
โอย ในที่สุดก็ได้ตื่นสายบ้าง (8.30 น.)
วันนี้วันสุดท้ายใน Ålesund แล้ว เรากวาดตู้เย็นกำจัดโยเกิร์ต ไส้กรอก ขนมปัง ชีส กาแฟตาบักจนเหลือแค่ชีสไม่กี่แผ่นก็โยนทิ้งไป (กินไม่ไหว) โหลดจานชามช้อนใช้แล้วไว้ในเครื่องล้างจานไว้ ป้าบอกไม่ต้องเปิดเครื่อง เดี๋ยวป้ามาจัดการเอง (ค่ะ ได้ค่ะ)
เก็บของที่เหลือลงกระเป๋าที่แน่นจนปิดไม่ลง….ให้บูกระโดดกดมันลงไป
แล้วทิ้งเป๋าไว้ที่บ้านป้านั่นแหละ บอกแกไว้แล้วว่าขอฝากไว้ก่อน จะกลับมาเอาตอนบ่าย 4 ป้าก็โอเคเพราะแขกคนถัดไปของป้าจะมาค่ำๆ
แล้วก็ออกเดินเล่นรอบๆ …







เข้ามิวเซียมอาร์ตนูโว
บูชวนเข้ามิวเซียมอาร์ตนูโว อยู่ห่างจากที่พักแค่ 2 นาที เป็นมิวเซียมเล็กๆ มีไทม์แมชชีน พาเราย้อนกลับไปสมัยบ้านเมืองถูกไฟไหม้ปี 1904 โดยเหตุการณ์เริ่มตั้งแต่ตอนตีสอง ไปจนถึงสายๆ วันถัดไป ที่ทุกอย่างไม่เหลืออะไรเลย
สรุปความได้ว่า บ้านเรือนใหม่ได้จากเงินประกัน 70% โดยมีคิงเยอรมันช่วยสนับสนุน มีการเรี่ยไรเงินบริจาคจากปท.ในยุโรป ส่วนซัพพลายพวกหลังคา มือจับ อิฐ ฯลฯ ก็ได้จากธุรกิจขนาดย่อมตามเมืองต่างๆ ในนอร์เวย์ที่ส่งมาให้ จะบอกว่าไฟไหม้ครั้งนี้ ทำให้หลายครอบครัวธุรกิจยังดำเนินต่อไปได้ก็คงใช่ รวมๆ แล้วทั้งเมืองใช้เวลา 3 ปีในการก่อสร้าง บ้านเรือนออกแบบโดยสถาปนิกหลายคน ซึ่งแต่ละคนก็จะมีคาแรคเตอร์ของตัวเองเห็นเด่นชัดมาก เช่นคนนึงชอบตกแต่งด้วยผลไม้ หรือบางคนชอบทำให้ออกแมนๆ อะไรแบบนี้
ในมิวเซียมก็จะมีลำดับเหตุการณ์เป็นชาร์ต วิธีการก่อสร้าง จัดแสดงเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ในสมัยนั้น เป็นข้อมูลเบาๆ อ่านสบายๆ ไม่มากมายอะไร




เด็ดสุดคงเป็นคาเฟ่ ที่คนน้อยนั่งสบาย กาแฟโอเค ช็อคโกแลตร้อนโอเค มีเบียร์ Pilsner ที่บูศักดิ์ชอบขายด้วย และบัตรเข้ามิวเซียม ใช้เข้าอาร์ตมิวเซียมขนาดเล็กที่อยู่ต่อกันได้ด้วย (แต่งานที่เค้าจัดแสดงค่อนข้างเฉยๆ)
ด้านหน้าคาเฟ่มิวเซียมมีกะบะทรายให้เด็กเล่น โต๊ะปิงปองสำหรับคนทุกวัย และขาดไม่ได้ เชือกฝึกบาลานซ์ (เห็นเยอะมากในนอร์เวย์) เห็นโต๊ะว่างๆ พวกเราเลยเล่นปิงปองกันแป๊บนึง เหนื่อยได้เรื่องเหมือนกันแฮะ โดยเฉพาะการเล่นตอนสะพายกล้องเลนส์ซูมไปด้วยเนี่ย กลัวเลนส์กระแทกโต๊ะปิงปองแล้วจะไม่คุ้มกัน … เกร็งมะ!



