เมื่อคืนถึงกับไม่มีแรงลุกมาเข้าห้องน้ำ (ปกติลุก 1-2 เที่ยว/คืน)
ทันทีที่ลืมตาตื่น ก็รู้สึกปวดไหล่ประหนึ่งถูกไดโนเสาร์เหยียบ (เพราะเมื่อวานไปพายคายัคขึ้นภูเขาน้ำแข็งมาไง คลิกอ่านที่นี่) คาดว่าวันนี้บอดี้มูฟสปีดจะต้องตกลงอย่างแน่นอน โอย…สังขารหนอ….
กินอาหารเช้าเสร็จ 7.45 น. ลากกระเป๋าไปรอบัส UNESCO Fjord Bus Tour เพื่อเดินทางไป Geiranger อันเป็นเมืองเป้าหมายต่อไปของเรา (ใช้เวลาเดินทางราว 4.5 ชม.) ข้อดีอย่างนึงของ รร. Best Western ก็คือตั้งตรงข้าม Bus Terminal เดินไม่ถึงนาทีก็ถึงละ สบ๊ายสบาย แถมมีตู้ปณ.ให้หย่อนโปสการ์ดได้ด้วย ลั้นลา
อากาศหนาวจนต้องควักเสื้อขนเป็ดมาสวมทับสเวตเตอร์ แน่ใจนะว่านี่มันหน้าร้อน อ่อยยยย… T^T
รถ Unesco Fjord Bus Tour นี่การันตีเลยว่านั่งแล้วจะได้เห็นวิวดีเด่น ทั้งภูเขาน้ำแข็ง Fjord สวยๆ น้ำตก ทุ่งหญ้า ที่ราบ แคนยอน พอรถผ่านอะไรดีๆ ลุงคนขับจะประกาศบอกตลอด กระทั่งเห็นเรนเดียร์ยังบอก
แต่ครอบครัวตัวพีหลับโงกข่าาาาาา….
คงเพราะถนนที่นี่ดีมาก บวกกับลุงขับนุ่มมาก และความเหนื่อยล้าจากกิจกรรมเมื่อวาน เลยหลับเพลิ๊นไม่รู้ตัว
Geiranger นี่เป็นเมืองจุดหมายของนักแค้มปิ้งจำนวนมาก เพราะวิวสวย มีถนนลัดเลาะลงเขาเหมือนผ้าทบไปมา ต่างจากเขาลูกอื่นที่เจาะเป็นอุโมงค์ทำถนนลอดไป แถมมีแคมป์ไซต์กว้างใหญ่เป็นเรื่องเป็นราว ที่นี่เป็นหนึ่งใน Unesco Heritage Site นะคะ ไม่ธรรมดา ใครจะขับรถมาเองก็ประคองสติให้มั่น เพราะถนนเล็กและขับยากเอาการอยู่ โดยเฉพาะเวลามีรถบัสสวนทาง
พอใกล้ถึงปลายทาง รถจะแวะจอดให้ถ่ายรูปบนจุดชมวิว Geiranger fjord ตั้ง 10 นาทีแน่ะ
ทุกคนรีบกรูกันลงไป…


พอกลับขึ้นรถ ถามลุงคนขับว่ารร.ที่พักของเราอยู่ไกลไหม (บูนึกสะกิดใจขึ้นมา ว่าน่าจะอยู่บนเขาแถวๆ จุดชมวิวนี่แหละ) ถ้าเราไปลงรถที่เมืองด้านล่าง จะมีแทกซี่จากเมืองขึ้นมาส่งไหม
ลุงคนขับรู้จักรร.ทันที เพราะเมืองเล็ก มีโรงแรมไม่กี่แห่ง แกบอกว่าเมืองเล็ก หาแทกซี่ยาก เป๋าใหญ่ไหม? (เราบอกว่าใหญ่) ลุงเลยบอกว่าเด๋วจะลองไปส่งหน้าโรงแรมดูถ้ามีที่จอด (อย่างที่บอกว่าถนนเล็กมาก ถ้าจอดนานอาจโดนรถตามหลังด่าบุพการีได้)
และลุงคนขับก็น่ารักมากส่งเราถึงหน้าโรงแรมจริงๆ (ห่างจากจุดชมวิว 2 นาทีเอง ตอนที่ถามเรื่องเป๋า ถ้าเรามีเป๋าเล็กแกคงแนะนำให้เดินลงมาเลย) ลุงบอกฉันเป็นแทกซี่ให้เธอแล้วนะ จากนั้นก็ขยิบตาให้ก่อนบ๊ายบายกันด้วย โอยลุงน่ารักจุ๊งจิ๊งที่สุด

