เป็นวันช้อปปิ้งโดยไม่ตั้งใจ…
จะไปหา Nathalie Lete ที่สตูเค้าเพื่อช้อปปิ้ง รู้จักศิลปินคนนี้มาตั้งแต่ขายเทป mt และก็ซื้องานเค้าจำพวกเครื่องเขียนหรือโปสการ์ดมาตลอด สีสันสดใสดี บางรูปก็ครีปปี้ แต่ส่วนใหญ่น่ารัก พอเห็นในไอจีว่าเค้าจะเปิดสตูฯ เพื่อขายของเฉพาะช่วงคริสมาสต์ เราก็รีบส่งข้อความไปหาทันที เค้าบอกวิธีไปสตูฯ และส่งรหัสเปิดประตูมาให้ ตบท้ายว่าขอรับแต่เงินสดไม่รับบัตร
บูหันมาบอกว่ามีเงินสด 400 ยูโร นะ
เราก็โอ๊ย ซื้อไม่ถึงหรอก ใครจะไปช้อปมากมายขนาดนั้น มีแต่ของจุกจิก
ปรากฏบิลออกมา 430 ยูโร
เอิ่ม….ควานหาเศษกันให้ขวั่กข่ะ!!
ที่สำคัญคือยังมีอะไรอยากได้อีกเยอะเลยอ่ะ ไม่น่าเชื่อว่าจะถึงอะ งงเหมือนกัน
แต่คุณนาตาลีมาขายเองเลยนะ ไม่มีโอกาสแบบนี้ในชีวิตแล้วนะคุลลลล ซื้อเหอะน่านะ!

จากบ้านเราไปสตูฯ ไม่นานมาก นั่งรถไฟต่อเดียวสองสถานี เดินอีกราว 10 นาที
สตูฯเค้าเหมือนอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ เค้าให้โค้ดประตูมา เปิดเข้าไปแล้วอู้อ้าเลยอะ เพราะบรรยากาศน่าอยู่มากกกก เป็นเหมือนโฮมสตูฯ ที่ร่มรื่นแม้ในฤดูหนาว มีระเบียบ งามตา แค่เดินเข้าไปก็แฮปปี้แล้ว เค้าอยู่สตูฯ ในสุด ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ของเยอะแยะมากๆๆๆๆๆๆๆ รกไปทุกหนแห่ง(ขนาดว่าจัดเป็นระเบียบเพื่อการช้อปปิ้งแล้ว) น่าคุ้ยค้นที่สุด โชคดีเจ้าหมีไม่ได้ป่วนอะไรมาก ด๊าประคับประคองอยู่และพยายามให้มีกิจกรรมเช่นเอาของไปใส่บาสเก็ตให้มี้ที นางก็จะวิ่งมารับของแล้วเอาไปใส่บาสเก็ตให้ แต่ที่เด็ดคือนางหยิบของใส่แบบไม่บอกมี้อีกตะหาก เจ้าหมี!
ใช้เวลาช้อปราวครึ่งชม.ได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะจ่ายไปเยอะขนาดนั้น
ได้ถ่ายรูปกะ Nathalie แล้ว ปลื้มปริ่ม เอาเจ้าหมีไปถ่ายด้วย

เดินตัวเบากลับมาสถานี เพื่อขึ้นรถไฟไปลูฟวร์ เสียวก็เสียวกลัวรถไฟไม่วิ่งตอนเย็นแล้วจะกลับบ้านไม่ได้ เพราะเริ่มมีการสไตร์กกันวันนี้ แต่ก็ช่างเหอะ…ไว้ให้ด๊าคิดทีหลัง ไปก่อนละ
ก่อนเข้าลูฟวร์ แวะกินข้าวกลางวันร้าน Le Fumoir ซึ่งดูจากบรรยากาศแล้วเริดหรูปูย่างพอควร เป็นร้านที่เพื่อนบูผู้นิยมการกินของอร่อยแนะนำมา โชคดึร้านไม่เงียบ พอให้เจ้าหมีเข้าไปโวยวายได้ เรามาที่นี่เพราะอยู่ใกล้มิวเซียม กินเสร็จจะได้พุ่งตัวเข้าลูฟวร์เลย
สั่งพาสต้าทรัฟเฟิลชีสฝรั่งเศสเหม็นฉึ่ง แต่เข้าปากแล้วอรอ่ยโคตๆ กับปลาค็อดบนแพผักย่าง และซุปเลนทิลมากิน คืออร่อยมาก กินกันแบบโฮกๆ มาก หมีก็กินไปพอควรและไม่งอแงใดๆ ตลอดมื้อ

