
มานิวยอร์กแล้วไม่ได้แวะเข้ามิวเซียมใหญ่ๆ สักแห่ง ก็เหมือนขาดอรรถรสสำคัญของเมืองไป เพราะมิวเซียมทั้งหลายจัดเป็นหนึ่งในของเด็ด ของดี ที่เชื้อเชิญให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เขามาเที่ยวที่นี่กัน
the Met Museum
เป็น A must ของการมาเลยก็ว่าได้ ถ้าให้เปรียบก็คล้าย V&A museum ที่ลอนดอน คือใหญ่ม๊ากกกกกกก และมีเกือบทุกสิ่งอย่างรวมกันอยู่ในที่เดียว เตรียมเวลาไว้อย่างน้อย 3-4 ชม.ในการเดินชม พร้อมน้ำและขนมตุนไว้ (เดินๆ ดูไปคอจะแห้งม๊าก)
ค่าเข้าเหมือนเค้าจะให้บริจาค แต่พนักงานก็จะบอกว่า “แนะนำว่าควรบริจาค 20 เหรียญเค่อะ” อันนี้ก็แล้วแต่วิจารณญานของแต่ละบุคคลที่จะให้ เพื่อนบางคนของเราถึงรู้ก็ยังบริจาคแค่คนละ 10 เหรียญนะ 5555 (ถ้าตั้งใจให้บริจาคจริง ก็ควรมีตู้ตั้งไว้รอเราหยอดตังเหมือน V&A สิเนอะ จะให้คนเข้าคิวไปซื้อตั๋วทำไมเนอะ เนอะ เนอะ เนอะ)
เราว่าที่นี่มีมัมมี่และสมบัติที่ขุดจากสุสานในอียิปต์เยอะที่สุดแล้วอะ ดูเท่าไรก็ไม่หมดไม่สิ้น ถึงกับต้องทำใจมองข้ามไปบ้าง (ขนาดว่าชอบดูละนะ) ถึงขนาดมีวัด (Temple of Dendur) ที่ขนย้ายมาทั้งอันตั้งไว้ให้คนเข้าไปดู (ไม่ใหญ่มาก แต่…นะ ก็มี)
แน่นอนว่า โบราณวัตถุอันล้ำค่าจากชาติต่างๆ ต้องมีมากองรวมไว้ที่นี่ ทั้งรูปปั้นเทพเปลือย เรือไม้จากดินแดนอันไกลโพ้น จิตรกรรมบนผนังของอียิปต์ ฮิปโปสีฟ้าเทอร์คอยซ์ เครื่องประดับทองล้ำค่าเก่าแก่ แจกันเก่ากรุ หม้อชามรามไหหลายร้อยหลายพันปี ประตูรั้วเหล็กจากยุคเมดิวัล เสาหินจากโรมัน กระเบื้องพื้นโมรอคโค ผ้าปัก พรม ฯลฯ มาหมด!
ส่วนงานอาร์ต ภาพวาดศิลปะไม่ได้มีแค่ของเก่า มีของใหม่ด้วย งานแฟชั่นเขาก็มีเจ๋งๆ เพียบ ทั้งชาแนล อิซเซ่ กอมเดอกาซอง ก็มาจัดนิทรรศการดีๆ ที่คอยหมุนเวียนอยู่ตลอดปีไม่มีเบื่อ
ด้านสถาปัตยกรรม สำหรับสถาปนิกและผู้รักการตกแต่ง เขาขนเอาห้องทำงานของคุณแฟรงค์ลอยไรด์ มาจัดแสดงภายในนี้ด้วย ไม่พอยังมีการยกเค้า เอาบ้านสมัยเก่ามาจัดแสดงเป็นห้องๆ ไปเลยค่า อันนี้ต้องยอมรับว่าเจ๋งและได้บรรยากาศดี แม้ขนาดอาจจะไม่เป๊ะเท่าของจริง แต่บรรยากาศโดยรวมได้อยู่ ขณะที่พวกของใช้ในบ้านเช่นโต๊ะ เก้าอี้ ของจุกจิกจานชามทั้งหลาย ก็มีจัดไว้ให้ดูเพียบ
แนะนำว่าถ้าเดินผ่าน ให้ลองเข้าไปดูห้องเก็บของที่เขาไม่ได้จัดแสดงอะ ของเยอะม๊ากกกก มันจะรวมๆ กันอยู่ในตู้กระจก แต่ก็มีการจัดระเบียบให้ดูง่าย แถมเอาเลขทะเบียนไปค้นรายละเอียดข้อมูลเชิงลึกจากคอมฯ ได้อีก