พวกเราฝากกระเป๋าไว้เพราะมาถึงเที่ยงกว่า ยังเช็คอินไม่ได้ จะลงไปที่เมืองพนง.บอกว่ามีสองทางก็คือ เดิน 30 นาที หรือไม่ก็แท็กซี่
บูใช้เวลาคิดครึ่งวินาที ก่อนเลือกทางเหนื่อยกว่าคือ เดิน!!!!
โอย….วันนี้ปวดตัวมาก อยากนั่งแทกฯ อ้าปากหมายจะงับหัวคุณบู แต่หูได้ยินพนง.ชิงพูดขึ้นก่อนว่า “ระหว่างทางมีน้ำตกนะคะ”
เออแฮะ…ก็ไม่เลว เราน่าจะเดินชมธรรมชาติแถวนี้ดูสักเที่ยว จะได้เห็นวิวมุมสูงด้วย
ที่สำคัญการเดินลงคงดีกว่าเดินขึ้น
อะๆ ยกความดีความชอบให้คุณบู เพราะเป็นการตัดสินใจที่แจ่ม เดินลงเขาเข้าเมืองเป็นอะไรที่สนุก ดอกไม้ป่าสีสีสันสวย ได้เห็นสตรอร์เบอรี่ ราสพ์เบอร์รี่ป่าเป็นครั้งแรก (ลูกจิ๋วเท่าเม็ดไข่ปลาแซลมอนเองอะ) บ้านเรือนคนน่ารัก ถนนหักศอกแฮร์พินตลบไปมา เสียอย่างเดียว…รถวิ่งเยอะกว่าที่คิดไปนิด ต้องคอยหลบๆ เสียวตูดมากเพราะไม่มีทางเท้า ถนนรึก็เล็กจิ๋ว










เดินถึงถนนด้านล่าง ผ่านรถบัสที่เราเพิ่งขึ้นเมื่อกี๊จอดอยู่ไกลๆ ลุงคงรอรับผู้โดยสารกลับรอบบ่ายสาม พวกเราโบกมือให้แต่ลุงไม่เห็น (ลุงอ่านหนังสือพิมพ์อยู่)
บูเข้าไปถามทางพนักงาน ว่าจะซื้อทัวร์เฟอร์รี่ล่องไปตาม Fjord ที่ไหน นางบอกว่าที่ Tourist Info ในเมืองเลยจ้ะตี๋ แล้วก็แนะนำให้พวกเราเดินเลาะลงไปทางริมน้ำตก เดินตามทางไปเรื่อยๆ ก็จะเจอเอง เมืองมันเล็กไม่ต้องกลัว ทางเดินเลาะน้ำตกก็สวยมาก เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวหลักของเมืองเช่นกัน








พอลงไปถึงตัวเมือง Geiranger ที่อยู่ริมท่าเรือเฟอร์รี่ทะนั้น จากที่ตะกี๊มองไปทางไหนก็เห็นแต่ขุนเขากับดอกไม้ใบหญ้า พวกเราก็ได้มาพานพบกับคนมหาศาล จนอิเอ๋น้อยตกใจว่าเอ๊ะ เมืองดูเล็กๆ เงียบๆ ทำไมคนเยอะ อ๋อ…ก็เฟอร์รี่บะเฮ่งที่ลอยลำพวกนั้นไง พานักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ทั้งฝรั่ง ทั้งจีน มาขึ้นท่าเต็มไปโม้ดดดดดด…คนหยั่งหนอน
ตัวเมือง Geiranger
นักท่องเที่ยวเยอะม๊าก เพราะมีเรือเฟอร์รี่มาจอดหลายลำอย่างที่กล่าว เต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร คาเฟ่น่ารัก เบเกอรี่ประปราย แต่พอตกค่ำสักทุ่มสองทุ่มทะนั้นแหละ เงียบสนิทเหมือนไม่เคยมีมนุษย์แผ้วพาน ท่าเรือที่คนพล่านกลับเหมือนเมืองร้าง ร้านที่ทุกคนพูดถึงคือ Geiranger bakery (ก็อยู่ตรงข้าม Tourist Info และป้ายจอดแท็กซี่นั่นแล กับอีกสาขานึงเป็นสาขาหลักอยู่ริมๆ ท่าน้ำหน่อย)




