spanglish breakfast
at The Carrington
หลังจากสลบเหมือดราวกับผักต้มอยู่เกิน 10 ชม.เราเริ่มต้นเช้าวันที่สองด้วยใบหน้าผ่องอำพัน ไปกินอาหารเช้าแบบสแปงลิชกัน
Spanlish = Spain + English
ลักษณะของอาหารประเภทนี้ก็คือ การใช้วัตถุดิบเด่นดังจากสเปนมาทำอาหารอังกฤษ เช่น โพชเอกส์กินกับแฮมฮามองของสเปน (Jamon) หรือเมนูเอกซ์เบเนดิคกับปาปริก้า เป็นต้น (ตอนนี้เมนูอาจเปลี่ยนไปละ ดูรายละเอียดได้จากเว็บไซต์เค้า คลิกที่นี่)
บรรยากาศในร้านครึกครื้นตั้งแต่ 11 โมงที่เราเข้าไปนั่ง เราสั่งบีทรูทเลมอนเนด ส่วนบูสั่งบลัดดีแมรี ที่เสิร์ฟมาในแก้วปลากระป๋อง เก๋ไก๋ชไนเดอร์! เพลงที่เปิดติ๊ดฉึ่งทึ่งโป๊ะมาก ครึกครื้นสุดๆ
กินเสร็จก็พากันเดินเล่นย่อยอาหาร เจอย่านและร้านรวงที่น่ารักหลายจุด ขาดไม่ได้คืองานกราฟิตี ที่ถึงจะไม่มากมายเท่าที่เมลเบิร์น แต่ก็พอมีให้ดูหนุกๆ ระหว่างทาง จากนั้นคุณบูจึงจับเรามุดดินลงไปขึ้นรถไฟ สถานีเป็นอะไรที่ขลังดี
Circular Quay
เรานั่งรถไฟใต้ดิน จากสถานี Central ไปสถานี Circular Quay
โอ…เห็นที่อื่นเงียบสงบ แต่ ณ ที่แห่งนี้เองที่นักท่องเที่ยวทุกคนหนแห่งมารวมตัวกัน มันคือโอเปร่าเฮาส์หรอกเหรอ…(เดินตามคุณบูมาเรื่อยๆ ไร้จุดหมาย) นี่เป็นท่าเรือสำหรับการล่องออกไปยังสถานที่ต่างๆ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร หลายๆ จุดมีนักแสดงสมัครเล่นยึดเป็นที่ทำงาน เช่นการแปลงร่างเป็นชาลี แชปปลิน พอมีคนเอาสตางค์มาให้ก็ขยับทำท่าดีใจ หรือไม่ก็ร้องเพลงเป็นหมู่คณะ (ส่วนคนนี้เอาไม้เท้าเกี่ยวคอคุณบูซะงั้น)
MCA Museum of Contemporary Art
ที่นี่ให้เข้าฟรี!