จริงๆ เมืองนี้เล็กมากนะ เดินไปเดินมาอ้าว เจอหมาสองตัวที่เจอตรงหน้าซูเปอร์เมื่อวานอีกละ…สงสัยอยู่ว่าทำไมถึงยังไม่เจอมิสจี กระทั่งตอนที่แวะไปกินกลางวันร้านอาหารไทยอีกครั้งก็ยังแอบหวังว่าจะได้เจอนางอีก (อาหารอร่อยเหมือนเดิม แต่กินกันไม่หมดเพราะพุงตึงมาก)
บูพาเดินเล่นในเมืองส่วนที่ยังเดินไปไม่ถึง แวะร้านของเก่าริมทะเล แค่หน้าร้านที่ปลูกดอกไม้ เซ็ตติ้งเก้าอี้เอาท์ดอร์วางไว้ ก็กระชากใจไปทั้งดวง ในนั้นมีคาเฟ่อยู่ด้วย ร้านน่ารัก ของแน่นทะลักมาก แต่ไม่ถูก กระนั้นก็ยังได้แจกัน made in Norway มาใบนึง ราคาย่อมเยาขนาดบูยังออกปาก (ลายดอกด้วย!) ออกจากร้าน เดินขึ้นเขา เข้าสวนสาธารณะ ลงเนินตามบ้านคน เดินไปมา อ้าว กลับมาที่ร้านอาหารไทยอีกแล้วได้ไง
แต่โดยรวมบ้านเรือนสวยดีจัง เดินเพลินๆ ขึ้นเนินบ้าง ลงเนินบ้าง หอบบ้าง พักบ้างไปเรื่อยๆ เพราะไม่ได้มีเป้าหมายอะไรอยู่แล้ว เมืองเล็กจึ๋งเดียวเอง















