ถึงคราที่ยัยเมียจะเคลื่อนที่ ย้ายร่างไปปักหลักอยู่ที่ใหม่อีกแล้วจ้ะพี่น้อง คราวนี้รู้ตัวล่วงหน้าราวๆ 3 เดือนได้ มันเป็นธรรมชาติของงานคุณบู ที่กว่าจะรู้ว่าต้องย้ายประเทศเวลาก็กระชั้นจวนเจียน ให้ยัยเมียได้ขนหัวพองเรื่องเก็บของ เพราะสิ่งจุกจิกให้คุณค่าทางใจ มากกว่าใช้งานได้เนี่ยมัน “แยะคั่กๆ” ถึงขนาดแม่ยัยเมียรู้ข่าวการย้าย นางบอกว่า “ไปโน่นก็อย่าซื้ออะไรเพิ่มอีกล่ะ กลับมาอยู่บ้านเราเมื่อไหร่ค่อยซื้อ ดูของที่ฝากไว้บ้านแม่สิ กล่องสุมจะถึงเพดานอยู่แล้ว” (งืออออ)
คราวก่อนตอนย้ายจากสิงคโปร์มาฮ่องกง ก็ว่าจะเขียนถึงการเก็บของย้ายประเทศ แต่กว่าจะรู้ตัวเวลาก็ล่วงเลยไปเป็นชาติเลยช่างมัน คราวนี้เลยขอเขียนนิดนึงนะ จะว่าไปมันก็ไม่ได้ยากอะไร เพราะบ.คุณบูเค้ามีชิปปิ้งประจำอยู่แล้ว (AKA เลือกอะไรไม่ได้) เป็นแบบที่มีบริการมาแพ็คของให้ถึงบ้าน ถอด/ประกอบเฟอร์ฯให้เสร็จสรรพ ถ้าของไปถึงปลายทางก่อนแต่เรายังไม่ได้บ้าน เค้าก็มีโกดังเก็บไว้ให้โดยไม่คิดเงิน ได้ที่อยู่ใหม่เมื่อไรก็นัดกันจัดส่งได้เลย บ.พวกนี้มืออาชีพมาก ผูกปิ่นโตกับบ.ข้ามชาติ รับจ้างขนย้ายของให้ expat เป็นอาชีพหลัก เรียกว่าแค่เราเลือกและเตรียมของให้พร้อมในวันแพ็คก็ไม่มีปัญหาอะไร

