กินโยเกริ์ต ไส้กรอก ขนมปัง ชีส นมเป็นอาหารเช้าที่หน้าตาคล้ายเดิมม๊าก ย้ายเมืองแต่ไม่เปลี่ยนใจเรื่องอาหารเช้านะจ๊ะ เสียดายบ้านนี้ไม่มีที่หนีบแซนวิช เลยกินขนมปังเย็นๆ กะชีสไป อิ่มแล้วออกไปลุยเมืองกัน
แถวบ้านที่เราพัก มีร้านวินเทจสองสามร้านน่าสนใจ เสียดายเค้ายังไม่เปิด (ส่วนใหญ่ร้านเปิด 11.00 น.) ร้านนึงเล็กมาก แต่ของแจ่มจอร์จ ที่เริดสุดคือป้าจะมาเปิดร้านเฉพาะจันทร์กะพฤหัสฯจ้าาาาา

ซื้อ Oslo pass
การหาซื้อไม่อยากเลย ไปซื้อที่เคาน์เตอร์ของโรงแรมใกล้บ้านได้ อะไรจะสะดวกเบอร์นั้น แบบ 3 วันราคา 745 NOK คิดว่ายังไงก็ต้องใช้ให้คุ้มที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะ Oslo ก็จัดเป็นเมืองนึงที่มีมิวเซียมอะไรต่ออะไรเยอะมาก โดยเฉพาะพวกมิวเซียมเล็กจิ๋วจ้อย ที่จับเอานั่นนี่มาสร้างเป็นมิวเซียมได้ ไหนๆ มาเที่ยวก็ไม่อยากคิดมากเรื่องค่าเข้า อีกอย่างการซื้อพาสทำให้ไม่ต้องต่อคิวซื้อตั๋วด้วย สะดวกดี

Munch Museum (ม้งมิวเซียม)
เราเริ่มใช้พาสที่ Munch (ม้ง) หรือมิวเซียมของคุณ Edward Munch ศิลปินแห่งชาตินอร์เวย์ (คนที่วาดภาพดังๆ ชื่อ Scream เราดูงานเค้ามาส่วนนึงแล้วจาก KODE ที่ Bergen นั่นแหละๆ คนนั้นแหละ)
เข้าไปได้ บูพาเข้าไปนั่งดูพรีเซนเทชั่นประวัติชีวิตของทวดม้ง ที่ตัดสลับกับการสัมภาษณ์คนที่ศึกษางานเค้าหลายๆ คน ยาวมาก เราจึงหลับไปเป็นระยะ (ก็มันมืดและอุ่น) สุดท้ายบูกลัวจะเสียเวลาเลยพากันออกมา แต่ก็ดูไปสัก 30 นาทีแล้วนะนั่นน่ะ
จากประวัติรู้ว่า รักแรกของลุงก็มาจีบแล้วจาก รักสองผู้หญิงก็โรคจิต พอไม่คิดแต่งด้วยก็พาลจะฆ่าตัวตาย ประกอบกับช่วงนั้นลุงวาดแต่รูปรีลลิสติก ดาร์กๆ ลุงเลย nervous breakdown ก่อนเข้ารักษาจิตที่เยอรมัน และกลับออกมาวาดรูปสีสันอีกหน
ดูๆ แล้วพบว่าชีวิตลุงเกิดมาเพื่อเป็นศิลปินจริงๆ เพราะวาดรูปไปก็เก็บซะส่วนใหญ่ไม่ค่อยขาย ออกแนวทดลองการวาดรูปแบบต่างๆ แล้วเอาไว้ศึกษาเอง เงินทองก็ไม่ได้มีมากมาย (มากหรือน้อยตามมาตรฐานใครก็ไม่ทราบได้นะ) แค่พอซื้อสีแล้วก็กินอยู่ วันๆ เอาแต่วาดรูป ทั้งชีวิตรวมๆ กันก็แค่หลายหมื่นรูปเอง
ในเมื่อเยอะขนาดนั้น เราเลยพยายามรีบเดินดูให้เร็ว เพราะกลัวจะดูไม่หมด ปรากฏดูไม่เกิน 15 นาทีก็หมดมิวเซียมแล้วอิว่ะ! เพราะมิวเซียมเล็กมาก อ้าว…ไหนว่าเป็นมิวเซียมของลุงม้ง ก็ควรมีรูปวาดของแกแยะๆ สิ นี่ดูเหมือนจะน้อยกว่าที่ KODE อีกนะ! มันยังไงกัน?
ที่นอร์เวย์ชอบจัดรูปแน่นๆ ในห้องเดียวดูเพลินไม่เสียเวลาเดินมาก
แต่ที่ฮาคือ…รูป Scream ไม่ได้โชว์ที่นี่นะ (อ้าว?) ปรากฏบ่ายนั้นได้คำตอบว่ารูป scream ไปอยู่ที่ National gallery อิว่ะ ไม่พอยังมีรูปดีๆ เด่นๆ ดังๆ ของลุงไปจัดแสดงที่นั่นหมดเลย บางทีก็อดงงไม่ได้เหมือนกันแต่ก็เอา…แล้วแต่สะดวกพี่เขาเลย