สำหรับคนหิว แนะนำให้หาทางลงไปที่ชั้นล่างสุด จะมีแคนทีนที่เน้นของกินไม่เน้นบรรยากาศ ขายน้ำและอาหารราคาไม่แพงเท่าคาเฟ่เก๋ชิคด้านบน คนไม่แน่น ไม่ต้องต่อคิว เราชอบตรงนี้มาก มีห้องน้ำสะอาดสะอ้านให้เข้าอีกต่างหาก

บางคนอาจจะทราบแล้ว (ก็อ่านข้ามไป) ว่าบัตร The Met เนี่ย สามารถใช้เข้ามิวเซียมในสาขา The Met อีก 2 แห่งได้ฟรีในสามวัน ซึ่งอีก 2 แห่งที่ว่าคือ The Met Breuer ที่เน้นงานโมเดิร์นอาร์ต ตั้งห่างออกไปชนิดที่เดินถึงได้ใน 30 นาที (นั่งแทกซี่ก็ดีนะถ้ามากันหลายคน) และอีกแห่งคือ The Cloister ซึ่งอยู่ไกลปู๊นจู๊น ออกนอกเมืองไปไม่นิด ซึ่งเน้นจัดแสดงงานจากยุคเมดิวัลโดยเฉพาะ (คุณบูบอกแต่ละมุมนี่เหมือนหลุดมาจากหนัง Game of thrones) แต่บอกเลยว่ามันเด็ดจริงนะ เพราะตัวอาคารที่เป็นมิวเซียม เข้าเอาปราสาทหรือไม่ก็สิ่งก่อสร้างจากยุคเมดิวัล มาประกอบรวมกันเป็นหลังเดียว เล็กแต่เจ๋งมากๆ เหมือนเดินเข้าปราสาทยุคเมดิวัลเลยจริงๆ มีสวนมีอะไรเสร็จสรรพ
เราเคยเข้า The Cloister ตอนเช้า ส่วนตอนเย็นๆ ก็เข้าเมืองมาที่ The Met Breuer ทันอยู่นะ


Guggenheim Museum
เราไปครั้งนึงตอนเค้าปิดพื้นที่ส่วนใหญ่ทำนิทรรศการถัดไป เลยได้ลดค่าเข้า แต่ก็ไม่ได้เห็นอะไรมาก นอกจากงานอาร์ตแบบมินิมัลของคุณ Agnes Martin (เกือบหลับ) แต่โดยรวมแล้วรู้สึกว่า นอกจากอาคารม้วนไปมาแลดูแปลกตา (แต่หาห้องน้ำเข้ายากม๊าก!) Guggenheim ที่นี่ไม่ใหญ่ ไม่เจ๋งเท่าที่ Bilbao ในสเปนล่ะ (คลิกอ่านที่นี่) อาจจะเพราะพื้นที่เล็กกว่า และน่าจะเน้นงานอาร์ตมากกว่าพวก installation ชิ้นใหญ่ๆ (แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะเราดูไม่ครบทุกพื้นที่)
ไปแล้วก็อย่าลืมมองหา “ห้องน้ำโถส้วมทองคำ” ล่ะ เพราะมันมีอยู่ห้องนึง คนต่อคิวกันเข้ายาวเลยล่ะ 5555
ที่นี่อยู่ใกล้ The Met นิดเดียวเอง ถ้ามา The Met แล้วคิดว่ายังไหว ก็เดินขึ้นมาทางเหนืออีกนิดเดียวเท่านั้น ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว (และถ้ากำลังขายังไม่โดนริดรอนจากการเดิน The Met ไปซะก่อน)
และ! อีกแค่คืบเดียวจาก Guggenheim ก็จะถึง Cooper Hewitt Design Museum ของ Smithsonian ซึ่งเราชอบที่นี่มาก เป็นมิวเซียมเล็กๆ ที่เน้นของดีไซน์ในชีิวตประจำวัน อันจะเขียนถึงในบล็อก “มิวเซียมเล็ก ในนิวยอร์ก” ต่อไป (แต่ยังไม่ได้เขียน)



The American Natural History Museum
