
Samaria George (ซามาเรีย กอร์จ)
เป็นอีกที่เที่ยว (ใช่เหรอ?) นึงของฮาเนีย ที่คุณบูค้นหามาได้! พอนำความไปเล่าสู่กันฟังกับเจ้าของที่พัก เขาก็บอกว่าเป็นที่ๆ น่าสนใจมาก เห็นคนบอกว่าสวย แต่ฉันเองยังไม่เคยไปเลย (ห๊ะ! ตกลงสวยจิงเป่านี่) เรื่องของเรื่องคือพอเฮียรู้ว่าเราจะต้องไปขึ้นบัสเที่ยวเช้าตรู่ ก็ตื่นมาทำแซนวิช+ไข่ต้มให้ติดตัวไปกินแทนอาหารเช้า ช่างน้ำใจงามแท้
อดีตซามาเรีย กอร์จ มีแม่น้ำเชี่ยวกราก สองฝั่งน้ำจึงโดนกระแสน้ำเซาะทั้งสองข้างจนเป็นร่องงดงามตามธรรมชาติ ตอนนี้เหลือเพียงท้องน้ำแห้งๆ ที่พื้นดินโรยด้วยหินก้อนเล็ก ก้อนน้อย ก้อนใหญ่ก็มี…สร้างความลำบากตอนเดินเป็นที่สุด เท้าจะพลิกไม่รู้กี่หน T^T
ที่นี่มีร่องทางเดินที่แคบที่สุดของเขา 2 ลูก กว้างเพียงไม่กี่เมตร และชั้นหินที่มีสีแตกต่าง บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์หลายพันปีก่อน ระยะทางเดินทั้งหมดคือ 18 กม. เห็นเขาบอกว่าเดินเร็วสุดใช้เวลา 5 ชม.
ดังนั้นการที่เราสองคนใช้เวลาเดิน 5 ชม.ครึ่ง ก็จัดว่าไม่เลว (แต่อีก 3 วันถัดมา ขานี่แบบว่าแปลบปลาบตลอดเวลาที่เดินเลยนะ)

การเตรียมตัว
สมัยเดินที่นี่ เรายังไม่มีอุปกรณ์ครบมือเหมือนปัจจุบัน รองเท้าก็เป็นแค่ผ้าใบธรรมดา ไม้ยันก็ไม่มี แต่ส่วนใหญ่คนมาเดินที่นี่ก็เป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน แฟชั่นจึงเป็นแบบธรรมดาเสื้อยืด ขาสั้น ผ้าใบ ไม่ค่อยมีใส่อุปกรณ์เดินป่าครบชุดมามากนัก แต่บางคนก็ใส่รองเท้าเดินป่าแบบหุ้มข้อมา ซึ่งเราว่า “เหมาะมาก!” …มองเขาด้วยความอิจฉา
ส่วนเสบียงของเรามีแซนวิชกับไข่ต้มที่เจ้าของที่พักเตรียมมาให้ แล้วก็น้ำดื่ม 1.5 ลิตรใส่เป๋าไว้ แต่ระหว่างทางเติมน้ำธรรมชาติได้ตลอด จะมีจุดพักเป็นระยะ
สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้เลยคือ “หมวก” และ “แว่นตากันแดด” เพราะช่วงบ่าย แดดจะสะท้อนกับหินสีขาวแล้วแสบตาม๊ากกก

