โชคดีตอนนี้หมีกลับสู่โหมดเกือบจะปกติ มีน้ำมูกนี้ดดเดียว ไข้ลดละ แต่เสียงยังขึ้นจมูกเหมือนคนเป็นหวัด…เที่ยวแล้วลูกป่วยนี่เป็นอะไรที่เปลี้ยทั้งจิตและร่างกาย
แต่ก็ต้องเที่ยวต่อไป!
เริ่มวันเช้าด้วยอาหารแบบเดิมคือขนมปัง เนย แยม หมีคงเบื่อและล่ะ เริ่มไม่ค่อยกิน แต่อิพ่ออิแม่กินเพื่ออยู่ กาแฟยังลงไปเอาข้างล่างเหมือนเดิม
เช้านี้นั่งรถไฟ 40 นาทีไป science museum ซึ่งเด็กมาทัศนศึกษากันเยอะม๊าก มันมีสองชั้น คือชั้นล่าง กับชั้น 1
ชั้นล่างตรง play area จะกำหนด session ให้เล่นได้คราวละชม.ครึ่ง เราไปสายครึ่งชม. แต่คิดว่าให้หมีเล่นชม.เดียวก็พอแล้วล่ะ หมดเวลาก็ข้าวกลางวันพอดี
คำเดียวเลย “ดีมากๆ” หมีนางสนุกมาก วิ่งไม่หยุด วิ่งไม่เบื่อ ทุกสิ่งทุกอย่างดูน่าสนใจไปหมด เค้าออกแบบมาให้เด็กได้สนุกกับอะไรใหม่ๆ โดยการใช้ประสาทสัมผัสทุกด้าน เป็นอะไรที่แนะนำมากสำหรับลูกเด็กเล็กแดง ยิ่งโตก็จะยิ่งได้ความรู้มากไปอีก มีโซนน้ำที่แน่นอนว่าหมีเปียกแฉะแม้มี้จะใส่ผ้ากันเปื้อนให้แล้วก็ตาม
และเด็กก็เยอะมาก ต้องคอยระวังให้ตลอด ไม่งั้นอาจโดนเหยยีบแบนแต๊ดแต๋ได้ เพราะเป็นเด็ก 4-5 ขวบที่มาทัศนศึกษาซะส่วนใหญ่
เห็นหมีมีสุข ด๊ากะมี้ก็ยิ่งสุข กินเยอะๆ นะ ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว กินมันในมิวเซียมนั่นแหละ อยู่ที่ชั้น -2
ร้านอาหารตั้งอยู่ในมุมอับชนิดคงไม่มีใครบังเอิญเดินผ่าน แต่ก็เป็นกิจจะทีเดียว มีบ่อปลาให้ดู มีห้องน้ำเสร็จสรรพ อาหารโอเค บูสั่งวีลราดบนข้าวซึ่งอร่อยมาก ส่วน skirt steak ของเราเหนียวนิดหน่อยแต่รสชาติไม่ได้แย่อะไรเลย ราคาอาหารรวมแล้วราว 50 กว่ายูโร (หมีแชร์กับพวกเรา)
กินเสร็จพาขึ้นไปเล่นบนชั้น 2 ต่อ เป็นโซนที่ไม่มีกำหนดเวลา เด็กๆ เข้ามาแบบหลั่งไหลมาก จุดนึงหมีร้องไห้โฮมาหามี้ ไม่แน่ใจว่าโดนเด็กโตกระแทกหรือเอาหน้าไปกระแทกของแข็งมา ก็ปลอบ เบี่ยงเบนความสนใจ จากนั้นอิแม่ก็ตามประกบ เพราะบางทีเราปล่อยให้เค้าวิ่งไปเราก็พักบ้างไรบ้าง อาจจะโดนเด็กโตที่ไม่เอ็นดูเด็กเล็กกระทบกระทั่งได้ รู้ว่าไม่ตั้งใจล่ะ แต่ก็ตามไปเซฟก่อน