ซื้อตั๋วเฟอร์รี่ล่องเลาะ Fjord
เป็นกิจกรรมที่คนส่วนใหญ่ทำกัน (เพราะไม่มีอะไรให้ทำมากนัก) ซื้อตั๋วได้ที่ Tourist Information Center เรือมี 2 แบบคือรอบละ 60 นาที (ไม่รู้ราคา) กับรอบละ 90 นาที (ค่าตั๋วเรือคนละ 250 NOK) ส่วนตัวนะ…แนะนำว่าแค่ 60 นาทีก็พอแล้วแหละ แต่ความอัศจรรย์คือลุงคนที่ประจำอยู่ใน Tourist Info นี่ดิ แกทำทุกอย่างเลยตั้งกะขายแผนที่ เรียกแท็กซี่ ตอบคำถามสารพัดรูปแบบจากนักท่องเที่ยวที่คิวกันยาวม๊ากกกกก (มีไวไฟฟรี แรงดีด้วย)
ด้วยความที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย และเหลือเวลาอีก 45 นาทีกว่าเรือจะออก เราเลยพากันเดินเข้าร้านติดๆ กันนั่นเอง ชื่อว่า Brasserie Posten ดัดแปลงมาจากไปรษณีย์เก่า อ้าว….อาหารอร่อยไปอีก เรากินซุปปลา กับกุ้งเย็น ซึ่งแซบมาก อิตอนแรกบูจะกิน meatball แต่สั่งผิดเลยได้กุ้งเย็นมาแทน ทว่าผิดกลายเป็นถูก เพราะกุ้งอร่อย ดึ๋งๆ หวานๆ เป็นเมนูแนะนำในการมาประเทศแถบสแกนดี้จริงๆ
ตอนนั่งกิน เด็กนอร์วีเจี้ยนโต๊ะข้างๆ มองเราเขม็งทุกทีที่เผลอ สงสัยไม่เคยเห็นกะเหรี่ยงไทย…มามะ พี่จะกอดทีนึงให้
ค่าอาหารทั้งหมด 470 NOK (มีเบียร์ 1 ขวด)
ล่องเรือ Geiranger Fjord
ตอนแรกนึกว่าคนเต็มลำจนไม่มีที่ยืน เพราะเห็นออกันด้านนอกล้นเลย ปรากฏเดินเข้าด้านในที่นั่งโล่งว่าง ฝรั่งนี่บ้าเอาดอร์กันจริงๆ เราเลยไปจับจองที่นั่ง 4 คนนั่งสบายๆ นอนเขลงเกาพุงดูวิวไปเอื่อยๆ โผล่หัวไปถ่ายรูป 2-3 แชะ แล้วกลับมาลูปทำแบบเดิม
ก็พวกเราเห็น Fjord กันตั้งแต่เมื่อวานแบบสวยมาก ธรรมชาติมากกันมาแล้ว มาตรงนี้เลยชักเฉยๆ เกือบจะหลับเพราะในเรืออุ่นมาก ดีตรงมี audio guide ให้ฟังสนุกๆ เป็นเรื่องเล่าของคนแถวนี้ เช่นว่า Geiranger เป็นเมืองที่หนาวมากอย่างโหดร้ายจนขึ้นชื่อลือชา เมื่อก่อนคนอยู่กันบนผา ทำมาหากินเปิดฟาร์มกันบนนั้น หน้าหนาวทีเข้าออกได้ทางเดียวคือเรือ เพราะถนนถูกหิมะปิดหนามากจนทำยังไงก็ไม่มีวันเคลียร์ได้หมด
แต่หลังจากมีการสร้างถนน Eagle (ถนนหักศอกตลบไปมา) ทำให้คนแถวนี้ได้ติดต่อกับเมืองอื่นๆ ตลอดปี แม้ในฤดูหนาวเพราะใช้เวลาเคลียร์หิมนะไม่นาน (แต่ก็หลาายชม.อาจจะเป็นวัน) ดังนั้นถึงหน้าหนาว เมืองก็จะร้างไม่มีนักท่องเที่ยว (ยกเว้นคนอยากปีนเขาหน้าหนาว) ผู้คนใช้เวลาแต่ละวันในการโกยหิมะเป็นเรื่องปกติ อา..มิน่า ประตูรร.ถึงมีสองชั้น และมีฮีตเตอร์ทุกหนแห่งกระทั่งในห้องน้ำ…ฉันไม่มาทีนี่หน้าหนาวแน่ๆ





