
ตอนเช้าบูค้นครัวเจ้าของห้อง เจอที่หนีบปานินี่ในชั้น เลยใช้หนีบขนมปังกะชีสที่ช้อปจากซูเปอร์ฯ เมื่อวานเป็นอาหารเช้า ทำให้ขนมปังชืดๆ อร่อยขึ้นมาอีกระดับประทับใจ
ชีสที่นี่รสชาติเบาบางมาก จืด ไร้กลิ่น แทบไม่รู้สึกว่ากินชีส แต่ไส้กรอกนี่แจ่มเพราะไม่เค็มเลย กรุบนอกนุ่มในอีกต่างหาก เป็นเท็กซเจอร์ที่ใช่มากๆ ชอบสุดๆ (ไส้กรอกแฟรงเฟิร์ตเตอร์) แต่ขนมปังเค้าจะมีกลิ่นคาร์ดาม่อมทุกแบบเลยนะ ไม่ว่าเราจะเลือกแบบกลม แบบแบน แบบม้วนหรืออะไรก็แล้วแต่ พี่เขาจัดคาร์ดาม่อมใส่มาให้หมด (ไม่จ้อบทะไหร่อ่า T^T)

กินเสร็จ รวบอาหารที่เหลือๆ และไข่ต้มจำนวนนึง แพ็คใส่เป้ไปเป็นอาหารกลางวัน รีบผลุนผลันออกไปขึ้นเรือเที่ยว 8.50 เพื่อเดินทางไปเกาะ Runde อยากดูนกพัฟฟินกัน (Puffin)



ระหว่างเดินไปท่าเรือ ขอสาธยายเหตุผลในการแวะมาเที่ยวเมือง Ålesund สักนิด สมัยก่อนที่นี่เป็นเมืองท่าสำคัญของนอร์เวย์ จนกระทั่งวันนึง ไฟไหม้ลุกลามไปทั่วเมืองจนบ้านเรือนเสียหายไปเป็นจำนวนมากกกกกก พอเริ่มมีการก่อสร้างใหม่ เขาก็เลยตัดสินใจสร้างบ้านอิฐ โดยให้สถาปนิกมีฝีมือมากมายหลายคนที่ไปเรียนต่อในเยอรมัน มาช่วยออกแบบบ้านเสียสวย (โดยมีกษัตริย์เยอรมันสมัยนั้นช่วยสปอนเซอร์ให้ด้วย) ดังนั้นบ้านเรือนเขาจึงมีกลิ่นไอสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโว อันเป็นสิ่งที่ฮิตฮอตในช่วงนั้นอยู่ในทุกมุมมอง และแต่ละหลังเขาก็ไม่ได้ออกแบบให้เหมือนกันนะ จะต่างกันไปในแง่ของรายละเอียด ทำให้เดินดูเพลิน ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของเมือง





อะกลับมาที่เรื่องของเราต่อ…
Runde นี่เป็นเกาะที่ขึ้นชื่อว่า เป็นแหล่งกบดานของนกพัฟฟินที่มีจงอยปากสีรุ้งแสนน่ารัก เราเคยเห็นที่เป็นนกสตัฟฟ์ครั้งนึง ตอนไป Natural History Museum ที่บอสตัน (คลิกอ่านที่นี่) แล้วรู้สึกว่ามันน่ารักดี พอรู้ว่าที่นี่เป็นแหล่ง ก็เลยอยากมา เผื่อว่าจะมีโอกาสเห็นตัวเป็นๆ สักครั้ง บูศักดิ์เขาก็จัดให้ (แน่สิยะ เพราะฉันเดินตามตูดเธอขึ้นภูเขามาหลายเทรลแล้ว ถึงคราฉันบ้าง)
ท่าเรือไปเกาะ Runde
สิ่งที่น่าทึ่งอย่างนึงคือ ตอน 8.40 ไม่มีคนมารอที่ท่าเรือเลย
แต่พอ 8.50 อยู่ๆ มนุษย์สัก 10 กว่าคนพุ่งกันมาจากไหนไม่รู้ ต่อแถวรอขึ้นเรือเช้ย! กะเหรี่ยงนี่ถึงกับงง ว่าพวกเขาตรงเวลากันถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
วันนี้บูจองตั๋วเดินทางกับ FRAM … เจ้าแห่งเครื่องหมายการค้าของการต้องขึ้นรถลงเรือหลายต่อ และเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะการเดินทาง 2 ชม. จากตัวเมืองไปเกาะ Runde นั้น มีต้องขึ้นเฟอร์รี่ และต่อบัสอีก 2 คัน จะถึงปลายทางจ้า! คือคนจัดทริปชอบเล่นจิ๊กซอว์รึไง ถึงได้ปะติดปะต่อรถเรือต่อการเดินทางครั้งหนึ่งมากมายถึงเพียงนี้?
น่าชื่นชมคือเรือเฟอร์รี่ ห้องน้ำสะอาดแบบ….วิบวับขึ้นเงา ไม่มีกลิ่น ไม่มีหยดน้ำ ไม่มีอะไรให้อิ๋วทั้งสิ้น ขับรึก็นุ่มยิ่งกว่ามาร์ชเมลโล ทำให้การหลับเป็นไปอย่างง่ายดาย เราก็หลับๆ ไปตลอดทางเพราะง่วงมาก บูศักดิ์ก็กลายร่างเป็นถั่วปากอ้าเหมือนกัน