ตอนมาถึงฮ่องกง เรามีของมาจากสิงคโปร์แค่ 24 กล่อง และที่นอน 1 อัน พอได้ที่อยู่ในฮ่องกงก็ซื้อเฟอร์ฯ ใหม่หมดทั้งบ้าน กระทั่งเครื่องซักผ้าและตู้เย็น เพราะบ้านที่เราเช่าเป็นบ้านเปล่า และบริษัทคุณบูเธอมีงบก้อนเล็กๆ มาให้สำหรับซื้อของเข้าบ้านด้วย (แน่น๊อน ยัยเมียใช้หมดเกลี้ยง เรื่องอื่นไม่รู้ แต่เรื่องนี้ไว้ใจอิฉันได้!!)
แต่คราวนี้พอจะย้ายไปเมกา บ.ตึ๋งหนืดไม่มีงบให้ซื้อเฟอร์ฯ ทดแทนด้วยการให้น้ำหนักขนของเยอะมากๆ คือเรียกว่าขนทั้งบ้านไปก็ยังได้ แบ่งเป็นส่งทางเรือได้ 3 ตัน (ใช้เวลาราว 2 เดือน) ทางเครื่องบินได้ 300 กก.( ราว 2 สัปดาห์) และของติดตัวไปกับเราเองได้ราว 90 กก (บ.ยอมออกค่าตั๋วบิสเนสให้…ทำไมอะ? ค่าตั๋วบิสเนส 2 คนไปเมกาเนี่ย มันมากกว่างบค่าเฟอร์ฯ ที่เราเคยได้อีกนะ เค้าใช้อะไรตัดสิน? ยัยเมียเคืองเพราะชอบเห็นเงินสดๆ มากกว่าตั๋วเครื่องบินใบเดียวฮ่าๆ)
กระบวนการเริ่มต้นที่ บ.ชิปปิ้งจะส่งคนมาประเมินข้าวของๆ เราก่อน ว่าน้ำหนักจะมากกว่าที่บ.กำหนดมารึเปล่า เค้าจะคำนวนกว่าต้องใช้กล่องกี่ใบ ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง แล้วก็นัดวันให้คนของบ.ชิปปิ้งมาแพ็คของลงกล่อง…
จากนั้นยัยเมียก็เริ่มขายแรงงานข่ะ! โกยข้าวของออกจากตู้และลิ้นชักทั้งหมดในบ้านออกมาคัดเลือก (ทิ้ง/ รีไซเคิล/ บริจาค/ ให้เพื่อน/ เอาไปด้วย) อย่าได้คิดจะทิ้งไว้จนนาทีสุดท้ายเชียล่ะ ไม่งั้นจะวุ่นวายมาก เพราะลุงจากบ.ชิปปิ้งมาถึงจะไม่คิดแทนเราทั้งสิ้น ลุงคือเครื่องจักรหีบห่อ และจะจับสิ่งที่เห็นตรงหน้าคว้าลงกลืองหมดทุกสิ่งอย่าง กระทั่งสิ่งที่แลดูก้ำกึ่งว่าขยะหรือของใช้ ถ้ามันวางกองไว้ใกล้ๆ ลุงก็จะเก็บใส่กล่องไปให้ด้วย!
จำได้ว่าช่วงนั้นสิ้นวันคุณบูจะมาช่วยขนขยะไปทิ้งวันละหลายถุง ส่วนที่เอาไปรีไซเคิลก็มีจุดเอาไปวางเช่นกัน เราทำแบบนี้กันสัก 2 สัปดาห์ได้ จากนั้นก็ย้ายตัวเองออกไปพักโรงแรมก่อนวันที่บ.ชิปปิ้งจะเข้ามาแพ็ค

การเก็บของย้ายบ้านจะไม่มีวันเสร็จสิ้น ถ้าเรายังอาศัยอยู่ที่นั่น เพราะเราจะใช้กาต้มน้ำ ช้อน แก้วกาแฟ ผ้าห่ม หมอนมุ้ง ไปจนถึงวันสุดท้ายอะค่ะ ล้างกันไม่หวาดไม่ไหว เก็บกันไม่มีวันหมด ยกเว้นว่าคุณจะทิ้งสิ่งที่ใช้ในวันสุดท้ายไปมันก็อีกเรื่อง แต่ถ้าจะเอาไปด้วย เราก็ควรทำความสะอาดก่อน แต่ถ้ายังชื้นแล้วเอาใส่กล่องไปมันอาจจะขึ้นราได้….. ดังนั้นเราจึงเก็บของที่จะนำติดต้วไปใส่กระเป๋าเดินทาง 3 ใบ แล้วออกจากบ้าน ไปเช็คอินที่รร. กันก่อนวันย้าย

ด้านครัวซึ่งเป็นสมรภูมิที่หนักหน่วง เพราะมีทั้งของจุกจิกและของกินเยอะ จานชามบางใบเนี่ย เป็นจาน 4 แผ่นดินเลยนะ (อังกฤษ – สิงคโปร์ – ฮ่องกง – เมกา) และยังคิดว่าจะหอบกันต่อไป (เป็นพวกใช้ของอึดพอควร) หมูหมาในตู้เย็นก็ต้องทิ้งไปแต่เนิ่นๆ อันไหนกินได้ก็รีบเอามาทำกิน ยัยเมียขีดเส้นตายเลิกทำอาหารตั้งแต่ 1 อาทิตย์ก่อนหน้า เพื่อเคลียร์ครัว (ขยะจากครัวนี่ทั้งหนักและเยอะมาก พวกอาหารกินไม่หมด ของแห้งที่ตุนไว้ แยม 35 ขวดที่กินไปได้แค่ครึ่ง น้ำพริกสารพันที่ฉันอยากมีไว้อุ่นใจ เครื่องกระป๋องสารพัดรูปแบบที่มีอินสะไปร์ตอนซื้อ แต่ไฟมอดตอนจะทำ…อาหารหมดอายุมันเยอะจริงๆ ขอให้ลองสำรวจดู) กระนั้นก็ยังมีพวกของส่วนเกินที่ต้องวางปนๆ ไปเช่นของที่จะให้คน เก้าอี้ที่ติดมากับบ้าน ซึ่งเรากะว่าจะมาแยกตอนวันแพ็คอีกที (ย่ามใจสุดๆ)


