จริงๆ ทริปนี้ตั้งใจไม่เขียนบล็อก เพราะเจ้าหมีน่าไปด้วย คิดว่าคงไม่มีสติถ่ายรูป หรือจดอะไร แต่ไปแล้วมันสวยมาก เผื่อใครมาไกลถึงอเมริกาฝั่งนิวยอร์กช่วงหน้าฟอลล์พอดี มาอ่านเจอแล้วเกิดแรงบันดาลใจ มีแรงฮึดลองเช่ารถขับขึ้นไปดูกัน
มันสวยจริงๆ….บอกเลย
แต่บล็อกนี้ไม่มีอะไรละเอียด แค่เขียนไว้คร่าวๆ เพราะไม่มีสติจะจดสิ่งใดทั้งปวง เราขับรถไปเรื่อยๆ แวะกินข้าวบ้าง ให้นมบ้าง ไปนอนที่ Arlington 2 คืน และนอนที่ Killington 2 คืน
เช่ารถ
คิดจะเช่ารถในเมกา ลองเว็บนี้ดูนะคะ http://www.carrentals.com มันจะเทียบราคาให้ดูว่าบริษัทไหนถูกสุด
สำหรับคนมาเป็นครอบครัว รถ SUV น่าจะเหมาะ เพราะกว้างนั่งสบาย สำหรับเรามี 3 คน พ่อแม่และลูก 9 เดือนคนนึง ใช้แค่รถ mini SUV สบายๆ เลย ด้านหลังใส่กระเป๋าเดินทางและของช้อปปิ้งกลับมาได้มากมาย ช้อปปิ้งจนทะลัก ซื้อกลับมากระทั่งไข่ไก่สด
เราเช่าจากบริษัท National Alamo เพราะเทียบราคาแล้วถูกกว่า AVIS เกือบ 200 เหรียญ สิริรวม 5 วันจ่ายไปเกือบๆ 600 เหรียญ รวมประกันทุกอย่างที่เค้ามีให้เลือก และรวมค่าน้ำมันตอนคืนรถด้วย ขับเข้าไปจอดคืนได้เลยไม่ต้องหาปั๊มเติม ราคาน้ำมันจะแพงกว่าการเติมเองราว 10 เหรียญ แต่อาศัยว่าสะดวกกว่า
ส่วนใหญ่บริษัทรถเช่าจะปิด 6 โมงเย็น ถ้าใครมาคืนทีหลังเค้าจะมีกล่องให้หย่อนกุญแจใส่
สำหรับเส้นทาง เราใช้ google maps ตลอดเวลา มันโอเคนะ แม้บางครั้งจะฉุนนิดๆ ที่ดันเลือกทางรองไม่ใช่ทางหลักให้ ทำให้ขับลำบากกว่าปกติ แต่นอกนั้นก็ถือว่าเชื่อถือได้ดีมาก ถนนในอเมริกานี่ดีมากๆ ขับเร็วๆ ได้ไม่รู้สึกน่ากลัวเลย บนทางด่วนนี่เราจะขับช้าไม่ได้ ต้องไหลๆ ไปตามความเร็วของรถคันอื่นๆ ไม่งั้นจะถูกจับและถูกตัดแต้ม
รอบนี้เราขับไหลเลยไปออกทางออกผิดรอบนึง คือทางออกเนี่ยมันจะมาแบบเร็วมาก และสั้นมาก ถ้าเราไม่ระวังให้ดีจะเกิดการผิดพลาดได้ง่ายๆ เลย ดังนั้นการขับรถในอเมริกาต้องมีสติมากๆ ช่วยกันดูทางด้วย
วันแรก
เราขับรถออกจากนิวยอร์กได้ราว 2 ชม. ก็แวะเมือง New Paltz เพื่อกินข้าวกลางวัน เมืองนี้เป็นเมืองมหาลัยและเมืองฮิปปี้
เรากินกันที่ร้าน Main Street Bistro บรรยากาศในร้านอุ่นๆ อาหารแบบไดเนอร์สอร่อยเกินกว่าที่คิด อย่าสั่งน้ำส้มนะ.(ปลอม) อาหารเค้าบาลานซ์รสชาติดีเลยอะ มีทั้งหวานเค็มมันในจานเดียว และไม่เค็มปี๋เหมือนอเมริกันทั่วไป ขนาดก็ไม่ใหญ่เว่อร์
ข้างร้านมีที่จอดแบบหยอดเหรียญอยู่ ค่าจอดชม.ละ 50 เซนต์ แต่ตอนเราไปจอดมีคนหยอดมิเตอร์เกินไว้ชม.นึง เราเลยได้แถมไปโดยปริยาย
ใกล้ๆ ที่จอดมีร้านช็อคโกแลต ร้านดอกไม้ และร้านอะไรต่ออะไร เดินแป๊บเดียวได้ช็อคโกแลต 2 ถุง เบียร์ 1 ขวด พอใจละขึ้นรถไปต่อกัน
ปล.ขออภัยที่มีแต่รูปมีคนติดด้วย เพราะไม่ได้ถ่ายรูปเปล่าๆ ทิ้งไว้เลย เพิ่งเข้าใจตอนนี้แหละว่าทำไมคนมีลูกถึงเอารูปลูกตัวเองมาลงบล็อก…เพราะมันไม่มีรูปเปล่าๆ เลยนี่เอง