อีกทางเลือกสำหรับคนมาเที่ยว จะเดินขึ้นได 418 ขั้นไปดูวิวเมืองมุมสูงก็ได้ แต่วันนี้อยากสบาย พักขาบ้างไรบ้าง ใช้พลังขาเดินขึ้นเขาติดกันมา 2 วันละนะเว้ยเฮ้ย เลยเดินเล่นเบาๆ ในเมืองนี่แหละ
ด้วยยังไม่ถึงเวลาขึ้นรถไปสนามบิน (ได้เวลาบินไป Oslo แล้วพวกเรา!!) เลยแวะพักขาคาเฟ่มิวเซียมอีกหน พอ 4 โมงเย็นก็ลุกไปเอาเป๋าบ้านป้า พบว่าป้านั่งถักนิตติ้งรออยู่
คุยกันแค่ทัก แล้วก็ลากกระเป๋าออกมา กลัวตกบัสที่ใช้เวลามาแอร์พอร์ตแค่ 20 นาที ที่นี่คุณต้องทำทุกอย่างเองจริงว่ะ ตั้งกะปริ๊น luggage tag เอามาติดเป๋า แล้วไปโหลดเอง สแกนบาร์โค้ดเอง คือแทบไม่มีพนักงานเคาน์เตอร์แล้วอ่ะ (น่าจะมีสัก 1-2 เคาน์เตอร์ได้มั้งทั้งสนามบิน)
บอร์ดดิงพาสเดี๋ยวนี้คือไร้ความหมาย แค่เช็คอินออนไลน์แล้วส่งบาร์โค้ดเข้ามือถือเป็นอันจบ ประหยัดกระดาษสุดๆ (ได้ข่าวว่านอร์เวย์จะเก็บเงินค่ารีไซเคิลขยะของประชาชนแล้ว เค้าอยากให้ reuse กันมากกว่า โอบระเจ้า นี่เราอยู่โลกใบเดียวกันรึเปล่า ขณะที่อเมริกาซ้อนถุงกระดาษใส่ของให้คนในซูเปอร์มาร์เก็ต)
สนามบินค่อนข้างเล็ก ไม่มีอะไรให้ดูมาก แต่มีร้านของกินเบาๆ กะขนมอยู่ด้านใน เครื่องใช้เวลา 45 นาทีก็ถึง Oslo ละ ยังไม่ทันได้หลับเลย ปิดท้ายด้วยรูปฝาท่อน่ารักๆ จาก Ålesund มีเป็นรูปบ้านอาร์ตนูโวด้วย น่ารักเชอ
Oslo
การเดินทางจากสนามบินเข้าตัวเมือง Oslo ทำได้ 2 แบบคือนั่งไฟ express กับรถไฟ NBS ธรรมดา
express ราคา 280 NOK
NBS ธรรมดาราคา 93 NOK
express ออกทุก 10 นาที ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที
NBS ออกทุก 20 นาที ใช้เวลาเดินทาง 20 นาที
นอกจากราคาที่ต่างกันโคตรแยะแล้ว ที่เหลือต่างกันน้อยจนคนใช้รถไฟธรรมดากันหนาแน่นอย่างเห็นได้ชัด หาซื้อตั๋วก่อนขึ้นรถไฟนะ
เราไปที่ชานชาลาตอนรถใกล้จะมาพอดี แต่ดันขึ้นผิด ไปโบกี้ที่ reserve seat (ต้องจ่ายเพิ่ม 90) เลยต้องกระดืบๆ ไปโบกี้ปกติ แต่ใช้เวลาไม่นานก็ถึง ลงรถไฟได้ก็ต่อแทรมอีก 4 stops ลากกระเป๋ากุงๆ กังๆ ไปตามฟุตบาธอีก 5 นาที ถึงบ้านพัก airbnb ที่เจ้าของห้องรออยู่แล้ว อ่านดูเหมือนจะยาก จะลำบาก แต่ไปจริงมันไม่ได้แย่อย่างที่คิดนะ อีกอย่างบ้านหลังนี้ก็ดีด้วย คือกว้างและนอนได้ถึง 4 คนแน่ะ (มี 2 ห้องนอน)



เจ้าของห้องแนะนำวิธีการใช้ห้อง (เช่นว่าถ้าทำอาหารแล้วเครื่องจับสัญญานดังก็ให้ดึงมันออก) พอนางไป พวกเราก็ออกตาม ไปซูเปอร์ KIWI ได้อาหารเช้ามาสำหรับ 2-3 วัน (พบว่าอาหารเหมือนเดิมมาก 5555 กระทั่งไส้กรอกยังเหมือนเดิม) รวมถึงผลไม้ กล้วย อ้อย เอ้ยส้ม โยเกิร์ต ไส้กรอกยี่ห้อเดิม ขนมปัง ชีส นม เราไม่หวังพึ่งคาเฟ่ หรือร้านอาหารเช้าใดๆ แล้ว ขี้เกียจหาว้อย
มื้อเย็นกินเบอร์เกอร์ที่ร้านชื่อ illegal burger ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน เพราะเหนื่อยล้าเกินกว่าจะนั่งรออาหารร้านไหน ตอนเคี้ยวเบอร์เกอร์นี่ก็แทบจะยานคางเพราะเพลียมากๆ
แปลกนะ เข้าเมืองอย่างที่ใจอยากแท้ๆ แต่กลับรู้สึกคิดถึงต้นไม้ เขา และ Fjord ที่เพิ่งจากมาอย่างบอกไม่ถูก สรุปว่าจริงๆ แล้วพวกเรามันลิงภูเขาสินะ….