นอกจากเรือแล้ว รถบัสของที่นี่ ทำไมมันสะอาดและดูใหม่ทุกคันขนาดนี้ก็ไม่รู้ เหมือนพอใช้ครบ 5 ปีแล้วจะโละทิ้งเปลี่ยนใหม่ แล้วเอาไปขายปท.โลกที่ 3 งินะ มาที่นี่แล้วรู้เลย ทำไมมันถึงเป็นประเทศที่คนอยากอยู่อันดับต้นๆ บ้านเมืองอะไรเค้าสะอาด คนมีระเบียบชั้นพรีเมี่ยม ไม่เห็นขยะเลยสักชิ้น (แต่ค่าครองชีพก็โหดฝัดๆ รวมถึงภาษีที่น่าจะแตะ 50% ของรายได้ด้วยค่า)
โชคดีที่บัสคันสุดท้ายมาจอดส่งที่หน้าแค้มป์ ซึ่งเป็นเหมือนศูนย์ข้อมูลนกด้วย ทว่าคำแรกที่ลุงประจำแค้มป์บอกก็คือ วันนี้แดดออกคงไม่เห็นหรอกพัฟฟินอะ ตึ่ง~!
ถึงเห็นก็ต้องรอค่ำๆ แถมปลายซีซั่นแล้ว คงมีแค่ไม่กี่ตัว ตึ่ง!
ถ้าวันไหนฟ้าครึ้มอาจจะมีโชค แต่วันนี้มัน.. ตึ่ง!
คืออดเห็นแน่ๆ ตึ่งๆๆๆๆๆๆๆ
ยัยเอ๋น้อยขอตายตรงนั้น นกพัฟฟินปากสีรุ้งที่ฉันอยากเห็นนักหนา….ก็ไม่มีวันได้เห็นแล้ว
สมาชิกทุกคนที่ร่วมนั่งบัสคันเดียวกันมาดูหน้าหมองๆ เพราะใครก็อยากโชคดีกันทั้งนั้น…ยกเว้นบู เพราะนางบอกว่ารู้อยู่แล้วว่ายากที่จะเห็น แต่ในเมื่อเอ๋น้อยอยากมามาก ก็จัดให้ (อ๋อเหรอ…ย่ะ!)



แต่ก็ไม่น่าเสียดายนะที่มา เพราะเนินเขาที่ปีนขึ้นไปผาพัฟฟินเดินสนุก
แม้จะเหนือ่ยแทบหายใจคอไม่ทันช่วงเล้กแรก ชันโคตร….เรานี่ปล่อยให้ทุกคนแซงไปอย่างไม่อนาทรร้อนใจเลย แข่งกับใครไม่ไหวจีจี สภาพร่างกายแบบนี้
แต่พอช่วงกลางๆ ก็โอนะ พื้นดึ๋งๆ เหมือนฟองน้ำทั้งเขาเลย (บูเปรยเรื่องการเอาหญ้าแบบนี้ไปตากแห้งและเผาทำวิสกี้อีกครั้ง ท่าทางนางเอาจริงมาก เดี๋ยวเย็นนี้ต้องตรวจละว่ามีแอบเอาหญ้าใส่เป้กลับบ้านรึเปล่า) และเพราะพื้นแบบนี้เอง การเอาไม้เดินเขามาด้วยจะทำให้เราเดินง่ายขึ้นเยอะ