ดูมิวเซียมทวดม้งเสร็จ เดินไป Botanic Gardens มีพืชในเรือนกระจกทั้งหลาย, natural history museum และมิวเซียมจุกจิกอีกนิดหน่อยติดๆ กันนั่นแหละ เข้าฟรีด้วย คนพาลูกหลานมาดูกันเต็ม เราก็เดินลอยๆ ตามเค้าไป เดินเพลินสนุกดี






สักบ่ายครึ่ง บูพาไปกินกลางวันที่ Food Hall ใหญ่ๆ อยากกินไรก็เลือกเอา เราดมๆ แล้วรู้สึกอยากกินข้าวร้อนๆ เลยไปต่อคิวร้านอาหารเอเชีย สั่งไก่ผัดซอสพริกกะบรอคโคลี่ราดข้าว (เปรี้ยวเชอ ไม่ได้มีความเป็นเอเชียอย่างที่หวัง แต่กินเพื่อไฟเบอร์ เคี้ยวๆ ให้อิ่มๆ ไปนั่นแหละ) ส่วนบูศักดิ์กินฟิชแอนด์ชิพ (อร่อย กรอบนอกนุ่มในไม่เละ ฟรายส์ดีงาม ทำไมฉันเลือกอาหารด๋อยกว่าบูศักดิ์ทุกครั้ง? ทำไม้??!) ตบท้ายด้วยน้ำ Solo และสตรอว์เบอร์รี่ซอว์เบต์ล้างปาก อิ่มไปอีกมื้อ (อยู่ OSLO นี่กินเพื่ออยู่กว่าเมืองเล็กๆ อีกอะ ให้ตายเหอะ)






National Gallery
กินอิ่มก็พากันเดินไป National Gallery ซึ่งเป็นที่ๆ ทัวร์มาลง (ก็มาดูรูป scream ของทวดม้งกันน่ะแหละ) เลยพอมีคนคึกคักบ้าง เป็นมิวเซียมใหญ่มีงานของศิลปินดังๆ ชาวนอร์เวย์หลายคนจัดแสดง
ถัดจากนั้นเราไปเดินเล่นไฮสตรีท เช็คร้านพวก Nordic Design ทั้งหลายไม่เห็นถูก! นี่ขนาดฉันมาถึงแหล่งแล้วนะ เอ…หรือเพราะเราอยู่ในโซนนักท่องเที่ยว? กระนั้นก็ยังช้อปของบางอย่างที่ไม่เห็นในเมกากลับไปบ้าง



