียมเรี่ยวแรงและพลังกายใจให้พร้อม นาทีนี้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
อีกทางเลือกหนึ่งในการเดินทางเข้าสตอกโฮล์มก็คือรถไฟ Arlanda Express
ซึ่งใช้เวลาในการเดินทาง 20 นาทีเป๊ะ รถไฟจะวิ่งระหว่างสนามบินกับ Stockholm Central Station
และออกทุกๆ 10-15 นาที เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ตี 5 ถึงเที่ยงคืนครึ่ง
ค่าโดยสารไป-กลับประมาณ 490 SEK ทั้งนี้ทั้งนั้น
เราสามารถจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าได้ในราคา online only ที่อาจจะถูกกว่าการมาซื้อหน้าเคาน์เตอร์
หรือใครเดินทางมาหลายคนในช่วงวันธรรมดา ราคาก็อาจลดลงไปอีก สามารถเช็คราคาได้ที่ http://www.arlandaexpress.com/fares.aspx
พี่รถบัสหน้าตาแบบนี้เอง มีป้ายบริษัทใคร บริษัทมันให้รอเสร็จสรรพ ด้านหน้าสนามบิน
ตะแกรงเก็บกระเป๋าเดินทาง ด้านหลังคนขับ ไม่มีเปิดข้างรถบัสนะคะ
Tourist info centre แผ่นพับแยะมาก
Tourist information Center
ก่อนเดินทางมา เราจองตั๋ว Stockholm Card ทางออนไลน์เอาไว้
จึงแวะรับที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภายในอาคารผู้โดยสาร
**NOTE ตอนนี้ไม่สามารถรับได้ที่สนามบินแล้ว ต้องไปรับที่ในเมืองค่ะ…
ขอบคุณคุณ Kritsada ที่มาอัพเดตในคอมเมนต์นะคะ**
ถือโอกาสอันดีนี้ไล่เก็บใบปลิว แผ่นพับ โฆษณาและแผนที่ของเมือง ที่มีวางให้เลือกหยิบมๆ
ดูแล้วขวนน้ำลาายสอมากมาย เอาไว้เป็นทางเลือกในการท่องเที่ยวนอกเหนือจากไกด์บุ๊กที่พกติดตัวไปด้วย
เพราะใบปลิวเหล่านี้อาจมีกิจกรรมอัพเดตล่าสุด หรือไม่ก็คูปองส่วนลดต่างๆ ให้ฉีกไปใช้
Stockholm Card
จะบอกว่ามันเป็นบัตรเบ่งตัวแม่ก็คงได้ มีบัตรนี้เสียอย่าง
เข้าได้ทั้งพิพิธภัณฑ์ สถานที่ท่องเที่ยวหลัก โบสถ์สวยๆ
ไม่พอยังเป็นส่วนลดบัตรล่องเรือได้ด้วย ที่สำคัญคือสามารถโดดขึ้น รถเมล์และรถไฟได้แบบบุฟเฟต์
วันละกี่เที่ยวก็ได้ เชิญท่านหลงตามสบายว่างั้น ราคาบัตรขึ้นอยู่กับจำนวนวัน มีให้เลือกแบบ 1 / 2 / 3 / 5 วัน
ยิ่งซื้อแบบเหมาหลายวัน ราคาต่อวันก็จะยิ่งลดลง เรามา 7 วัน
ซื้อบัตรแบบ 5 วัน เฉลี่ยวันละ 190 SEK หรือประมาณเกือบๆ หนึ่งพันบาท
ตั้งใจว่าจะใช้บัตรเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ให้คุ้มค่า แล้ว 2 วันสุดท้ายหลังจากบัตรหมดอายุ
