
ก่อนจะเริ่มเขียนบล็อกวันแรกที่ Sogndal น่าจะมีคำถามลอยๆ ขึ้นมาว่า “พวกเอ็งมาทำไมกันที่เมืองเล็กกระจิ๋วนี่”
อย่างที่เขียนไว้ใน day0 ว่าเป้าหมายอย่างนึงของการมานอร์เวย์ ก็คือการเดินบน Glacier หรือภูเขาน้ำแข็ง ซึ่ง Glacier ที่เราจะไปเนี่ยมีขนาดใหญ่ที่สุดในนอร์เวย์ และ Sogndal ก็เป็นเมืองนึงที่อยู่ใกล้ เลยตัดสินใจเลือกพักค้างคืนกันเมืองนี้ ก่อนจะขับรถขึ้นไปจอยทัวร์ปีนเขาน้ำแข็งในวันรุ่งขึ้น เพราะใช้เวลาขับราว 1 ชม.ก็ถึงจุดนัดพบ
ดังนั้นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ คือการตื่นแต่ไก่โห่ (แง) พอ 6 โมงเช้าอิเอ๋น้อยก็ถูกแซะกลิ้งลงเตียงหลุนๆ ทำตาตุ่นๆ ไปกินอาหารเช้าที่โรงแรม ด้วยความที่วันนี้เราต้องเตรียมอาหารกลางวันไปกินบนเขาน้ำแข็งเอง ก็กลัวว่ามาม่าที่มีจะไม่อิ่ม เลยฉกไข่ต้ม 3 ฟอง ขนมปังมอลต์2 แผ่น ชีส 2 แผ่นจากไลน์บุฟเฟต์โรงแรมไปเป็นอาหารกลางวัน เอากระติกไปเติมน้ำร้อน น้ำเย็นของเค้าพร้อมสรรพ

อะฮ่า เราไม่ใช่คนเดียวที่ทำนะ ส่วนใหญ่คนมาพักเมืองนี้เพื่อเดินป่า ปีนเขา ขึ้นเรือล่อง Fjord กันทั้งนั้น ดังนั้นแต่ละคนจึงหอบหิ้วอาหารสารพัดรูปแบบจากไลน์บุฟเฟต์ ใส่กล่องที่เตรียมมาเป็นกิจจะลักษณะไปกินกลางวันกันอย่างภาคภูมิ ไม่ใช่ห่อทิชชู่แบบมือสมัครเล่นอย่างฉันนะจ๊ะ
ล้อหมุนเดินไปเอารถเช่าที่ sixt ตอน 8 โมงเช้า ได้รถ Audi A3 สวยๆ เครื่องเบาเงียบสีขาวมา 1 คัน ค่าเช่ารถที่นอร์เวย์นี่…แพงโคตร (ขออภัยที่ยัยเอ๋น้อยบ่นเรื่องแพงตลอดทริป) ยิ่งถ้าเราไปรับรถนอกเวลาทำการ (9.00-16.00 น.! สาบานว่านี่เป็นเวลาทำการของบ.เช่ารถ!!??) ต้องเสียเงินเพิ่มอีกเกือบจะเท่าค่าเช่า…แล้วเราจะทำอะไรได้ นอกจากทำใจ (รวมๆ แล้วจ่ายค่าเช่าไปเกือบ 6 พันบาท/1 วัน! ไม่รวมค่าน้ำมัน)

อะๆ รีบขึ้นรถเหอะ เดี๋ยวไม่ทันเวลานัด
จากตัวเมือง เราต้องขับขึ้นเขาไปจนถึงจุดนัดพบ ถนนหนทางเขาขับง่าย รถน้อย มีแวะจอดถ่ายรูปลำธารน้ำจาก glacier กิ๊บก๊าบ ดิ๊วด๊าวกันน่าดู ทำให้ไปถึงจุดนัดพบของทัวร์ ก่อนเวลานัดตอน 10 โมงราว 5 นาทีเด๊ะ (ฟิ้วววว)