เย็นนั้นเรากินกันที่ร้านสารพัดบะหมี่ใกล้บ้าน (ช้อยส์น้อยม๊ากกกกก) ซึ่ง…น้ำมันหอยเยอะมากกกก กินแล้วปวดหัวจี๊ดๆๆๆๆ ขนาดว่าฉันอยากกินอาหารเอเชียมากๆ เลยนะยังกลืนลงไปไม่ถึง 1 ใน 4 ของชาม
แต่ที่ร้านนี้เอง มีคนนอร์วีเจี้ยนทักทายบูเลยมีโอกาสคุยกัน เขาชอบเอเชียมากและหนีหนาวไปเที่ยวบ่อย สิ่งที่รู้ก็คือคนที่นี่ทำงานได้เงินเดือนมากกว่าสวีเดน 2 เท่า หน้าร้อนคนเลิกงานแล้วจะพากันแวะกินดื่มอย่างสำราญ หน้าหนาวเลิกงานแล้วกลับบ้านใครบ้านมันเพราะฟ้าจะมืดเกือบตลอด และหนาวจัด
สำหรับเราที่บ่นตลอดว่าอาหารและน้ำแพง แต่เค้ากลับไม่คิดว่าค่าอาหารและค่าครองชีพที่นี่แพง เพราะเค้าอยู่แบบนี้มาตั้งแต่เกิด และเค้าก็แปลกใจเหมือนกัน ที่เดี๋ยวนี้ร้านซูชิ เคบับ และเบอร์เกอร์เปิดกันเยอะมาก ดีใจที่ได้ยินว่าเค้าชอบเชียงใหม่ และหาดในเมืองไทยหลายแห่ง
เราออกจากร้านบะหมี่มา เดินเล่นแล้วไปเข้าร้านเครป (คือยังหิวอยู่ เพราะบะหมี่ไม่อร่อย กินไม่ลง) กินแล้วเดินเล่นริมน้ำพักนึงถึงกลับบ้าน จริงๆ บูยังไม่อยากกลับ แต่ข้าเจ้าทนปวดฉี่ไม่ไหวแล้วอ่า (ข้อเสียของการเที่ยวระหว่างท้อง คือเธอจะเข้าห้องน้ำบ่อยแค่ไหนก็ไม่เคยพอ)

ระหว่างเดินไปก็คุยกะบูศักดิ์ว่า จริงๆ แล้วเราสองคนไม่ค่อยชอบเมืองๆ สักเท่าไหร่เนอะ ยิ่งเพิ่งมาจากเมืองที่ล้อมด้วยธรรมชาติแล้ว ยิ่งอดเปรียบเทียบไม่ได้
ตอนแรกนึกว่ามา Oslo แล้วจะสนุกเหมือนตอนไปสตอกโฮล์ม แต่เราว่าสตอกโฮล์มดีกว่า Oslo ในแง่ของการท่องเที่ยว เพราะที่นี่ร้านรวงน้อยกว่า ร้านอาหารดีๆ มีน้อยแสนน้อย ร้านงานดีไซน์เหมือนมีเยอะ แต่จริงๆ แล้วของซ้ำๆ กัน แถมมีของจากฟินแลนด์ สวีเดน มาแจมๆ ขายด้วย ตอนเราไปสตอกโฮล์มนั่นคือของแตกต่างเยอะมาก ช้อปเพลินสุดๆ (อ้าว ตกลงดีเหรอ?) อาหารก็ได้กินอะไรอร่อยๆ เปลี่ยนไปทุกมื้อไม่ซ้ำ มีร้านอาหารที่ได้มิชิลินสตาร์ดีๆ เยอะพอควร (ที่ Oslo ก็มีแต่น้อยมาก คนเลยจองคิวยาวแน่นไปแสนนาน)

ในแง่ของเมือง เราว่าที่ Oslo มีคนน่ากลัวพวกขอเรี่ยไรซึ่งๆหน้า ตามจุดท่องเที่ยวเยอะ บูเลยเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้าเค้าเปิดรับพวกลี้ภัย ทำให้มีคนบางกลุ่มเข้ามาปะปนเยอะไปหมด จนตอนนี้บางจุดของเมืองสกปรกจนมีเศษกระดาษให้เห็นตามพื้นบ้าง แต่คลองยังใสแจ๋วอยู่นะ
พรุ่งนี้บูบอกว่า จะพาออกไปเดินเขานอกเมืองไม่ไกล (เหมือนไปสมุทรปราการ)
เราก็เห็นดีด้วย
Oslo ไม่สนุกมากอย่างที่ิคิดแฮะ ออกไปดูใบไม้เขียวๆ น่าจะช่วยให้ใจกระชุ่มกระชวยขึ้นมาได้บ้าง