กินเสร็จรีบพาไปลูฟวร์ทันที กะว่าให้หมีเดินแป๊บนึงถึงจะจับใส่รถเข็นเพื่อให้แนป ปรากฏว่าหมีเดินเยอะทีเดียว ขึ้นบันไดเอยอะไรเลย ดูโซนของเจ้านโปเลียนที่ 3 จนหมด ดูอีกสองสามโซนก็ยังไม่ยอมหลับ แต่ก็ไม่ได้งอแงอะไร ปล่อยให้เดินต่อไป จนถึงห้องโมนาลิซ่าเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปมาก และตาหมีก็เชื่อมแล้ว ตัดสินใจบอกหมีว่าให้มาแนปบนไหล่มามีไหม นางก็ยอมให้อุ้มโดยมีผ้านุ่มนิ่มพาดไหล่ ปล่อยให้บูเข้าคาเฟ่ของมิวเซียมไปหาซื้อน้ำกับสแน็คไว้ตอนหมีตื่น ส่วนเราเดินเข้าไปในห้องรูปที่สลัวๆ เอื้อต่อการหลับ ไม่เกิน 5 นาทีก็หลับปุ๋ย แนปไปชม.นิดๆ ทำให้อิพ่ออิแม่ได้เดินดูงานในลูฟวร์แบบสบายๆ หน่อย เย้!
ตอนแรกนึกว่าลูฟวร์จะใหญ่กว่านี้ ไม่รู้ทำไมเดินแป๊บๆ ก็เหมือนไม่มีอะไรให้ดูแล้ว ด้วยความที่มันออกแนวยาวอะเนาะ ทำให้บางทีเหมือนจะเดินให้ครบยาก เลยให้ความรู้สึกว่าใหญ่ อีกอย่างถ้าใครเคยเดิน V&A มาก็อาจจะคิดเหมือนเรา เพราะ V&A มันใหญ่ม๊าก
ให้จองเวลาเข้ามิวเซียมทางออนไลน์ก่อน เพราะเค้าจะกำหนดเป็นช่วงเวลาเพื่อไม่ให้คนแน่นเกินไป เราไปถึงก็ได้เข้าทันที ส่วนถ้าใครจะเข้าดูโมนาลิซ่าก็ต้องต่อคิวในนั้นอีกที ซึ่งจะว่าไปก็ไม่น่านาน มันไม่ได้ล้นหลามอะไรขนาดนั้น และห้องก็ใหญ่ ใครไม่รีบก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเวลามาก
ว่าแล้วก็ออกกันมาดีกว่า เหลือโซนอียิปต์ไม่ได้เข้าไปแต่พวกเราดูมัมมี่อะไรกันมาเยอะมาก อื่นๆ ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร พาหมีออกไปข้างนอกดีกว่านางจะได้ไม่ตื่นง่ายๆ














เดินด๊อกแด๊กข้ามฝั่งถนนไปแค่ไม่ถึง 5 นาที ก็ถึงมิวเซียมเล็กๆ ชื่อ muse des arts decoratifs
เป็นมิวเซียมเล็กที่ลิฟท์เยอะมาก คนเอาบั๊กกี้มาจะสบายทีเดียว มีพวกงานออกแบบ ของแต่งบ้านแบบคละยุค เดินดูสนุกดีเหมือนกันนะ ที่สำคัญคือมิวเซียมชอป ช้อปสนุก 55555 หมีตื่นตอนท้ายๆ เลยไม่ได้ไปดูโซนเสื้อผ้า เสียดายนิดๆ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญกว่าความสุขของหมีหรอก