ทัวร์ Glacier
ทัวร์ที่เราจองเป็นของบริษัทชื่อ Ice Troll จำได้ว่าค่าทัวร์ตกราวคนละ 2-3 พันบาท ก็ไม่แพงนะสำหรับทัวร์ 6 ชม. แต่นอกจากอุปกรณ์ปีนน้ำแข็งและเรือคายัคแล้ว เค้าไม่เตรียมอาหารหรือพาหนะอะไรให้ทั้งนั้น
หลังจากเช็คชื่อ เตรียมตัว เข้าห้องน้ำครั้งสุดท้ายกันที่จุดนัดพบ ทุกคนเอารถไปเข้าแถวเป็นขบวน ขับตามกันไปที่สันเขื่อน ใช้เวลาเดินทางไปราว 15 นาทีมั้ง ฝนปรอยต้อนรับมาเชียว
จอดรถได้ แบกเป้ใส่บ่า พากันเดินขึ้นไปบนสันเขื่อน อา…แค่เริ่มก็เหนื่อยใจจิขาด
ไกด์แจกไม้พายพร้อมถุงมือกันน้ำ จากนั้นให้แต่ละคู่ยกเรือคายัคของตัวเองไถลลงน้ำไป ภาพแรกที่เห็นคือ โอววววสวยมาก นี่มันสวรรค์รึเปล่า มองไปทางไหนก็สีขาวๆ เทาๆ
เคลิ้มไปกับสิ่งที่เห็นได้ไม่ทัน 2 นาทีดี ก็มีข่าวด่วนแทรกละครหลังข่าวเข้ามา ว่าเธอจะต้องพายคายัคไป 6 โล กลับ 6 โล รวม 12 โลข่า
ไรอะ? ไม่ใช่พายเล่นๆ ขำๆ พอเป็นพิธีเหรอ!
อิเอ๋น้อยไม่เคยพายคายัคเองมาก่อนในชีวิต
แล้วยังไง? ก็ปวดแขนมันตั้งแต่ 10 เมตรแรกสิคะ ขานึงใช้เวลาพายราว 1.5 ชม.กว่าจะถึงตีน Glacier ที่เราจะปีน บอกเลยว่าเหนื่อยมาก และเรือเรารั้งท้ายตลอด ถึงแม่น้ำที่พายมีลักษณะคล้ายแอ่งกะทะที่ห้อมล้อมด้วยภูเขาน้ำแข็ง งดงามราวฝัน แต่ตอนนั้นแทบไม่มีสติจะสนความสวยงามแปลกตาอีกต่อไป
และแน่นอนว่า…น้ำนั้นเย็นเฉียบชนิดที่ไม่อยากให้มือเปียก


พอถึงจุดหมาย ลากคายัคขึ้นฝั่ง ยังไม่ทันหายเหนื่อย ไกด์บอกว่าให้รีบกินอาหารกลางวันให้เสร็จ! โอยชีวิต จะเอาอะไรกะตูนักหนา มองฟ้ารึฝนก็ตกปรอยๆ คนอื่นเขายืนเปิดทัปเปอร์แวร์กินผลไม้ หรือไม่ก็ถุงซิปล็อกกินขนมปังแห้งๆ แลดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจ


ตัดภาพมายัยเอ๋น้อย เปิดกระติกเทน้ำร้อนใส่มาม่าคัพ ระหว่างรอเส้นได้ที่ เต๊าะเปลือกไข่ต้ม 3 ลูก สลับกับการกัดหนมปัง พอมาม่าได้ที่ก็ดูดเส้นกินกันสองคน พิธีกรรมมากมายนี้เองทำให้ครอบครัวตัวพีรั้งท้ายคนอื่นกระทั่งเรื่องกิน 5555 (แคร์หรา) ไม่พอกินเสร็จแล้วย่องเข้าไปฉี่หลังโขดหิน (เห็นป้า 2 คนทำ) ที่ตลกคือฉี่เสร็จ ต้องเอาเท้ากลบเหมือนหมาเอาดินกลบอุนจี้ไงไม่รู้ (จะอายฉี่ตัวเองไปทำไม ในเมื่อยังไงก็ไม่มีใครมาเห็น!)
ก่อนขึ้น ไกด์จะสาธยายถึงพิธีกรรมเรื่องเครื่องแต่งกาย ว่าหนึ่งต้องใส่ฮาร์เนสเพื่อคล้องพวกเราทุกคนให้เป็นสายกุนเชียงเดียวกัน ใครลื่นล้มไปคนที่เหลือจะได้ช่วยทัน และสองคือการใส่รองเท้าหนามที่จิกน้ำแข็งไม่ให้เราลื่น ชื่อว่าแคมพอน
เป็นรองเท้าที่ดูเหมือนใส่ไม่ยาก แต่พอใส่เข้าจริงๆ แม่งโคตรจะยาก!
คือทุกอย่างต้องเป๊ะ ต้องเข้าแก๊ป ต้องดึงให้ตึงให้แน่น ไม่งั้นมันจะเลื่อนหลุดออกตอนเราเดิน




เออพูดถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ซะหน่อย อุณหภูมิหน้าร้อนที่ภูเขาน้ำแข็งมันสูงกว่า 0 องศาซี ดังนั้นเราไม่ต้องพอกตัวมากก็ได้ ถ้าจะวัดจากตัวเราซึ่งเป็นคนขี้หนาวนะ เราใส่เสื้อหนาแขนยาวด้านใน ตัวนอกเป็นเสื้อกันน้ำกันลมที่บุฟลีซของ Northface กับกางเกงบุฟลีซ แค่นี้เอาอยู่นะ ไม่รู้สึกหนาวตัวสั่นอะไร อย่าลืมถุงมือหนา หมวกกับแว่นตากันแดดด้วยล่ะ
บอกกงๆ ว่าสภาพอิเอ๋น้อยตอนไปเดิน Glacier เนี่ยไม่เต็มร้อยเท่าไร เหนื่อยง่าย และต้องระวังไม่ให้พลาดลื่นล้มบนน้ำแข็งตลอดทาง ทำให้เดินเกร็งและต้องใช้พลังงานเยอะกว่าปกติ ดังนั้นพอมาเจออุปสรรคในการใส่ฮาร์เนสและแคมพอน ก็แทบจะถอดใจ ไม่อยากขึ้นมันละไอ่ Glacier เนี่ย ขอรอข้างล่างได้ไหม!!
เดชะบุญไกด์สาวของเรามีน้ำใสใจจริง นางคอยช่วยเราทุกอย่าง (ปิดทริปบูถึงกะทิปนางไป เพราะถ้าไม่ได้นาง อิเอ๋น้อยใส่แคมพอนไม่รอด!) ทั้งใส่แคมพอนใต้รองเท้าทั้งสองข้างให้ ดูแลฮาร์เนสว่าปลอดภัยดี (กระนั้นเดินๆ ขึ้นเขาไป แคมพอนก็เลื่อนต้องมาปรับเองอีก ฮ่วย)
ไกด์บอกว่า พอใส่แคมพอนแล้ว เราต้องเดินแบบนักเลงกร่างๆ คือแยกสองขาห่างจากกัน ไม่งั้นเหล็กแหลมมันอาจจะจิกกุงเกงตัวเองขาด หรือยิ่งกว่านั้นคือเราอาจสะดุดขาตัวเองหกล้มได้
จากตอนแรกที่เครียดกลัวจะลื่นล้ม ปรากฏไอ่แคมพอนมัน grippery จริงอย่างที่ไกด์บอก ไม่ต้องห่วงเรื่องลื่นเลย
พวกเราถูกร้อยเข้าหาด้วยเชือกเส้นเดียว มือข้างนึงคอยจับปมเชือกไว้ สังเกตว่าถ้ามันตึงเมื่อไรแปลว่าคนข้างหลังเราช้า อันน่าจะเกิดจากปัญหาอะไรสักอย่าง นั่นคือกฎของการเซฟกันและกันเบื้องต้น


ขาแรกนี่เดินขึ้นน้ำแข็งอย่างเดียวเลยค่ะ อากาศเหมือนมันเบานิดๆ ทำให้หายใจลำบาก พอบวกกับความเหนื่อยนี่แทบอยากหยุดเป็นระยะ แต่เกรงใจคนอื่นที่เขาก็ค่อยๆ กระดืบๆ เดินๆ ไป เราก็กัดฟันแข็งใจเดินไปเรื่อยๆ เหมือนกัน (หรือทุกคนคิดแบบนี้ฟระ?)
แต่พอถึงด้านบนแล้วสวยนะ เป็นทุ่งน้ำแข็งไกลสุดลูกหูลูกตา มองด้วยตาเปล่าแล้วขาวโพลน แต่พอถ่ายรูปออกมาแล้วเหมือนมีผงดำๆ คลุม ซึ่งในความจริงมันมีนะไอ่ผงดำๆ น่ะ แต่ไม่ได้มากเหมือนในรูป บางจุดก็เป็นแอ่งเล็กๆ มีน้ำขัง สีน้ำน้ำเงินแจ๋วเหมือนสระว่ายน้ำเลย





น่าแปลกที่อากาศไม่หนาวจัดอย่างที่คิด ไกด์พาเราค่อยๆ เดินไปตามทาง จะเดินมั่วไม่ได้เพราะบางส่วนอาจมีหลุมบ่อ เดินไปแล้วอาจจะร่วงลึกสู่ก้น ระหว่างนั้นก็พักเป็นระยะ คอยตรวจตราสมาชิกว่ายังครบอยู่นะ สลับกับการให้ความรู้เรื่องธารน้ำแข็ง ว่าที่เรายืนอยู่นี่มันคือเหมือนตีนเขาน่ะ คือมันเป็นน้ำแข็งที่ละลายมาจากยอดเขาน้ำแข็งสูงๆ อีกที ดังนั้นไม่แปลกที่จะเห็นว่ามีน้ำหยดติ๋งๆ ตามขอบริมแม่น้ำตอนพายคายัค
ถ้าใครจะขึ้นมา เตรียมแว่นกันแดดมาด้วยจะเวิร์ก เพราะถึงไม่มีแดดสักแอะเดียว แต่สีขาวมันสะท้อนเข้าหาตาจนเราอาจจะต้องหยีเกือบตลอดทาง วันที่เราไปพิเศษตรงเป็นวันเกิดเด็กน้อยคนนึงในขบวนกุนเชียง ไกด์เลยชวนกันร้องเพลง Happy Birthday และรินช็อคโกแลตร้อนแจก มันเป็นช็อคโกแลตราคาถูกนี่แหละ ถ้าอยู่บ้านคงไม่คิดซื้อมาชงดื่ม แต่การดื่มบนนั้นมัน…ฟิน! 5555