เป็นที่ถ่ายหนังเรื่อง Night at the museum และเค้ามีโปรแกรมให้เด็กๆ (น่าจะ 4 ขวบขึ้นไป) มาค้างที่มิวเซียมได้จริงๆ ด้วย (พร้อมผู้ปกครองนะคิดว่า) เราไปมิวเซียมนี้มา 2 หน เป็นสมาชิกประจำปีด้วย แต่ว่า…รูปหายไปไหนหมด? คือขณะเขียนบล็อกนี้พยายามค้นรูปที่เคยถ่าย แต่มันหายไปไหนไม่รู้อะ มีแต่รูปน้องกวางที่เห็นเนี่ย
พูดถึง Natural History museum แล้ว สัตว์สตัฟฟ์ โครงกระดูกไดโนเสาร์ รวมถึงพวกเศษหิน อุกกาบาตจากที่ร่วงหล่นมาบนโลกจะมีค่ะ นอกจากพาเด็กๆ มาเพิ่มพูนความรู้แบบแน่นๆ แล้ว ผู้ใหญ่อย่างเราๆ ก็สนุกได้ ดูอย่างพวกเราสิถึงขนาดสมัครสมาชิกไว้ (แต่สุดท้ายก็ไปสองหน งึมๆ)
ใกล้ๆ กันมีร้านเบอร์เกอร์ Shake Shack ที่คนชอบไปกินกันด้วย ก็สะดวกดีนะ หิวๆ จะแวะกินก่อนหรือหลังเข้ามิวเซียมก็ได้ (สำหรับคนสนใจจะมาลุยกินเบอร์เกอร์ในนิวยอร์ก อ่านรีวิวประสบการณ์ลุยกินเบอร์เกอร์ของเราได้ ที่นี่)
MOMA
ฟรีเดย์ : ทุกวันศุกร์หลัง 4 โมงเย็น
หรือ Museum of Modern Art ชื่อเค้าก็บอกอยู่แล้วเนาะว่าเป็นโมเดิร์น ดังนั้นก็ต้องมีสิ่งเดิ้น-เดิ้นอยู่ในนั้น พวกงานป๊อบอาร์ตของคุณ Warhol มีจัดแสดงรวมถึงศิลปินรุ่นหลังๆ ทั้่งหลายแหล่ นอกจากงานภาพ ยังมีพวกชิ้นงานใหญ่ๆ ด้วย
มิวเซียมช็อปของเค้าก็ดีเลยอะ ปกติเราจะไปช็อปสาขาแถว Soho (ตรงข้ามร้าน Balthaza) สาขานั้นของก็เยอะมากๆ มีเครื่องเขียน ของจุกจิกจาก Hay ขายอยู่ชั้นล่างด้วย
เห็นรูปด้านล่างแล้วทำให้นึกออก ว่าตอนไปได้ดูอะไรบ้าง นั่นคือวีดิโอที่เค้าบันทึกไว้ตอนอเมริกาทดลองระเบิดปรมาณู ณ ดินแดนอันห่างไกลผู้คนในประเทศอเมริกานี่แหละ เป็นวีดิโอลับของทางทหาร ที่ใครสักคน (ลืมชื่อ!) ไปขอเอามาเผยแพร่ได้ ช่วงเวลาเป็นสิบๆ นาทีที่ยืนดูคือทุกคนนิ่งไม่มีใครพูดอะไร ความคิดคงแตกต่างกันไปสารพัน ส่วนฉันคิดแค่ว่าขอให้โลกสงบสุข สันติ สันติ

และ…เข้าใจว่าตั๋วของ MOMA สามารถนำไปใช้เข้า MOMA PS1 ได้ฟรีด้วย (ไม่แน่ใจว่าต้องซื้อ bundle หรือให้เข้าได้เลย ลองถามพนักงานดู เพราะเราเองไปตอนเข้าฟรี เลยไม่ได้คิดจะถาม) ทั้งสองแห่งอยู่ไกลกันพอควร ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปดูวันเดียวกันก่ะได้