หลังจากนั้นเราขับรถอีกราวๆ 2 ชม.ไปหาที่พักก่อนจะมืด ชื่อว่า Norman Rockwell’s Studio and Inn เราจองผ่าน airbnb แต่ใครจะจองผ่านเว็บส่วนตัวของเค้าเลยก็ได้ ที่นี่สวยเชียว ห้องสะอาดสะอ้าน มีห้องน้ำส่วนตัว ขนาดไม่ใหญ่แต่มีที่ให้วางกระเป๋า อดีตที่นี่เคยเป็นบ้านของคุณศิลปินตามชื่อนี้แหละ ตอนนี้ก็มีคุณลุงอดีตนักจิตวิทยาเด็ก เซ้งต่อมาทำกิจการบีแอนด์บี
ใครจองก็จำหน้าบ้านไว้ให้ดี เพราะป้ายเล็กมาก เราขับเลยไปรอบนึงถึงจะวนกลับมาเจอ มาแล้วก็เข้าไปทางประตูหลังนะ ประตูหน้าเค้าไม่ได้ใช้
ห้องอาหารอบอุ่นมาก อาหารเช้าก็โอเคเลย เสียแต่การสื่อสารจะช้าหน่อย เพราะลุงป้าทำกันอยู่สองคน และทำทุกอย่างเลย ตั้งแต่ทำห้อง ทำอาหารเช้า ทำความสะอาด ซักผ้า ยุ่งถึงขนาดไม่มีการส่งเมลตอบอะไรกลับมาคอนเฟิร์มว่ารับรู้การจองของเราทั้งสิ้น จนอดกลัวไม่ได้ว่าลุงรู้รึเปล่าว่ามีบุ๊กกิ้งของเราอยู่ แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี

วันที่สอง…
โปรแกรมตอนเช้าคือการไปเดินเขา Equinox ซึ่งเป็นเขาที่คนนิยมไปกันมาก เทรลมีให้เลือกหลายหลากทั้งง่ายและยากตามความต้องการ พวกเราเลือกเทรลกลางๆ เพราะพวกเราลืมหยิบรองเท้าเดินป่ามา และบูก็ไม่ได้เอาไม้เดินเขามา การต้องแบกเบบี๋และเป้สะพายน้ำหนักรวมกันกว่า 15 โลเดินป่าโดยไม่มีไม้นี่มันทำร้ายร่างกายพอสมควรเลยล่ะ
วิวสวยมาก โดยเฉพาะตรงริมทะเลสาปนี่คือพลาดไม่ได้เลยจริงๆ ในรูปนี่คือเทียบไม่ได้กับความสวยของจริงพูดเลย