วิธีไปซามาเรีย กอร์จ
ไปสถานีขนส่งเมืองฮาเนีย แล้วซื้อตั๋วรถบัสไป Omalos Village เที่ยว 7.45 น.
ใช้เวลาเดินทาง 1 ชม. ให้หลับเอาแรงไว้เลยนะคะ เพราะได้ใช้เต็มที่แน่! คนเมารถเกียมยาได้เลย รถขึ้นเขาตลอด
รถจะจอดตรงทางเข้ากอร์จเลย มีป้อมขายตั๋วเสร็จสรรพ (น่าจะคนละ 5 ยูโร)
ซื้อแล้วเก็บตั๋วให้ดี เพราะมีคนตรวจตอนทางออกกอร์จด้วย (ของเราหายกลางทาง แต่เขาก็ให้ผ่านนะ)
เริ่มเดินล่ะ แม่เอ๊ยย!
ช่วงแรกเป็นทางลงเขาประมาณ 3 โล…หมู? ไม่เลยค่า!
เพราะทางมีแต่หิน ลื่นน่าดู ระหว่างทางมีเขตหินถล่มน่าขนพอง
บางจุดก็ชันมาก แต่วิวเนี่ยนะ…สวยบาดตา บาดใจ ยังจำได้ไม่รู้ลืมเลย มันเหมือนในหนัง the sound of music งั้นเลยอ่ะ เขาใหญ่ตระหง่านตรงหน้า ห้อมล้อมด้วยสนสูงสล้าง โอวววว…เดินไปก็ฮัมเพลงไป…The hills fill my heart…with the sound of musicccccc (กระทั่งตอนพิมพ์บล็อกนี้ ก็ยังร้องโหยหวนอย่างต่อเนื่อง)
ช่วงนี้จะเห็นคนจูงลาเดินผ่านไปบ้างเป็นระยะ บางจุดก็มีลาจอด (เอ้ย! ผูกเชือก) ไว้ สำหรับคนที่เดินไม่ไหวหรือบาดเจ็บ ก็จะได้นั่งลาออกไปจากที่นี่ได้ บางจุดมีคนเอาหินมาเรียงเป็นเจดีย์เต็มไปหมดเลย มองไปแอบขนลุก ตอนนั้นเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก เลยเดาไม่ออกว่าเพราะอะไร แต่คิดว่าน่าจะเป็นการเคารพสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
พอลงถึงเชิงเขา ทางลาดก็กลายเป็นทางราบ สลับเนินเขาเตี้ยๆ ไปจนสุดทาง
…หมู? ไม่อ้ะ! เพราะทางเต็มไปด้วยหิน ถ้าเหยียบพลาดมีโอกาสข้อพลิกง่ายๆเลย เห็นคนข้อพลิกด้วยอ่ะ สงสารทั้งคนพลิก แต่สงสารคนแบกมากกว่า เพราะมันไกลมาก และลาที่เหมือนจะเดินไปมา ก็กลายเป็นว่าหายไปไหนไม่รู้! (แต่อุนจิลานี่ กลิ่นแบบว่า แรงมาก เหมือนอุนจิคน!!! ตกลงพวกเธอกินพืชแน่หรือ..ตอบ!) ตอนนั้นอดนึกไม่ได้ว่า ถ้าบูเกิดข้อพลิกขึ้นมาแล้วฉันต้องแบกนางไปถึงทางออกล่ะ?…ได้กินข้าวลิงกันแน่ๆ งานนี้
แต่…พวกเราโชคดี เดินช้าไปบ้างแต่ก็ปลอดภัยจนถึงทางออก มีแวะนั่งพักกินแซนวิชกับไข่ต้มของเจ้าของที่พักด้วย กินไปก็สรรเสริญถึงคุณงามความดีของเขาไป เพราะลำพังเราก็ลืมนึก อย่างดีที่สุดคงได้แค่ซื้อขนมอบจากตรงสถานีรถบัสนั่นแหละ แต่ไข่ต้มนี่ดีงามมาก โปรตีนสูง อิ่มทน
ขนาดตัวเราเองที่ปกติค่อนข้างมั่นใจในการเดินตัวเองมาก ก็พลาดเดินลื่นไป 2-3 รอบอ่ะ ผูกเชือกรองเท้าใหม่สัก 10 รอบได้ เพราะถ้าหลวมเมื่อไหร่นะ โอกาสเท้าพลิกสูงสุดๆ



สรุปว่าการเดินซามาเรีย กอร์จนี่ เป็นอะไรที่สนุก ได้เสียเหงื่อ และทิวทัศน์สวยแปลกตา ถ้ามีบุญได้กลับไปเกาะครีต ก็คงอยากไปเดินกอร์จที่อื่นอีก (แต่บูบอกว่า เด๋วเราไปหาเอาในอเมริกาได้- เฮือก!)