ชั้น 1 เป็นร้านขายของที่ระลึกที่ไม่อยากให้พลาด เพราะมีงานคราฟท์จากคนออสเตรเลียมาวางขายปนกับงานอุตสาหกรรมพื้นเมืองนั่นแล ส่วนชั้น 2-3 เป็นนิทรรศการหมุนเวียน ที่สามารถเดินดูได้เรื่อยๆ เพียงแค่ห้ามถ่ายภาพ ห้ามสะพายเป้ไว้ด้านหลัง (เพราะอาจเหวี่ยงไปโดนงานศิลปะเข้าโดยไม่รู้ตัว) ชอบที่ตรงประตูเค้าติดป้ายห้ามทุกอย่างไว้ สิ่งที่ทำได้ก็คือการ Enjoy กับการดูงานศิลปะ
อาจเป็นเพราะเข้าฟรี หรือเพราะคนที่นี่รักกรเดินดูงานศิลปะก็ไม่รู้ได้ ทำให้ด้านในมีลูกเด็กเล็กแดงค่อนข้างมาก ตัวผลงานไม่ได้พิเศษอะไรเพราะออสเตรเลียถือเป็นประเทศเกิดใหม่ เมื่อเทียบกับอื่นๆ ที่มีภาพเก่าแก่สมัยศตวรรษที่ xxx มาตั้งโชว์ให้เราได้อ้าปากค้างดูบางภาพที่แตกลายงา แล้วจิ้นถึงอารมณ์ที่ศิลปินสมัยนั้นสร้างสรรค์มันขึ้นมา
ขณะที่ผลงานเกี่ยวกับอะบอริจินบางชิ้นก็สวย แต่บางชิ้นก็ค่อนข้าง…ทึม เช่นภาพที่เหมือนมีอะไรบางอย่างเหลื่อมซ้อนให้ความรู้สึกหลอน
สุดท้ายเราเดินขึ้นไปพักขาที่ MCA Café ชั้นบนสุด สามารถมองเห็นวิวโอเปร่าเฮาส์ได้ด้วย
The Rock Market
จริงๆ ตัวตลาดกินพื้นที่กว้างม๊ากมากนะ แต่ตอนนั้นคงเดินดูของเพลินๆ ไม่ได้คิดจะถ่ายรูปอะไร จำได้ว่าซื้อโปสการ์ดน่ารักๆ มาหลายใบ แล้วก็เห็นร้านชากาแฟเยอะ บางร้านมีชุดไหมพรมสีน่ารักๆ สวมให้กาชา คิวท์จนเราอยากเดินเข้าไปหาเรื่องกิน แต่ก็ไม่ได้ไปหรอกเพราะอิ่มมากกก ตลาดนี้นักท่องเที่ยวเยอะมากๆ เพราะเป็นแหล่งรวมสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง ใครไปซิดนีย์ก็ต้องแวะตรงนี้กันหมด
Sydney Sea Life Aquarium
เราเดินฝ่าคลื่นลมพัดโกรกเรื่อยไปจนถึง Darling Harbour อันเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งด้วยกัน เช่น National Maritime Museum และอื่นๆ แต่วันนี้เราเลือกแวะเข้าที่นี่ที่เดียว เนื่องจากเวลาไม่เป็นใจ คิดว่าหลังจากนี้ถ้าเป็นไปได้ จะแวะเข้าไปดูนิทรรศการ Narnia ที่อยู่ด้านหลัง National Maritime Museum ซะหน่อย (แต่ก็อด)
ด้วยความหิวเลยขอแวะคาเฟ่ของอะแควเรี่ยม สั่งคาลามารี (ปลาหมึกชุบแป้งทอด) กับฟรายซ์ซะก่อน อยากบอกว่าผิดหวังเป็นที่ยิ่ง ในความคิดของเราเองแล้ว พบว่าแมคโดนัลฟรายส์อร่อยกว่ามาก ก็ต้องจำใจกลืนฝืนทนกินไป ก็คนมันหิวให้ทำไงได้ ค่าอาหารรวมโค้กเท่ากับ 9 เหรียญ ค่าตั๋วคนละ 36 แต่ถ้าคิดจะเข้าหลายที่ สามารถซื้อตั๋วแบบ Combo ได้
ความน่าสนใจของที่นี่คือมีพะยูนให้ดู รวมถึงปลาแปลกๆ ในย่านน้ำนี้ที่ไม่มีโอกาสเห็นจากที่อื่น ดูไปเพลินไปสนุกมาก เพราะพวกเราชอบอะแควเรี่ยมกันอยู่แล้วด้วย เพลินฝุดๆ

The Boathouse on Blackwattle Bay