เอาเลมอนเค้กที่ซื้อจากลูฟวร์มาป้อนครอบครัวหมี แป๊บๆ หมดเกลี้ยง
เดินจากลูฟวร์ไปร้านลิตเติลปริ๊นซ์ เป็นร้านเล็กๆ ขายของแพงเชียว ได้ของเล็กมาสองสามชิ้น แล้วก็ที่วัดความสูงเจ้าหมีที่มองหามาพักนึงแล้ว สบโอกาสจึงจัดเลยค่ะ
ถนนเส้นนี้มีร้านน่าช้อปเยอะเลย มีร้านกิ๊บลี่ด้วย หมีเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกะพี่โตโต้อยู่นานมาก (นางรู้จักโตโต้ เพราะพี่แอนให้เป็นของขวัญมาตัวนึง และพี่แอมมี่ให้พวงกุญแจมาอันนึงซึ่งเราใช้อยู่ทุกวันนี้) ชวนออกจากร้านเท่าไรก็ไม่ยอม เกรงใจเค้ามากฮืออ…
สักพักผ่านร้าน Sabre กรี๊ด จึงพุ่งร่างเข้าไป ได้ช้อนส้อมมีดขนมปังมา 2 คู่ เป็นจุดอ่อนของอิแม่มาก อยากได้หลายสิ่งแต่ติดที่ว่าชิ้นนึงราคาไม่ถูกเท่าไร (แต่ที่ซื้อจากอิตาลีมาก็ยังใช้ได้ดีเลยนะ งานดีมากๆ ใช้กับเครื่องล้างจานลายยังไม่ลอกไม่เลือนเลยจ้ะ โฆษณาให้จัดหามาใช้นะถ้าชอบช้อนส้อมน่ารัก)
ออกจากร้านบูบอกนี่วันช้อปใหญ่ของเอ๋น้อยนะ ตั้งแต่เช้ายังไม่หยุดช้อปเลย 5555
(หัวเราะกลบเกลื่อน)
ด้วยความที่อยากลองอาหารทะเลแบบเย็นดูบ้าง บูหาและจองร้านเล็กๆ ที่คนพูดกันว่าอร่อย แต่แค่เข้าร้านก็เริ่มละ เพราะเก้าอี้เป็นแบบโซฟาสูง นั่งยากมากกลัวเจ้าหมีตก ตามด้วยเจ้าหมีไม่ยอมกินอาหารทะเลเย็น ไม่รู้เพราะไม่เคยกินหรือไม่ชอบ ความป่วนจึงบังเกิด สุดท้ายต้องแคนเซิลซุปเพราะนางเริ่มจะปีนลงโซฟา และถ้านางร้องเสียงดังขึ้นมามันวุ่นวายในร้านเล็กๆ แบบนี้
แต่ออยสเตอร์เค้าก็อร่อยมากๆ ถึงจะตัวใหญ่แต่ไม่คาวเลย อาหารอื่นๆ เราเฉยๆ เพราะจิตใจตอนนั้นปั่นป่วนกลัวเจ้าหมีตกเก้าอี้จ้ะ!
อิแม่หิวอะ เพราะกินไปน้อย จึงกลับมากินมาม่าที่บ้านตอนหมีหลับแล้ว (ชีวิตมนุษย์แม่) แต่ดีอย่างพอหมีกลับถึงบ้านแล้วไม่ป่วน เล่นปกติ ยอมพีพีก่อนนอน
โชคดีแม้สไตร์คจะเริ่ม แต่รถไฟยังวิ่งอยู่ (รอด ไม่ต้องเดิน 45 นาทีกลับบ้านท่ามกลางอากาศหนาวโฮก) พรุ่งนี้เห็นบอกว่ารถไฟจะวิ่งน้อยลง แต่มะรืนเสาร์-อา จะยิ่งวิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ คงเดินเที่ยวกันแถวๆ นี้แหละ ไหนๆ เมโทรพาสก็จะหมดอายุแล้ว
ช่วงนี้หมีเริ่มพูด 2 คำติดต่อกันได้แล้ว ตอบโต้แบบรู้เรื่อง เลือกได้ว่าจะเดินหรือนั่งบักกี้ ชอบอ่านหนังสือบนรถไฟ เออ คุณนาตาลีแถมหนังสือมาให้เล่มนึง ซึ่งเป็นหนังสือช่วยชีวิตมาก เพราะหมีติดเปิดเล่นกลไกข้างในมาก เอาไว้บนรถไฟนี่คือฆ่าเวลาได้เป็นนาน แถมภาพก็สวย ให้หมีได้เห็นงานศิลปะแจ่มๆ แบบนี้แต่เด็กดีจัง คือตอนแรกเราไม่ได้มองหนังสือเลยเพราะคิดว่ามัเนป็นภาษาฝรั่งเศส แต่เอาเข้าจริงเล่นกลไกกะดูรูปก็คุ้มแล้ว
เป็นอีกวันที่แฮปปี้มาก แม้จะจบด้วยการกินมาม่า