ขึ้นจากเรือมาได้ เราเดินเล่นในตัวเมือง นักท่องเที่ยวเหมือนเยอะขึ้นจนน่าเวียนหัว ซื้อโรลล์วานิลลากับซินนามอนจากร้าน Geiranger Bakery มาตุนเป็นเสบียงวันพรุ่งนี้ เราลองกินแฟนต้าน้ำส้มของที่นี่ด้วย เห็นเด็กๆ กินกันน่าอร่อย โว๊ะ อร่อยเชอ…ไม่ซ่าเท่าของเราออกขมนิดๆ ติดใจแล้วอะ

ไปเมียงมองที่ป้ายแท็กซี่อยู่พักใหญ่ไม่มาสักที เลยไปขอให้ลุงที่ tourist info โทร.เรียกแท็กซี่ให้ ไม่ถึง 10 นาทีแท็กซี่ก็มา บูบอกเป็นรถแท็กซี่ไฟฟ้าทั้งคัน ประตูเปิดแบบรถแบทแมนด้วย เท่มาก ขึ้นตรงคนเยอะๆ คนมองกันเป็นแถบ ยืดอกเฟ้ย
ใช้เวลาจากเมืองขึ้นมาโรงแรมไม่ถึง 10 นาที ค่ารถจัดไป 200 NOK โอวววว เหมือนเงินปลิวหวือไปกับสายลม… T^T
อาหารเย็นที่โรงแรม
เรากินอาหารเย็นที่โรงแรมเพราะขี้เกียจหาร้าน อาหารหน้าตาดูดีมาก รสชาติอร่อยด้วย บรรยากาศก็ดี คนไม่แยะ เห็นวิวสวย หลังอาหารเย็น เดินเล่นไปเรือยเปื่อย เก็บดอกหญ้า ผ่านหน้าบ้านคน ดูสตรอเบอร์รี่ป่าลูกเท่าไข่ปลาแซลมอนสีแดงสดใส(อีกแล้ว) ช่วงหน้าร้อนพระอาทิตย์แทบไม่ตกดินจนกว่าจะ 4-5 ทุ่มโน่น จะเดินนานเท่าไรก็ตามสบายเลย
แต่ที่ไม่ไหวคือสังขารอิฉันนี่ล่ะ เหนื่อย เดินได้สักครึ่งชั่วโมงก็กลับโรงแรม ขอเก็บแรงไว้เดินป่าจริงๆ จังๆ พรุ่งนี้ละกัน





โดยรวมวันนี้สนุกดี ได้ทำอะไรเบาๆ
โรงแรมที่เราพักชื่อ Hotell Utsikten Geiranger
ข้อดีคือ
ห้องไม่ใหญ่มาก แต่เห็นวิวสวย (ขนาดห้องเราวิวไม่ค่อยสวยมากละนะ)
สงบเงียบ นอนรวดเดียวถึงเช้า
อาหารอร่อยทำกิจจะ มีบริการอาหารทุกมื้อทั้งเช้า กลางวัน เย็น (แต่ถ้าคนเกิน 5 คนจะรอนานมาก)
ใกล้ทางเดินป่า (Gerinager มีทางเดินป่าเยอะและสวยธรรมชาติมาก)
คิดว่าทุกห้องเห็นวิวสวยๆ หมด ขนาดเรายังเห็นวิวป่าสนและน้ำตกเลย (ห้องเราไม่ค่อยดีเท่าไร)
อาหารเย็นมื้อแรกที่โรงแรม ทำ proper มากจนตะลึง เรากินเมนูผักอร่อยดีนะ บูกินแกะที่กลิ่นแตกต่างไปจากเดิม strawberry meringue ของหวานเค้าก็อร่อย
ข้อเสียคือ
ไกลจากเมือง เดินลง 30 นาที เดินขึ้นคงสักชม. กว่า
ค่าแท็กซี่ 200 NOK ต่อเที่ยว
เหนืออื่นใด ทั้งเมืองมีแท็กซี่อยู่ 2 คันข่าาาาาาาาา อยากใช้บริการจากรร.ต้องโทร.เรียกนะค้า
และอาจจะเกิดหายนะไม่มีแทกซี่ในเวลาที่เราต้องการที่สุด (และมันก็เกิดขึ้นจริงจนได้ ในเวลาที่ตูจะรีบร้อนไปขึ้นบัส!)