MOMA PS1 เป็นมิวเซียมเล็กๆ นะ คอนเซ็ปต์เค้าคนละแบบกับยานแม่ คือมีงาน installation ชิ้นใหญ่ๆ ด้วย และมีผลงานของศิลปินที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่ระดับโลกมาจัดแสดงบ่อยๆ แต่ส่วนตัวเราว่าทีเด็ดเขาคือคาเฟ่ของมิวเซียม (555555) เขาจัดโต๊ะกินอาหารเป็นเหมือนห้องเรียนอะน่ารักดี ที่สำคัญคือาหารอร่อยมากๆๆ เราถึงขนาดเคยไปแค่เพราะกินอาหารในคาเฟ่เค้าอย่างเดียวด้วยล่ะ (ตามประสาคนเรื่องกินเรื่องใหญ่)
Whitney Museum
เป็นมิวเซียมจัดแสดงงานอาร์ตของคนอเมริกันโดยเฉพาะ งานที่จัดแสดงมีทั้งภาพ และชิ้นงาน นอกจากด้านในตัวอาคารแล้ว ตรงระเบียงด้านนอกเขาก็ชอบเอาอะไรไปวางๆ ด้วยเหมือนกัน ลองส่องๆ ดู
อีกอย่างที่โดดเด่นของมิวเซียมนี้คือบรรยากาศ เพราะตั้งติดริมน้ำเห็นวิวสวย อีกด้านก็ติดกับ High Line ส่วนใหญ่คนจะแวะมาเป็นทริปเดียวกับการเดิน The High Line (คลิกอ่าน The High Line ที่นี่) ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน A must ของการมานิวยอร์ก ก็แนะนำให้มากันเพราะตัวเราเองก็ชอบไปเดินแถว High Line มากเหมือนกัน



New York Public Library
อันนี้ไม่ใช่มิวเซียม แต่ก็จัดว่าเป็นเหมือนมิวเซียมในตัวมันเอง เดินเข้าไปนี่แบบขลังอลังการย้อนยุคมาก และห้องโถงใหญ่ก็เป็นจุดที่ควรค่าแก่การแวะเข้าไปชม (Touristy สุดๆ เพราะนักท่องเที่ยวส่งเสียงกันอื้ออึง ใครนั่งอ่านหนังสือรู้เรื่องนี่เก่งสุดอะ) รวมถึงห้องสมุดแผนที่โบราณ และห้องพิเศษอะไรต่ออะไรเยอะแยะมากมาย อย่าเดินหลงก่อนละกัน มันใหญ่โตทีเดียว
อย่าลืมลงชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นห้องสมุดเด็ก เพราะที่นั่นมี Winnie the Pooh ออริจินัลให้ดูด้วย
ที่นี่เป็นห้องสมุด จึงไม่เก็บค่าเข้า
Brooklyn Museum
เข้าฟรี: 17.00-23.00 เสาร์แรกของทุกเดือน (ยกเว้นกันยายน)
อันนี้ติดจะหลุดไปอยู่ฝั่ง Brooklyn แต่เดินทางไม่ยาก เพราะขึ้นจากสถานีซับเวย์ มิวเซียมก็จะอยู่ตรงหน้าท่านเลยข่า (สาย 2,3)
งานที่นีี่เค้าจะมิกซ์ๆ เหมือน The Met แต่ขนาดจะย่อมเยาลงมามากหน่อย สิ่งที่จัดแสดงไม่ได้มีแค่ภาพวาดงานศิลป์ล้ำค่าจากศตวรรษที่ 14 เรียงกันบนกำแพงเป็นพรืดๆ แต่จะมีงาน installation art หลากหลายประเภท ทั้งสวยงาม สร้างสรรค์ ประชดประชัน เสียดสีให้ดูค่อนข้างเยอะ รวมถึงงานแสดงความเป็นเฟมินีนจ๋าที่คนเขาชอบมาดูกันชื่อ The Dinner Party (จานทำเป็นรูปอวัยวะเพศหญิงในรูปแบบของศิลปะอันงดงาม)
เป็นอีกมิวเซียมที่ค่อนข้างชอบ ใครมาแถวนี้แล้ว ก็รวดเลยไป Brooklyn Botanic Garden ซะเลยสิ เค้าทำดี ทำสวยมากเลยนะ โดยเฉพาะช่วงเดือนเมษาจะมีอุโมงค์ซากุระให้ดูด้วย (คลิกอ่านที่นี่)