อยู่ถ่ายรูป ดูวิว ฟังบรรยาย เดินๆๆ กันสักชั่วโมงนึงได้ ไกด์ก็พากลับลงมา สลัดแคมพอนและฮาร์เนสออกจากตัว (เย้!) เพื่อจะเจอกับนรกของการพายเรือคายัคกลับ (ฮืออออออออออออ)
ขากลับครอบครัวตัวพีก็ยังรั้งท้าย บูให้ความเห็นว่าเรือเราอาการผิดปกติ คือหัวเรือมันเฉตลอดเวลา แต่เราอะไรไม่ได้ จะบ่นก็ยิ่งเหนื่อย แข็งใจจ้ำพายไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายไกด์ต้องติดเชือกช่วยพายลากเราอีกแรงในช่วง 1.5 กม.สุดท้าย ไม่งั้นได้กินข้าวลิงกันแน่อิสองคนนี้
พอเห็นสันเขื่อนนี่อิเอ๋น้อยโล่งเหมือนยกภูเขา 3 ลูกออกจากอก อยู่ๆ ก็หนาวขนาดข้อนิ้วชา แทบสั่นงันงกขึ้นมางั้นน่ะ มองดูคนอื่นลากคายัคขึ้นฝั่งได้ ก็แทบวิ่งขึ้นรถใครรถมัน สตาร์ทแล้วออกตัวกลับกันไป

ฉันสงสารไกด์มาก เพราะนางต้องจัดเรือทุกลำที่คนลากขึ้นมาทิ้งๆ ไว้บนฝั่งเรียงบนแร็คอะ แต่ ณ วินาทีนั้นคือปวดล้าแขนม๊าก เรี่ยวแรงจะยืนยังแทบไม่มี คงไม่อาจหาญไปช่วยเหลือ
รีบถอดชุดกันน้ำกับชูชีพคืนไกด์ด้วยอาการสั่นงันงก ขึ้นรถกัดขนมปังคำนึง (หิวโคต) กินน้ำอึกใหญ่ๆ เพราะไม่ได้กินน้ำเลยทั้งวัน (เลยฉี่หนเดียวนั่นไง) เพิ่งรู้ตัวตอนนี้ว่าเสื้อด้านในมันชื้นไปหมด มิน่าโคตรหนาว คงเพราะฝนที่ปรอยตลอดวัน จนเสื้อกันฝนก็เอาไม่อยู่ หันไปเห็นเสื้อคุณบูก็เปียกชื้นจนถึงเสื้อยืดตัวใน
จำได้ว่าเหยียบคันเร่งกลับเข้าเมืองด้วยความไวแสง อยากอาบน้ำอุ่นๆ อยากเปลี่ยนเสื้อผ้า หาอะไรกิน อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ของเย็น
พออาบน้ำเสร็จตัวสั่นเป็นลูกนก
ปกติมักกินเวลาข้ามวัน กว่ากล้ามเนื้อที่อ่อนล้าจะเริ่มออกอาการปวด แต่นี่…ปวดตั้งแต่อาบน้ำเลยค่า ยกแขนแทบไม่ขึ้น รู้ชะตากรรมเลยว่าวันพรุ่งนี้จะต้องเจ็บปวดกว่านี้แน่นอล
โผเผลงไปกินอาหารบุฟเฟต์รร.ด้วยความปลาบปลื้มเพราะหิวจนไม่อยากจะไปกินอะไรที่ไหน หรือรออะไรอีกต่อไปแล้ว ถึงจะมีให้เลือกน้อย แต่อาหารอุ่นร้อน อร่อยใช้ได้ พนักงานดีมาก คัสตาร์ดกินกับราสพ์เบอร์รี่คอมโพตและวิปครีม คือเทพเหนือเทพ กินกันคนละชามอ่าง

กินเสร็จกัดฟันเอารถไปคืน sixt เติมน้ำมันไม่เป็น 555 เลยไปบอกพนักงานให้มาเติมให้ แล้วเราเข้าไปจ่ายเงินในตัวร้านสะดวกซื้อ
เดินกลับรร. ผลัดกันแปะกอเอี๊ยะที่ไหล่ทั้งสองข้าง
หมดสภาพมากๆ วันนี้
ราตรีสวัสดิ์ละชาวโลก
หวังว่าพรุ่งนี้จะมีแรงยกช้อนกินข้าวได้
2 thoughts