ค่อยเก็บตกใช้วิธีเดินย่ำต๊อกเอา Ref: http://www.visitstockholm.com/en/stockholmcard
ลงจากรถบัสได้ เอ๋ถ่ายรูปหนุกมากเลย ขณะที่คุณบูพยายามหาบ้านพัก >__<
ดิสเพลย์สีสันดึงดูดสายตามาก
ฉันพยายามหาที่พักอยู่นะ … เครียด เครียด เครียด งึมงึมงึม
สิ่งที่คนเอามาทิ้ง รอทางการมาเก็บไป
คนที่นี่ขี่จักรยานกันแยะมาก มีที่จอดน่ารักๆ แบบนี้ด้วย … เห็นแล้วอยากขี่จักรยานขึ้นมาซะงั้น
พอกลับมาถึงรู้ว่า Happy Socks เป็นถุงเท้าที่น่าร้ากกกกก และนุ่มมว้าก! ตอนถ่ายไม่ทันได้คิดอะไร แค่เห็นว่าจักรยานน่ารักดี เสียดายอ่า T^T มารู้จักอีกทีที่สิงคโปร์ เพราะคนนำเข้ามาตั้งแผงขายของใกล้กัน … น่าจะไหวตัวทันให้เร็วกว่านี้ (เหมือนคนนำเข้าที่สิงคโปร์ จะเป็นบริษัทเดียวกับที่เมืองไทยด้วยล่ะ)
กระเป๋าทริปนี้ ขาไป ใหญ่ 1 เล็ก 1 ขากลับ…ไม่นับ!
บ้านลุงซัตย่า
ปากเรียกว่าลุง แต่จริงๆ แล้วคุณซัตย่าอายุแค่สี่สิบต้นเท่านั้น เราไม่รู้จักลุงมาก่อน
ไม่ได้เป็นญาติกับลุง และเพิ่งเจอลุงเป็นครั้งแรกตอนที่มาถึงบ้าน
ท่าทางลุงเหมือนผู้ทรงศีลเพราะมีผมยาวและขมวดเป็นมวยตรงท้ายทอย
รูปร่างผอมโย่งตามอย่างคนสวีดิช แถมยังแต่งกายด้วยชุดขาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
เราเจอว่าลุงปล่อยห้องหนึ่งของอพาร์ตเมนต์ให้เช่าในเว็บ airbnb.com
พิจารณาแล้วพบว่าทำเลที่ตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟ S:t Eriksplan เพียง 5 นาที
หากคิดจะเดินไป Stockholm Central Station ก็แค่ 10 นาที จึงตกลงใจเช่าในราคา 150 USD ต่อคืน
(พิจารณาแล้วว่า ถูกกกว่ารีสอร์ตระดับธรรมดาๆ บ้านเราหลายแห่ง – -“)
อพาร์ทเมนต์ของลุงมีลิฟต์ขนาดเล็กมากให้ใช้งาน เนื่องจากเป็นลิฟต์เก่าแก่
มันจึงเคลื่อนตัวในจังหวะหอยทาก การวิ่งจู๊ดขึ้นบันไดวนที่อยู่ข้างๆ จะถึงห้องเร็วกว่า
แต่ด้วยความที่ตอนนี้เรามีกระเป๋าเดินทางจึงปักหลักรอ “โห..น่ากลัวดีอ่ะ” ฉันสยอง
หลังจากพิจารณาสติกเกอร์ที่ติดเตือนไว้หน้าลิฟท์ มันเป็นรูปคนถูกถังขยะ
ซึ่งวางชิดผนังลิฟท์ด้านที่ไม่มีประตู แล้วพลาดติดขัดจนค้ำคอคนในลิฟท์ซี้แหงแก๋
เนื่องจากลิฟต์ที่นี่เป็นแบบดึงประตูเปิดเอง ด้านในไม่มีประตูกันภัยอีกชั้น