เสร็จจากการเดินป่า เราขับไปเมือง Manchester เพื่อกินกลางวัน ร้านเด็ดๆ เค้ามีหลายร้าน เรากินที่ร้าน Mulligans Manchester เพราะบูเห็นรีวิวแล้วดูเข้าท่า ซึ่งก็อรอ่ยใช้ได้ เป็นอาหารอเมริกันทั่วไป ช่วงนี้เป็นฤดูแอปเปิล เค้ามีแอปเปิลใส่ลังให้พวกเราหยิบติดมือกลับบ้านมาได้ฟรีด้วย
ไฮไลท์ของเมือง Manchester ก็คือการเป็น “เมืองเอาท์เล็ต” คือต้องบอกไว้ก่อนว่ามันไม่ได้มีร้านอะไรมาเปิดเยอะแยะนะ แต่มีพอให้ช้อปสนุก เราชอบ marimekko มี Kate Spade แล้วก็พวกแบรนด์อเมริกัน (แต่ไม่มี coach หรือแบรนด์ใหญ่ๆ นะ) นอกจากเอาท์เล็ตแล้วก็มีพวกร้านที่ไม่ได้ขายของเซล เช่น Patagonia (แบรนด์บ้าไรไม่รู้ ไม่เคยจะเซล!) แล้วก็ร้านหนังสือหัวมุมถนนที่โซนหนังสือเด็กใหญ่มาก มีของเล่นให้เด็กด้วย พวกเราขลุกกันอยู่ในร้านหนังสือนี้พักใหญ่ ถือโอกาสให้นมเจ้าหมีไปด้วยเลย
เย็นนั้นกินข้าวกันที่เมือง Manchester นั่นแหละ รีบร้อนมากเพราะเป็นเวลาอาหารเย็นเจ้าหมีน่าแล้ว เลยได้ร้านที่ไม่อร่อย ไม่แนะนำ จำชื่อไม่ได้



บรร

วันที่สี่
วันนี้เก็บกระเป๋าออกจาก Norman Rockwell แล้ว เราจะขึ้นเหนือไปทาง Killington ระหว่างทางก็จะแวะนั่นนี่ไปตามทางผ่าน
จุดหมายแรกตั้งใจไปฟาร์มอะไรสักอย่างใกล้ๆ อยากให้เจ้าหมีได้เล่นกับสัตว์ ปรากฏฝนตก เฉอะแฉะมาก และพอไปถึงฟาร์มเจ้าหมีดันหลับ แถมต้องเดินเข้าไปอีกพักนึงถึงจะเจอฟาร์ม จึงง่อยด้วยประการฉะนี้ ขับรถออกมาแบบหงอยๆ
ใกล้ๆ กันมีสวนแอปเปิล เลยแวะเข้าไปดู ได้แอปเปิลกับแพร์มาอย่างละถุง apple cider โดนัททอดใหม่ๆ (เป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่มาพร้อมกับสวนแอปเปิลที่ควรลอง มันไม่ได้อร่อยมากมาย แต่ถ้าหิวๆ ขึ้นมาก็ถือว่าพอได้) และ butternut squash หนึ่งลูก อยากจิบอกว่าแอปเปิลกรอบอร่อยมากกกกกกกกกกกกก บูเลือกพันธุ์ honey crisp มาให้ (ตอนนั้นเราให้นมเจ้าหมีอยู่ในรถ) เราไปเก็บแอปเปิลที่ฟาร์มมาหลายหน เลือกแต่ฟูจิตลอด ไม่เคยกิน honey crisp ตอนสดๆ เลย ทำไมเพิ่งมารู้ตอนนี้นะ (มันจะติดเปรี้ยวนิดๆ นะไม่หวานเฉียบเหมือนชื่อ แต่กรอบกรุบจริงๆ)
ฟาร์มแอปเปิลแถวนี้น่าจะเยอะอยู่ ผ่านแถวไหนก็แวะตามสะดวกได้เลย เค้าจะมีป้ายบอกไว้ตรงทางเข้า ไม่ได้มีแจ้งเตือนล่วงหน้า 5 กม.เหมือนบ้านเรา ถ้าเลยแล้วก็กลับรถมาใหม่อย่าคิดอะไรมาก