ถ้าใครกำลังจะย้ายบ้านและเจอปัญหาเดียวกัน ให้หาหนังสือ 108 เวทมนตร์เก็บบ้าน (อะไรสักอย่างนี่แหละ) ของ Marie Kondori มาอ่านนะคะ หรือจะดูจากยูทูปก็ได้ หาคำว่า Konmari แล้วมันจะช่วยเราเลือกของทิ้ง ของเก็บได้ดีทีเดียว แค่หยิบของขึ้นมาแล้วถามว่ามันยัง spark joy รึเปล่า ถ้าใช่ก็เก็บ ถ้าไม่ใช่ก็กล่าวขอบคุณของชิ้นนั้นว่า “ขอบคุณที่ทำหน้าที่อย่างดีมาตลอด” แล้วก็หย่อนลงถุงขยะเบาๆ เป็นการให้เกียรติ (อันนี้อิฉันคิดเอง) มันจะประหยัดเวลาขึ้นเยอะ อันนี้ต้องขอบคุณพี่โอ ที่เข้ามาคุยกันในวันเก็บของพอดี ยัยเมียเลยได้อานิสงฆ์เต็มๆ

ก็เหลือแต่พวกต้นไม้ เครื่องไฟฟ้าที่เอาไปด้วยไม่ได้ (เมกาใช้ไฟ 110 v ขณะที่ฮ่องกงใช้ 220 v) ของกินที่เราทำใจทิ้งไม่ลง (เช่นน้ำตาลวานิลลาที่สะสมมาตั้งหลายก้าน น้ำมันมะกอกกรีกแสนอร่อยล้ำนำคุณค่า แยมแสนอร่อยที่แบกมาจากประเทศต่างๆ กุ้งแห้งโลละเกือบพันที่ฉันยังกินไปได้แค่ครึ่งเดียว) เดชะบุญ! กลุ่มเพื่อนที่ทำงานคุณบูแวะมาที่บ้านก่อนวันแพ็ค (โดยยัยเมียเป็นผู้ถ่ายรูปส่งไปล่อหลอก) ขนเอาต้นไม้ไป 90% (ที่เหลือสภาพร่อแร่) เครื่องไฟฟ้าก็รับไปอุปการะทั้งพัดลม ฮีตเตอร์ เครื่องดูดความชื้น เครื่องฟอกอากาศ เครื่องปั่นน้ำผลไม้ กระทั่งปลั๊กพ่วง! ซัมบาวซึ่งหิ้วมาจากสิงคโปร์แสนหวงแหนก็ได้สาวสิงคโปร์มารับไปหม่ำต่อ ราสพ์เบอร์รี่บัลซามิกเหลือติดขวดแค่ 1 ใน 4 อิฉันก็ยังหน้าด้านขอให้คนเอาไปกินต่อที โอววววว จิตวิญญานแม่บ้านได้รับการเติมเต็มล้นปรี่ ดีใจของกินดีๆ มีคนมาเอาไป กระจายความฟินอย่างทั่วถึง ทางฝ่ายคุณบูก็ตัดใจมอบขวดเหล้า single malt ไวน์ และอื่นๆ ไปสิบกว่าขวดพร้อมน้ำตา (อิอิ อยากสะสมไว้เยอะ แต่กินไม่ทันก็แบบเนี้ยะ)