หลังจาก 5.30 ชม.ผ่านไป เราก็เดินมาพบพานกับท่าเรืออันเป็นจุดหมายปลายทางอย่างกะปลกกะเปลี้ย ความรู้สึกวันนั้นคือเจ็บเท้ามาก! เพราะต้องเกร็งเท้าตลอดเวลาที่เดินบนหิน พอเดินถึงท่าเรือ แทบจะสลัดรองเท้าทั้งสองข้างออกแล้วหาที่นั่งพัก ให้ข้อเข่าได้งอบ้างไรบ้าง แต่ก็กัดฟัน! (ชะนีไทยต้องสตรอง!) เดินไปซื้อตั๋วเรือก๊อน (กลัวไม่ได้กลับบ้าน) ได้ตั๋วรอบ 17.30 (มีแค่วันละรอบ)
ได้ตั๋วเรืออุ่นๆ สบายใจแล้ว เราก็เดินเลยหาดไปทางด้านขวา เจอร้านอาหารเรียงเป็นแถวเลย คุณบูดมๆ แล้วบอกว่าร้าน papari ก็และกัน จากนั้นการผจญภัยกิน “หนวดหมึกยักษ์” ของเราสองคนก็เริ่มต้นขึ้ลลลล!

เราสั่งน้ำส้มมากินด้วย (มากรีกกินน้ำส้มนี่มันอร่อยมากกก ราคาไม่แพง เมินน้ำเปล่าไปเลยค่า) จำด้ว่าเป็นน้ำส้มทิพย์ที่ชะโลมจิตใจอันเปลี้ยปร่าของเราได้ทูเดอะแม็กซ์ แก้ววางปุ๊บ ปากพุ่งไปสูบปั๊บ ถ้าไม่กลัวปวดฉี่และหาห้องน้ำยากจะจัดมาสัก 3 แก้ว!
ปิดท้ายการเดินทาง ด้วยการนั่งสลบดูวิวอยู่บนดาดฟ้าเรือ เรือจากตรงนี้จะพาเราไปหมู่บ้าน Hora Sfakion ซึ่งที่นั่นจะมีรถบัสจำนวนมากรออยู่ เราก็ขึ้นรถคันที่ไป Chania ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. คนขับบัสเท่มาก สูบบุหรี่ + คุยทอสับ + ขับรถด้วยศอก ในเวลาเดียวกัน ทั้งที่เขาทั้งชัน ทั้งสูง เหมือนผ้าพับตลบไปมา (ตูล่ะเสียวแทน)
อนึ่ง ***การสูบบุหรี่ในอาคาร เป็นเรื่องปกติทั่วไปในกรีก แม้จะมีกฎหมายห้ามสูบ แต่ไม่เห็นมีใครสน กระทั่งคนขับรถบัส ยังสูบตอนขับ! ผู้หญิงก็สูบกันแยะมากๆ ไปนั่งกินข้าวที่ไหนลำบากจิงๆ หลบควันไม่ค่อยได้เลย ***
เห็นภูเขาที่เดินผ่านมาแล้วแอบสั่น…มันทั้งสูง ทั้งไกล … ฉันผ่านมันมาด๊ายยยยย

คงไม่จำเป็นต้องบอกใช่ไหม ว่าวันนั้นสลบเหมือดเป็นตายเลยทีเดียว
ขำ มากๆ อ่ะ ตรงกินไข่ต้ม แซนวิชไปก็สรรเสิรญความดีงามให้คนแพ็คค