Vermont Teddy Bear Factory เป็นโรงงานผลิตตุ๊กตาหมีที่สามารถออกแบบเฉพาะตัวได้ ก็มีส่วนขายของ ส่วนทัวร์โรงงาน และมุมถ่ายรูป แต่บอกเลยว่าถ้าใครไป teddy bear museum ที่เกาหลีมาแล้ว ที่นี่จะกลายเป็นด้อยเด๋อไปโดยปริยาย แต่เราก็ได้ของที่ระลึกมาตัวนึงเป็น tooth beary เก็บไว้ให้เจ้าหมีน่าตอนฟันซี่แรกร่วง (เล็กสุด ถูกสุด 555) บูบอกว่าถ้าเด็กเวอร์มอนต์อายุไม่เกินสี่ขวบ มีสิทธิ์ได้ตุ๊กตาหมีฟรีคนละตัวล่ะ!!
กินกลางวันที่ร้าน 3 squares cafe ในเมือง Vergennes เป็นคาเฟ่ที่อาหารอร่อยมาก ฮิปๆ ฮูเรสุดๆ ไก่บัตเตอร์มิลค์เค้าคือเทพมาก แซนวิชโรสต์บีฟก็อร่อย เสียแต่ว่าน้ำส้มดันไม่สด (กล่อง) ชิ …
กินกลางวันเสร็จ ดิ่งเข้าเมือง Burlington กะไปเดินซึมซับบรรยากาศ เพราะที่นี่เป็นเมืองหลวงของ Vermont เดินแค่ตรงถนนชอปปิ้งเค้าแหละ แล้วก็ซื้อพิซซ่าติดมือกลับบ้านมาด้วยสองแผ่น เผื่อว่าคืนนี้หาร้านอาหารไม่สะดวก ฉุกละหุกขึ้นมาจะได้ป้อนอาหารซองเจ้าหมี แล้วเราก็งับพิซซ่ากันเป็นอาหารเย็น

ตีรถออกมาแวะฟาร์มเมเปิล การที่ Vermont เป็นแหล่งดูใบไม้เปลี่ยนสีอันดับต้นๆ ก็เพราะมีฟาร์มเมเปิลมากมายนี่แหละ แต่ด้วยความที่ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูเมเปิล จึงได้แค่เข้าไปที่ฟาร์มแล้วก็เลือกซื้อเมเปิลมา 4 ขวด ในราคาที่ถูกมากๆๆ เมื่อเทียบกับราคาที่ขายใน shopping street ของเมือง Burlington



สรุปว่าวันนี้พวกเราต้องกินพิซซ่าเป็นอาหารเย็นจริงๆ เพราะร้านอาหารที่ดั้นด้นไปดัน….ปิดกิจการ!! คือเป็นร้านที่ดี อร่อย และเปิดมานานมาก เจ้าของเค้าคงเบื่อหรืออะไรไม่รู้ ย้ายไปอยู่เม็กซิโก??!! (รู้จากเจ้าของบ้านที่เราไปพัก) แต่การไปที่นี่ก็ทำให้เราได้เห็นสะพานลอยน้ำ และวิวสองข้างถนนสวยๆ เพราะร้านอยู่ติดกันเลย


คืนนี้เปลี่ยนที่พัก มาพักเมือง Killington เป็นที่พักบนเขา ป้าดโทะ…กว่าจะขับขึ้นมาถึงมันมืดมาก ทั้งที่ยังไม่ถึงทุ่ม ถนนลูกรังอีกต่างหาก พอถึงที่พักก็รีบเอาเจ้าหมีอาบน้ำ ให้นม เข้านอน เราเองก็เหนื่อยเลยสลบไปเหมือนกัน ไม่ทันได้ซึมซับกับบรรยากาศของบ้านเลย
วันที่ 5
ใครสนใจบ้านที่เราไปพัก คลิกที่นี่
อย่างที่บอกว่าเมื่อคืนมาถึงแบบเหนื่อยๆ มืดตึ๊ดตื๋อมองอะไรไม่เห็น พอเช้าทะนั้น โอวว้าวววว ดีใจสุดที่เลือกพักบ้านหลังนี้ เพราะสวยมากกกกกก เห็นใบไม้เปลี่ยนสีได้ทุกจุดไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของบ้าน แถมติดสระน้ำอีกต่างหาก นี่มันโลเคชั่นเว็ดดิงชัดๆ!!! ดูจากรูปข้างล่างได้เลย จะพบว่าแทบไม่ต้องขับรถไปไหน ก็ได้เห็นวิวใบไม้เปลี่ยนสีอร่ามงามตาแล้วจ้ะ!! ไม่พอยังมีอาหารเช้าให้อีกต่างหากกกกก ที่พักถูกและดีมีจริง (ราคาต่ำกว่า 100 เหรียญ)ใครสนคลิกที่ลิงก์ด้านบนเลยจ้าาาาา
เออจะบอกว่า ถนนใน Killington เป็นอะไรที่สวยมากเลยเวลาขับรถผ่าน ขนาดเราขับไปไม่เห็นข้างทางเต็มตามากเท่าไร ยังรู้สึกเหมือนขับรถอยู่ในโปสการ์ดตลอดเวลา แนะนำมากๆ เค้ามีถนนสาย 100 scenic route ที่แนะนำไว้สำหรับคนขับชมวิวโดยเฉพาะด้วย