คะนี้พอถึงวันแพ็คของ….
ตอนอยู่สิงคโปร์มีคนมาแพ็คให้เราแค่ 2 คน…ยังแอบคิดเลยว่าทำไมน้อยจัง แต่เค้าทำงานกันเร็วใช้เวลาไม่เกิน 3 ชม.ก็เสร็จ เพราะมีแต่ของเล็กไม่มีเฟอร์ฯ ขณะที่บ้านฮ่องกงของเราตอนนี้มีเฟอร์หลายชิ้นที่จะเอาไป เพราะไม่อยากเสียตังซื้อที่โน่น เช่นโซฟาเบดราคาไม่แพงจากอิเกียสำหรับให้แขกมานอน ราวแขวนผ้า กระจกเงา ที่รองรีด โต๊ะกินข้าว โซฟาตัวใหญ่ที่ใช้ประจำ และแน่นอนว่า…ฟูกอันเดิมก็จะเดินทางไปเมกากับเราด้วย (เขาคือฟูก 3 แผ่นดิน! ชิปทางแอร์อีกต่างหาก เพราะครอบครัวตัวพีกลัวไม่มีอะไรจะนอนกันฮ่าๆ เออจะว่าไปก็แปลกอะ ฟูกคิงไซส์ทำไมหนักแค่ 47 โลเอง เครื่องชั่งเสียป่าวเนี่ย) …นั่นแหละ พอเห็นมีพนักงานมาแค่ 3 คน เราเลยกะไว้ว่าน่าจะใช้เวลาสัก 5 ชมเป็นอย่างต่ำ เตรียมใจไว้ละ เอา kobo ติดไปกะอ่านเต็มที่

ปรากฎ…ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก หลังจากเราบอกพนักงานว่าอันไหนเอาไปแอร์/เรือ เรียบร้อยแล้ว เหมือนพายุลงบ้านอะค่ะ ลุงๆ 3 คนพร้อมอาวุธประจำตัวคือเทปกาวและปากกาไวท์บอร์ด พุ่งเข้าชาร์ตกันคนละห้อง เราเดินไล่เปิดแอร์ให้แทบไม่ทัน จากนั้นเสียงเทปกาวแคว่กๆ ก็ดังระงม กล่องหลายขนาดถูกต่อขึ้นอย่างรวดเร็ว ของชิ้นใหญ่เช่นโต๊ะทำงานที่ไม่จำเป็นต้องถอดก็ใช้กระดาษลูกฟูกตัดให้พอดีขนาดมาห่อ หรือกล่องพลาสติกอิเกียใหญ่ๆ ที่เราใช้ใส่เสื้อผ้าหน้าหนาว พี่เขาก็เอากระดาษลูกฟูกหนาๆ มาตัดให้พอดีแล้วห่อเหมือนมันเป็นกล่องของขวัญ (แต่ไม่มีโบว์)…ตู้โชว์สูงเกือบ 2 เมตร ลุงก็ไม่ถอดนะ (หรือกลัวคนจะลำบากประกอบมันทีหลัง?) เลือกที่จะตัดกระดาษลูกฟูกแข็งๆ ไม่อ่อนตัวมาห่อๆๆ ทั้งใบแบบกรีดมุมเป๊ะๆ ได้ในเวลาแค่ 3 นาที!!!! เร็วมว้าก! ฟูกก็เช่นกัน ลุงทำเหมือนมันเป็นแค่ก้อนเต้าหู้เล็กๆ ที่ตัดกระดาษให้พอดีง๊ายง่ายอะ โซฟาเบดนั่นไม่ต้องพูดถึง ห่อเร็วจนฉันเดินไปดูไม่ทันเหอะ! สมแล้วที่ลุงเอาดีทางนี้ คือมันใช่! ลุงคือเทพ!
ขณะที่พนักงานแอดมิน ผู้มีหน้าที่ชั่งน้ำหนักกล่องที่จะเอาไปทางแอร์ (ส่วนเรือไม่ต้องชั่ง เพราะมันได้เยอะมาก) และติดสติกเกอร์กล่อง แปลภาษาจีนที่ลุงๆ เขียนติดไว้บนกล่องตอนแพ็ค ให้เป็นภาษาอังกฤษเราจะได้อ่านออก ก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างว่องไวเช่นกัน