หากไม่ระวังมือไม้หรือกระเป๋าที่ลากมาให้ดี มันอาจไปเกี่ยวกับผนังในลิฟต์
และก่ออุบัติเหตุถึงชีวิตได้
ดังนั้นพวกเราจึงรีบเขยิบเข้าชิดในทันทีที่เข้าไป ในเว็บไซต์ ลุงซัตย่าโฆษณาห้องพักว่า
Bright & Clean ซึ่งห้องจริงสมดั่งคำโฆษณา มันถูกทาด้วยสีขาวโพลนตั้งแต่ผนังไปจนถึงถึงพื้นห้อง
กระทั่งตู้เสื้อผ้าก็ยังขาว ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้รู้สึกเยือกเย็น แม้สีสันเดียวที่ถูกนำมาตกแต่ง
คืองานศิลปะรูปบ้านที่ประดับด้วยลูกปัดพลาสติกสีสด แบบเดียวกับที่ลุงใช้ตกแต่ง
Love Stick Figure ซึ่งเป็นผลงานศิลปะที่สร้างชื่อเสียงให้กับลุงจนได้ออกสื่อท้องถิ่นมาแล้ว
(เห็นจากหนังสือพิมพ์ที่ถูกตัดแปะตู้เย็นในห้องครัว) เรามองว่าลุงเป็นคนน่าสนใจ ติดจะแปลก
ละม้ายคล้ายฮิปปี้หน่อยๆ เฮ้วเล็กน้อยปนสุขุม อันที่จริงห้องของลุงมี 2 ห้องนอน
เป็นห้องส่วนตัว 1 ห้อง แบ่งอีกห้องให้นักท่องเที่ยวเช่า เราต้องแชร์ห้องน้ำ
และห้องครัวร่วมกัน ลุงจะเตรียมกระดาษไว้ให้ในห้องน้ำ ส่วนครัวหากจะใช้ก็ได้
ลุงบอกว่าจะหยิบนมหรือผลไม้ไปกินก็ไม่มีปัญหา แต่พวกเราก็ไม่ได้กินนะ เกรงใจ – -”
พักกับลุงค่อนข้างสบาย เพราะลุงจะตื่นไปนั่งสมาธิแต่เช้าตรู่ เลยไม่ต้องแย่งห้องน้ำกัน
แถมชอบกลับดึกด้วย เลยยิ่งสบายไปใหญ่ เท่าที่อยู่เจอหน้าลุงแค่ไม่กี่ครั้ง
ส่วนนึงเพราะเราออกตะลอนทัวร์ทุกวันก็คงใช่ ตอนเราสองไปถึง
คุณป้าจากเยอรมันสองคนที่เช่าห้องในคืนก่อนหน้ากำลังจะเตรียมตัวออก
จึงทักทายกันพอหอมปากหอมคอ เมื่อคนหนึ่งรู้ว่าเจ้าบูพอพูดภาษาเยอรมันได้ก็รัวใส่แบบไม่ยั้ง
ขารับจึงต้องอึ้งไปอย่างไร้ทางเลี่ยง เพราะสนิทเกรอะไปหมดแล้ว
นี่แหละหนอเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของการพักอาศัยตามบ้านคน มันทำให้เราผูกมิตรกับคนง่ายขึ้น
ได้รู้จักคนน่ารักๆ เพิ่มขึ้น และเมื่อต้องการข้อมูลอินไซด์
อย่างเช่นร้านอาหารเช้าที่ควรจะไปกินหลังจากวางกระเป๋า และล้างหน้าแปรงฟัน
ให้ฉันได้กลับร่างเป็นคนอีกครั้ง “ไปร้านเมลล์ควิสต์สิ (MellQvist)”
ลุงซัตย่าที่ถลกผ้าปูและผ้าห่มที่ใช้แล้วออกจากเตียงเรียบร้อย กำลังจะหอบลงไปซักหันมาบอก
คุณป้าเยอรมันทั้งสองได้ยินรีบสนับสนุน บอกว่าของเค้าเด็ดจริงไรจริงนะหลาน
ดังนั้นแน่นอนว่า คน “เรื่องกินเรื่องใหญ่” อย่างพวกฉันหรือจะพลาด… โปรดติดตามตอน 2 ค่ะ : )