โซนนี้ก็เนอะไรที่สนุกไม่แพ้กัน ของน้อยกว่า เน้นประสาทสัมผัสที่แตกต่าง เล่นไปสักพักพอให้อาหารย่อย เราก็พากันออกจากมิวเซียม ไม่นานเท่าไรหมีหลับคอพับคออ่อน
















แบกรถเข็นลงรถไฟกันอีกละ
บัตร metro pass เสียใบนึง เลยเอาไปเปลี่ยน ระหว่างบูรอคิว เราไม่มีอะไรทำ ก็มองไปที่เกตทางเข้า ยืนดู 5 นาทีมีคนแอบเข้าสถานีแบบไม่เสียตังราว 3 คนได้ ทั้งที่เค้ามีทั้งไม้กั้นและประตูกั้นสองชั้นเลยนะเว้ยเฮ้ย! มีทั้งบีบตัวผ่านช่องแคบมาก หรือไม่ก็เดินซ้อนกันสองคนผ่านไม้กั้นกับประตูเข้าไป คือเรื่องแบบนี้กั้นเท่าไร ถ้าจิตใจคนมัน… ก็ห้ามไม่ได้ เราว่าค่ารถไฟที่ปารีสนี่ไม่ได้แพงโฉดเหมือนในลอนดอนนะ เพราะพาสหารแล้ววันนึงตกแค่ไม่เกิน 4 ยูโรเอง
เราเอามาตรฐานตัวเราไปบอกกับคนพวกนี้คงไม่มีผล…
ทำให้นึกถึงตอนไปนอร์เวย์กะฟินแลนด์ที่ไม่มีไม้กั้นใดๆ ทั้งสิ้น (กะเหรี่ยงยังช็อก) คนเดินกรูเข้าออกแบบฟรีบี้มาก เราก็ไม่รู้หรอกว่าใครโกงรึเปล่า เค้าคงมีคนตรวจบนรถไฟแหละ แต่เราว่าเปอร์เซ็นต์คนโกงน้อย เพราะโทษปรับคงมหันต์มาก
ยังคงย้ำเตือนว่า metro ปารีสไม่บักกี้เฟรนด์ลี่เลย! บูหลังแทบจะเดาะจากการหอบรถเข็นขึ้นลงบันไดหลายรอบต่อวัน สถานีใต้ดินไม่มีลิฟท์เลย ถ้าสถานีรถบนดินยังพอมีบ้าง (ใหม่ๆ)สถานีใต้ดินไหนเจอบันไดเลื่อนนี่ น้ำตาแทบจะไหลเป็นสายด้วยความปลาบปลื้ม




พอหมีหลับก็กะว่าจะไปเดินเล่นในมิวเซียมนี้ เพราะเดินผ่านพอดี แต่พอตรวจบัตรเสร็จ ยังไม่ทันได้ดูอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว เจ๊คนตรวจพูดไรไม่รู้เสียงดัง…หมีตื่น และไม่กลับไปหลับอีกเลยทั้งที่ยังหลับไม่ถึงชม. ปกตินอนพอแล้วตื่นจะเงียบๆ แต่นี่บอกว่า “ไม่เอาๆ” ร้องงอแง บูพยายามพาออกไปเดินให้หลับต่อ ก็ไม่เป็นผล
บางทีก็ไม่รู้จะโทษอะไรดี เลยพากันเดินไปเรื่อยๆ หมีก็ตาแป๋วๆ ไป
ไปปิกัสโซ่มิวเซียม … รอด
แบบครียดนิดๆ กร๊าก