ตอนบูบอกเราจะไปกินอาหารเย็นแบบซีฟู้ดกันที่ร้านโบ๊ตเฮาส์ เรานี่ก็จิ้นว่าต้องเป็นบ้านไม้ริมน้ำที่บรรยากาศน่าจะโรแมนติกดี
เจ้าบูเสริมต่อว่านี่เป็นร้านอาหารของคนโลคัล ค่อนข้างจะห่างไกลจากเมืองนิดนึง ต้องนั่ง Monorail ไปลงสถานี Glebe
อยากบอกว่าอิฉันก็ใช้บริการขนส่งมวลชนมาหลายเมือง แต่ระบบการเดินทางด้วยขนส่งมวลชนของซิดนีย์ เป็นสิ่งที่เจ้าบูยังต้องใช้เวลาทำความเข้าใจถึงขั้น 2 เพราะพอออกจากโซน ค่ารถก็ต่างกัน แถมพี่แกเล่นใช้สีคล้ายกันทั้งที่อยู่คนละโซน และมีรถไฟตั้ง 3 แบบคือใต้ดิน monorail, LRT มีบัสพ่วงมาอีกให้งงเล่น แถมบัสบางสายวิ่งเฉพาะจันทร์ ถึง ศุกร์ สิ่งที่ต้องทำคือเช็คกับป้ายรายละเอียดที่ป้ายรถเมล์ให้แน่ใจเสียก่อน ถ้ามาอยู่เมืองนี้คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะชินกับระบบการขนส่งของพี่เขา
ไม่พอยังเป็นระบบที่แพงในความคิดเรา ขึ้นนิดๆ หน่อยๆ ก็เริ่มต้นสามเหรียญกว่าเข้าไปแล้ว ที่สำคัญคือบัตร day pass ไม่เห็นจะถูก! ราคาตั้ง 40 ต้นๆ คุณพี่จะให้น้องนั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ ลงเรือตลอดทั้งวันเลยหรือคะ ถึงจะได้ซื้อแล้วคุ้ม (มองบนสามรอบ!) พอเทียบกับฮ่องกงที่ไปไหนจ่ายแค่ 4 เหรียญกว่า (25 บาท) มันช่างต่างกันจริงแท้
อันที่จริงถ้ามีบัตร Sunday Family Pass ราคา 2 เหรียญต้น สามารถขึ้นรถลงเรือ ต่อรเรือยาวอะไรได้หมด แต่เราต้องมีลูกเด็กเล็กแดงติดพ่วงมาด้วยอย่างน้อย 1 คน พ่อแม่ก็จดโน้ตไว้นะคะ จะได้ไปซื้อไว้ไม่ต้องเสียตังค่ารถมากมาย (จำได้ว่าวันนั้นกว่าจะถึงร้านนี่แทบสะบักสะบอม)
ส่วนตัวร้านอาหารวิวดี ริมน้ำ น่าแวะมาถ่ายรูปที่ริมอ่าวก่อนเข้าไปในร้าน พนักงานบริการดี
เราจ่ายไป 250 เหรียญ มีไวน์ขาว 2 แก้ว, dessert wine 1 แก้ว, ปู Queensland Mud Crab เกลือพริกไท ผัดแบบจีนๆ เป็นรสชาติปูที่ไม่เคยกิน เนื้อหวานอร่อยเด็ดเจ็ดย่านน้ำ
ออยสเตอร์ 14 ตัว ตัวละเกือบ 5 เหรียญ ลักษณะประเภทของออยสเตอร์ เค้าจะเขียนมาให้เป็นใบเล็กๆ โดยเรียงตามเข็มนาฬิกา เราจะได้รู้ว่ากำลังกินออยสเตอร์จากที่ใดอยู่ ส่วนของหวานคือมูสน้ำผึ้งกับรูบาร์บ ฮันนี่โคมบ์ (ถ้าใครชอบฮันนี่โคมบ์ เราว่าที่ออสเตรเลียนี่แหละอร่อยสุด ไม่แข็งมาก กรุบกำลังดี) รูปอาหารถ่ายไม่ครบเพราะแสงน้อย แถมแสงส้มแสบตาม๊าก
ใครสนใจไปกินอาหารทะเลชมบรรยากาศ คลิกดูรายละเอียดจากเว็บไซต์เค้าโลด http://www.boathouse.net.au/


จบซิดนีย์ไดอารี่วันที่ 2 ด้วยอาการพุงตึง เดินย่อยกลับไปที่สถานี ท่ามกลางอากาศเย็นเยียบเฉียบใจ แต่ไม่หวั่นเมื่อมีเธอเคียงข้าง ฮะฮิ้วววววว