เราเมาท์มอยกับเจ้าของบ้านเพลินจนออกสาย งืออ…. แต่จริงๆ แล้วก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะเป็นวันที่ฝนปรอยจนชื้น หมอกลงทั่วบ้านทั่วเมือง ขับรถออกไปเทรลใกล้ๆ ใน Gifford Woods State Park มีน้ำตกให้ดู เป็นเทรลสั้นๆ ไม่ถึงไมล์ แต่พอถึงเจ้าหมีดันหลับ คุณบูเลยเฝ้าที่รถ ส่วนเราเดินเข้าไปถ่ายรูปแป๊บนึง (ฟินแล้ว สวยมาก)

จะออกรถกัน ก็พอดีเจ้าหมีตื่น (ตึ่ง!) ขับไปอีกด้านนึงของภูเขา เพื่อเดินป่า แม้ว่าวันนี้ฝนจะปรอยๆ ทำให้ทางชื้นแฉะและเป็นโคลนมาก อากาศก็เย็นจัดทีเดียว เดินๆ ได้สักครึ่งชม.ก็บอกบูว่ากลับเหอะ ถุงเท้าฉันโชกไปหมดแล้วววว น้ำเข้ารองเท้างือออออออ
จุดหมายถัดไปคือเมือง Woodstock เพื่อกินกลางวัน ปรากฎว่าเมืองนี้ป๊อบมาก รถติด! กระดืบๆ ค่อยๆ เข้าเมืองไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดนิ่ง เลยบอกบูว่ากลับไปทางเดิมแล้วหาอะไรกินเหอะ เพราะมันเลยเวลาอาหารเจ้าหมีแล้ว ถ้าไม่อยากหูหนวกเพราะเสียงร้องไห้ เราควรหาอะไรใส่ปากเค้า … จึงแวะร้าน snack shop ข้างทางชื่อ The white cottage snack bar เป็นอาหารทะเลทอดกรอบ เบอร์เกอร์ ฟิชแอนด์ชิพมีให้สั่ง รสชาติไหวอยู่ หน้าร้อนเอาอาหารออกไปนั่งริมน้ำได้ ชิลล์มาก ส่วนวันนี้ไม่มีมนุษย์คนไหนออกไปเพราะฝนปรอยค่ะ
กินอิ่มก็ตัดสินใจกันว่าจะเอาไงต่อ ได้มติว่ายังไม่เข้าเมือง Woodstock ละเพราะกลัวหาที่จอดยาก บูค้นหานั่นนี่พบว่ามี King Arthur ยานแม่ (สนญ.) อยู่ไม่ไกล เค้ามีคาเฟ่ ร้านขายของด้วย เราแวะไปดูกันอีกดีกว่า
อันว่า King Arthur คือยี่ห้อแป้งในอเมริกา ที่เรามั่นใจว่าพวก artisan bread ทั้งหลายในนิวยอร์กใช้แป้งยี่ห้อนี้หมด ตอนเราเรียน bread baking class ที่ ICC เค้าก็ใช้แป้งยี่ห้อนี้เหมือนกัน เราก็สั่งออนไลน์จากเค้าไปใช้ที่บ้าน ดังนั้นพอไปถึงเราเลยแอบส่องดูห้องอบขนมปังของเค้า โหแม่เจ้า…เตาใหญ่มาก
นึกว่าจะไม่ได้ชอปอะไร เพราะปกติสั่งออนไลน์ ปรากฏก็ยังช้อปได้แป้ง ancient grains มาถุงนึงกะไม้คนแป้ง สาวนักช้อปของจริงยัยเอ๋น้อยนี่
อาหารที่คาเฟ่เค้าดูน่ากินนะ เราก็อยากจะกินเหมือนกันแต่อิ่ม งืออออ รู้งี้เก็บท้องมากินตรงนี้ดีกว่า (ก็เพราะไม่รู้ไง ฮ่าๆๆ)