เพราะมิวเซียมเงียบมาก แค่หมีพูดปกติก็ดังแล้วอะ เอากล้วยให้หมีกินเพื่อให้มีความสงบสันติขึ้น พนักงานก็มาบอกว่ากินอาหารในนี้ไม่ได้ (แต่เค้าสุภาพและน่ารักมาก บอกว่านั่งกินแถวนี้ให้หมดก่อนแล้วค่อยเดินต่อได้ เราก็ปฎิบัติตามแต่โดยดี) เราก็ดูเจ้าหมีไป อย่างน้อยได้ปล่อยให้บูได้ดูงานบ้างแบบผ่านๆ ก็ยังดี ในนี้ไม่ได้มีรูปใหญ่ๆ ดังๆ อะไรนะ คิดว่าพวกนั้นคงไปอยู่ตามมิวเซียมใหญ่ๆ ดังๆ หมดแล้วล่ะ เหมือนตอนเราไปมิวเซียมทวดม้งอะ งานดังๆ ไม่ได้อยู่มิวเซียมตัวเองหรอก






ออกเดินต่อ ผ่านเห็นน่ากินเลยแวะกินขนม ช็อคโกแลตร้อน ครีมเนียมัมอรอ่ยแบบไม่หวานเว่อร์ เลมอนทาร์ต เค้กตัด ซึ่ง…หมีกินกับเราได้ทุกอย่างแล้ว! (ยกเว้นช็อคโกแลตร้อน ที่เข้มข้นแต่ลื่นมาก อร่อยมาก) สรุปว่าแฮปปี้กันทุกคน
หลังร้านปล่อยหมีเดินนิดหน่อย แล้วพบว่า…หมีรวนมาก เพราะนนอนน้อย อากาศหนาวด้วย ตอนแรกกะว่าจะแกร่วๆ แถวนั้นรอกินซีฟู้ดแบบสามชั้นสูง จึงต้องระเห็จกลับมาละแวกบ้านเพื่อตั้งหลัก
ปรากฏหมีอารมณ์ดีตั้งกะยังไม่ขึ้นรถไฟ (อ้าว) แต่ก็เป็นการดีที่กลับ เพราะบูตัดสินใจลงสถานีถัดไปที่มีไชน่าทาวน์ พวกเราเดินดู (หนาวจะตายชัก แต่ก็สู้) แวะซูแปอร์ ได้ผลไม้เอเชียจำนวนนึง มาม่าคัพสองถ้วย แล้วบูก็เดินผ่านร้าน hot pot ชื่อ fondue 9 ซึ่งไอเดียของการกิน hot pot Sichuan ตอนอากาศเย็นเยือกแบบนี้มันคือโฮลีเกรลชัดๆ และมันก็อรอ่ยมากกกกกกกกสมใจจริงๆ! เพราะมีซอสให้ผสมเองเหมือนฮ่องกงเลย คือ อร่อย เริด ชอบมากๆ และนี่เป็นการกิน hot pot แบบจริงจังครั้งแรกของหมีด้วย พบว่า…หมีเอ็นจอยมาก กินเห็ดไปคนเดียวเกือบหมดกระด้ง กินเนื้อนิดหน่อย แล้วก็ไม่งอแงะอะไรเลย แฮปปี้มาก แต่พ่อแม่นี่ดิปากพองเกือบระเบิด เผ็ดมาก แต่อร่อยสุดๆ จะกลับไปกินกันอีกรอบก่อนกลับ เพราะอยู่ห่างจากรร.แค่สิบนาทีนิดๆ เอง

กลับถึงบ้านมี้เข้าห้องน้ำพีพี อั้นมาตั้งแต่ก่อนกินข้าว (อั้นทำไม) คือจังหวะจะลุกไปพีพี อาหารก็มา แล้วมันน่ากินมาก เลยกินจนอิ่มแล้วรีบกลับบ้านเลย จะได้พาหมีอาบน้ำเข้านอนตามเวลาเค้า
พอออกจากห้องน้ำ พบว่าหมีรออยู่หน้าห้อง ตอนแรกนึกว่าหมีคิดถึงมี้เลยมายืนรอ จริง ๆคือหมีปวดพู รอใช้ห้องน้ำอยู่ พอมี้เอาฝาเด็กวางให้ มีก็พูชุดใหญ่ สบายอุราออกมาทันที กิน hot pot มันดีแบบนี้นี่เอง ฮ่าๆๆ