ป้ายเตือนด้านหน้าลิฟต์ สยองสยดดีแท้
Love Stick Figure ที่คุณลุงสร้างเอง ออกแบบเอง
,
นั่นละคือห้องเรา ขาวๆ โพลนๆ ไม่มีอะไร มีตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ 1 โต๊ะวางของ 1
โต๊ะโชว์ของ 1 หน้าต่าง 1 บาน นอกนั้นพื้นบ้านก็สีขาวสะอาด แต่ห้องกว้างใช้ได้ วางกระเป๋า 2 ใบไม่เกะกะเลย
ผมสงสัยว่าที่เช่าห้องราคาร้อยห้าสิบดอลลาร์นั้นแค่ห้องนึงแต่สามารถใช้ครัวร่วมห้องน้ำร่วมรึเปล่าครับ ถ้าใช่ถือว่าน่าสนใจมากเพราะอยากจะซื้ออพาร์ตเมนท์แล้วทำแบบนี้เหมือนกัน ถือว่าเป็นการลงทุนที่น่าสนใจแต่คงไม่ใช่ที่สตอคโฮล์ม ผมเคยไปพักยูธโฮสเทลที่ใจกลางกามล่าตสตาน ห่างจากโบสถ์ทิสก่าชีคกาน(โบสถ์เยอรมัน)ราคาก็ปาไปแล้วแปดร้อยโครนต่อคืนแถมห้องน้ำรวมครัวรวมด้วย
ถ้ามีโอกาสแวะมาทางตอนใต้ติดต่อมาได้นะครับมีที่พักให้ฟรี
ขอบคุณค่ะมาก : ) ดีใจที่ทักเรื่องนี้เพราะเอ๋ก็ลืมเขียนไว้
ห้องนี้ใช้ครัวและห้องน้ำรวมกับเจ้าของค่ะ
ครัวเป็นแบบทั่วไปคือจะยาวๆ มีหน้าต่างบานเดียว ไม่เล็กไม่ใหญ่ ส่วนห้องน้ำก็จะเล็กหน่อย อ่างอาบน้ำไซส์ครึ่งนึงของบ้านเราเอง น่ารักดี เจ้าของจะเตรียมพวกทิชชู่อะไรไว้ให้ค่ะ ของในตู้เย็นเค้าก็บอกว่าทานได้ (นม ผลไม้)
น่าสนใจนะคะที่จะทำ ถ้าหาซื้อห้องที่คนพักเดินทางดวก แล้วแต่งให้สะอาดน่าอยู่ หลังๆ ไปยุโรป พวกเราก็จะหาห้องจาก airbnb ตลอดเลยค่ะ เพราะสนุกดี ราคาไม่แพงมากด้วย ส่วนใหญ่เจ้าของจะชอบแชร์ข้อมูลอะไรต่ออะไรให้เรารู้ ถ้าคนไหนไม่อยู่ เขาก็จะเขียนใส่แฟ้มไว้ให้อ่าน และขอบคุณนะคะที่ชวน ถ้าได้ไปอีกจะเขียนไปหาค่ะ : )
รับ stockholm card ที่สนามบินได้เลยใช่ไหมคะ เเล้วบัตรนี้มีรถไฟจากสนามบินเช้าตัวเมืองไหมคะ ขอบคุณค่ะ
รับที่สนามบินได้เลยค่ะ ที่ tourist information counter นะคะ
บัตรนี้เข้าใจว่าใช้นั่งรถไฟ arlanda express จากสนามบินฟรีไม่ได้ อาจจะต้องจ่ายสตางค์เพิ่มนะคะ ลองอ่านรายละเอียดดูนะ : ) http://www.visitstockholm.com/en/Stockholmcard/
มีคนมาอัพเดตนะคะว่าตอนนี้รับที่สนามบินไม่ได้แล้ว ต้องเข้าไปรับในเมืองค่ะ : )
รับ stockholm card ที่สนามบินไม่ได้แล้วครับ ต้องเข้าไปรับในเมือง
ขอบคุณมากนะคะที่อัพเดต : )
จะเดินทางต้นเดือนกย.58นี้ ขอบคุณมากๆค่ะ