อ้อลืมไป ก่อนถึง King Arthur เราผ่าน Quechee gorge ก็เลยหักหัวรถแวะเดินดูแป๊บนึง สวยเชียว เป็นที่ดูจากบนสะพาน มุมเข้าท่ามาก

บูพูดตั้งแต่ก่อนมาละ ว่าจะแวะ Ben&Jerry’s factory ซึ่งจะมีสุสานไว้อาลัยให้รสชาติที่เลิกผลิตไปแล้วของ BJ เค้ามี factory tour มีร้านของที่ระลึกและน่าจะมีไอติมรสพิเศษกว่าที่อื่นขาย เราวาดหวังกันว่าถ้ามีไอติมนมจะให้เจ้าหมีได้ลองสักคำนึง
ฝันสลายนะ…
คนยังกะหนอนน เยอะมากกกกกกกกก เลยแวะเข้าไปซื้อแมกเนตที่ระลึกอันนึง เข้าห้องน้ำทีนึง แล้วก็ขึ้นรถกลับกันละ สู้คนไม่ไหวจริงๆ แค่ต่อคิวซื้อไอติมคนประมาณเกือบร้อย ฉันไปกิน BJ แถวบ้านก็ได้ย่ะ หรืออีกทีคือปกติก็ไม่ค่อยได้กินอยุ่แล้ว ฮา…
บูยังไม่ยอมกลับบ้านง่ายๆ บอกว่ามีฟาร์มที่นึงแต่มันใกล้ปิดแล้ว ลองแวะไปดูเผื่อได้เจออะไรสักตัว ซึ่งก็ได้เจอแค่ตัวเดียวจริงๆ คือน้องมู (วัว) นอกนั้นฟาร์มกำลังจะปิด เค้าล้างคอกอะไรกันแล้วอย่าไปยุ่งกับเค้าเลย อะ ให้เจ้าหมีได้ทักทายน้องมูแล้วเราก็กลับกัน

ระหว่างขับกลับ ก็จะผ่านทางเลี่ยงเมือง Woodstock ก็เปรยๆ ว่าเออนะ เย็นป่านนี้รถคงไม่ติดแล้วล่ะ แสงก็ยังพอมี จะแวะเข้าไปดูเมืองสักหน่อยไหม คุณบูเห็นด้วยและคิดว่าน่าจะหาร้านอาหารเด็ดๆ สักร้านในนี้ได้ เราก็เลยเลี้ยวเข้าไปและเจอที่จอดเยอะแยะจริงๆ คิดไม่ผิดที่ตัดสินใจมาเย็นหน่อย แล้วก็ดีใจนะที่มา เพราะเมืองสวยสมกับที่คนหลั่งไหลกันเข้ามาดูเชียวล่ะ
เรากินข้าวเย็นกันที่ห้องอาหารในโรงแรม อร่อยดี และเค้าก็น่ารักพอจะลวกผักให้เจ้าหมีชามนึงด้วย ดีใจเอ๋ยดีใจจัง

คืนนี้กลับถึงที่พัก แพ็คของเตรียมกลับพรุ่งนี้แต่เช้า จบละทริป Vermont ห้าวันของเรา ปิดท้ายด้วยคลิปที่ถ่ายมา แม้ว่ามันจะสวยสู้ของจริงไม่ได้เลยสักนิดก็ตาม