เรายืนมองลุงห่อพวกแก้ว จาน ชาม มัคต่างๆ อย่างทึ่ง! คือมัคลุงจะห่อทีละ 4 ใบโดยเอาหูแก้วสอดเข้าไปในแก้วใบอื่นเป็นลูป แล้วเอากระดาษมาวนรอบๆ เพื่อสร้างสเปซแผ่นนึง จากนั้นเอากระดาษมาห่ออีกแผ่นนึง ก่อนจับยัดลงกล่องแบบคว่ำจะได้ไม่ต้องใช้เทปปิดปลาย ทับๆๆ กันลงไป แต่จัดให้ของทั้งหมดแน่นจนขยับไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว กระบวนการทั้งหมดนั้นใช้เวลาไม่ถึงนาที! มือลุงเร็วและออโต้มากเหมือนจักรกลการห่ออะ แก้วน้ำใสๆ ก็ห่อทีละใบสองใบอย่างรวดเร็ว ของอื่นก็จับอันที่มีขนาดใกล้เคียงกันมาห่อร่วมกัน ของในครัวเราเยอะมากกกกก แต่ลุงใช้เวลาห่อแค่ 15 นาที!!!!!!!!!! คือเวลาที่อิฉันใช้ในการแยกและวางของให้ลุงเนี่ย มันเยอะกว่านั้นมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะการที่เราเตรียมทุกอย่างไว้ล่วงหน้า ทำให้ลุงแพ็คของได้เร็วขึ้น
อ้อ…อีกอย่างนึงที่จะทำให้เราห่อเร็วขึ้นก็คือ อุปกรณ์ค่ะ เราต้องมีกระดาษสำหรับห่อมารอไว้หลายๆ ปึกเหมือนพวกลุงๆ นี่แหละ กล่องหลายขนาด และกระดาษลูกฟูกทั้งแบบแข็งและแบบอ่อนที่แผ่นใหญ่มาก ตัดเอามาทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ที่สำคัญคือเทปกาวต้องมีใกล้มือเป็นโหลๆ ใช้อย่างไม่กลัวจะเปลืองของ
แต่…ขณะที่ยัยเมียกะคุณบูเอาขยะรีไซเคิลลงไปทิ้งรอบสุดท้าย ขึ้นมาอีกที…อ้าว ถุงของขวัญที่ฉันจะเอาไปให้เอเจนต์หายไปไหน…หมวกแพนด้าที่จะเอาไปให้ลูกเพื่อนบูก็สาปสูญไปด้วย รวมถึงเก้าอี้โปเกที่ติดมากับบ้าน…หมอนกับผ้านวมที่จะเอาไปให้อีกคนก็ไร้ร่องรอย…สรุปความได้ว่า แขนกลของลุงกวาดเอาทุกสิ่งลงกล่องไปเรียบร้อยแล้ว และยัยเมียก็ต้องไปหาซื้อของใหม่มาเป็นของขวัญแทนไปอี๊ก

สิริรวมลุง 3 คน พนักงานแอดมิน 1 คน ใช้เวลาในการแพ็คบ้านทั้งหลังของครอบครัวตัวพีและขนทั้งหมดลงไปใส่รถแค่ 3 ชม.!!!! ได้กล่องไปราวๆ 70 กล่องไม่รวมเฟอร์ฯ ชิ้นใหญ่อีกราว15 ชิ้น พวกเรานี่อย่างทึ่งอะค่ะ (แต่ก็ดีใจ) คุณบูยังมีเวลากินข้าวกลางวันด้วยกัน ก่อนกลับไปทำงานตอนบ่ายสบายๆ (บูบอก ใครว่า ชั้นเลื่อนมีตติ้งไป 2 รายแล้วย่ะ)
นั่นล่ะประสบการณ์การย้ายและเก็บของๆ ยัยเมีย คราวนี้ก็เหลือแต่ไปรอเปิดกล่องของขวัญทั้ง 70 กล่องดูที่ปลายทาง เหมือนที่แอดมินบอกกับเราก่อนบ๊ายบายว่า “ไปเจอของพวกนี้อีกที ที่อเมริกาเลยนะคะ”
โอเคจ้ะ แล้วเจอกันนะ : )