บนเขาลมเย็นโกรกมาก หมวกร่ำๆ จะปลิว แดดจัดจ้า ฟ้าเปิดสวยใส (นกพัฟฟินเลยไม่มา ฮืออออ) ทำให้เป็นการเดิน 2 ชม. ที่สนุกดีมากๆ เราเดินกันจนใกล้จบเทรล ก็หาที่นั่งเหมาะๆ ปิคนิคบนผา กินไข่ต้ม ไส้กรอก และปานินี่ที่ ระหว่างดูนกนางนวลบินว่อนไปมา เป็นวิวพันล้านที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อและแรงกาย ใช้เงินจ่ายก็ไม่มีวันได้เห็น
แต่ก็นั่งได้ไม่นานหรอก…หนาว






แถวๆ ทางขึ้นเป็นแค้มป์ไซต์ คนมาจอดรถตั้งแค้มป์เพื่อรอดูนกตอนเย็นกันเยอะ เพราะช่วงเย็นนกจะออกกันเยอะกว่ากลางวันแดดเปรี้ยงๆ แบบนี้ เราลงเขามาได้ก็ไปปักหลักนั่งที่หน้าแค้มป์รอรถ

ตอนนี้เองที่เราเจอมิสจี ซึ่งมาคนเดียว เธอเป็นคนไต้หวันแต่ไปโตที่ออสเตรเลีย แต่ตอนนี้มา work & travel อยู่แถวสกอตแลนด์ (นาง 30 พอดี เป็นช่างเทคนิคถ่ายเอ็กซเรย์) เห็นเป็นเอเชียเหมือนกันเลยเมาท์กัน บูนั่งจิบกาแฟ มิสจีกินไอติม เอ๋น้อยน้ำเปล่า ตากแดดเปรี้ยงๆ เป็นฝรั่งมังค่ากันเชียว
…เรื่องของเรื่องคือไม่มีโต๊ะไหนร่มเลยว่ะ
หลังจากคุยกันพักนึง บูสรุปว่าเอ๋น้อยกับมิสจีคล้ายกันหลายสิ่งนะ เช่นพวกเธอชอบถ่ายรูปฝาท่อเหมือนกัน ดูซีรี่ส์เกาหลีเหมือนกัน ชอบอาหารเอเชียแซบๆ เหมือนกัน สุดท้ายมิสจีขอตามพวกเรามากินอาหารไทยด้วย เพราะนางเองก็เบื่ออาหารนอร์เวย์อันจืดชืดเช่นกัน ต้องแบบนี้เซ่ เอเชียด้วยกัน!!!
อาหารไทยร้านชื่อรสเสบียง…มาถึงตอนใกล้ร้านจะปิดละ (ที่นี่ปิดกันเร็วมาก) เป็นร้านเล็กๆ เน้นซื้อกลับบ้าน แต่มีโต๊ะให้นั่งกินได้ (ทำให้ภาษีลดลงเหลือ 15% ไง)
เราสั่งกะเพราไก่ (ที่ไม่มีกะเพราสักใบ) บูสั่งแกงแดงไก่
พบว่าอาหารอร่อยมาก! คือมาจานใหญ่มาก แต่เรากินเรียบ! (แบ่งให้บูนิดหน่อยเอ๊ง) แกงบูก็อร่อย มิสจีก็ชอบและกินหมดจานเช่นกัน โอยอยากไปกินพรุ่งนี้อีก เปรยกับบูประมาณ 10 รอบได้ คิดถึงข้าวสวยหอมๆ ร้อนๆ สุดๆ

เราเดินเล่นกันอีกแป๊บนึง แล้วก็กลับที่พัก เพื่อซักผ้าล็อตสุดท้าย พรุ่งนี้จะได้เดินเล่นเมืองสบายๆ กันหน่อยละ จบไปอีกหนึ่งวันอันแสนสุข พรุ่งนี้ถึงเวลาเดินชมบ้านเรือนสถาปัตยกรรมอาร์ตนูโวสวยๆ แล้วววว

