บันทึกพิชิตยอดเขาฟูจิ: ถึงคิวตะกายดาว

DSCF9204

ความเดิมจากบล็อกก่อน ที่พูดถึงการเตรียมตัวก่อนไปปีนเขาฟูจิ (คลิกอ่านการเตรียมตัวปีนฟูจิ ที่นี่)
คราวนี้ขอเล่าประสบการณ์ การไต่คุณฟูจิซังสักหน่อย

จากโตเกียว
เรานั่งบัสตรงจากชินจูกุ – ฟูจิสเตชั่น 5 รอบ 7.40 น. ใช้เวลาเดินทางราว 2 ชม. บัสนี้จะมีบริการในช่วงหน้าร้อน เดือนกค – ตค. ซึ่งเป็นช่วงที่คนไปปีนฟูจิกันมาก (Shinjuku – Mt.Fuji 5th / จองได้ที่ http://www.highwaybus.com ค่ารถคนละ 2700 เยน)

DSCF9193ฟูจิสเตชั่น 5

ฟูจิสเตชั่น 5
เป็นการมาครั้งแรกในชีวิต อกอิแป้นเกือบทะลุ เพราะคน-คน-คน-คน-คน แยะมากกกก! ลงรถมาคว้าเป้ได้ ถึงกะยืนอ้าปากค้างประหนึ่งบ้านนอกเข้าเมืองไปเป็นนาที ก่อนที่คุณบูจะสะกิดขึ้นไปกินข้าวบนชั้น 2 ของอาคารใกล้ๆ ที่ขายตั๋วรถ (กว่าจะขึ้นไปชั้น 2 ได้ ก็ตื่นตูมดูของฝากของที่ระลึกคุณฟูจิซังทั้งหลายที่ชั้น 1 สนุกเชอ ตั้งใจว่าเดินเขาเสร็จ ฉันต้องได้ของที่ระลึกสักอย่างจากร้านนี้กลับบ้านแน่นอน)

ตึกที่ว่านี้มี 3 ชั้น ชั้นบนสุดเป็นเหมือนที่พักสำหรับคนที่เหนื่อยล้ามาจากการปีนเขา เขาให้เช่าค้างคืนและรายชั่วโมง ขณะเรายืนต่อคิวซื้ออาหารที่ร้านบนชั้น 2 เห็นคนสภาพกึ่งซอมบี้ หน้ามึนตาลอยคล้อยเบลอ เดินโผเผ บ้างก็กระโผลกกระเผลกผ่านไปมา ในมือถือถุงขยะที่แน่ใจว่าหิ้วลงมาจากฟูจิ (แล้วเขาไม่ให้ทิ้งที่สเตชั่น 5 ด้วย จึงต้องถือกันต่อไป) เห็นแล้วก็ได้แต่ปลงอนิจจัง..เพราะนั่นคือสภาพเราในวันรุ่งขึ้นเป็นแน่แท้ อย่าคิดว่าตัวเองจะแน่รอดพ้น

DSCF9191เธอลั้นลามากนะคุณบู!

ห้องอาหารบนชั้น 2 
อาหารที่แคนทีนมีไม่กี่เซ็ต แต่ครอบคลุมทั้งของทอด ของย่าง ราเม็ง ขนมปัง ซุป รสชาติใช้ได้ในราคาโอเคมาก ที่เราชอบสุดคือซุปมิโซ เพราะเป็นแบบใส่หมูสามชั้นลงไปต้มด้วย อร่อยสุดๆ อา…หรือนี่คือการสั่งลาชั่วคราว ของต่อมเจริญอาหารของเราก็ไม่รู้


DSCF9217

แค่สเตชั่น 5 ไป 6 ก็อยากโบกมือลา

ช่วงแรกของการเดินค่อนข้างเพลิดเพลินมาก สองข้างทางเป็นต้นไม้และป่าสนสูงใหญ่ สลับกับดอกกหญ้าเล็กๆ ประปรายให้ชื่นหัวใจคนมอง อากาศเย็นสบายมีหมอกคลุมบ้างบางช่วง เราเดินปะปนกับนักท่องเที่ยวทั่วไป ที่จ่ายค่าเข้า 1000 เยนมาเดินรอบๆ สเตชั่น 5 ระหว่างนั้นก็สังเกตเห็นคนที่กะปลกกระเปลี้ยเดินลงมาจากเขา ด้วยแววตาเลื่อนลอย หน้าเบลอขั้นเทพอีกหลายคน อา…มันช่างตอกย้ำถึงความเหนื่อยล้าของการเดินทางครั้งนี้จริงๆ

เรายังเอ็นจอยถ่ายรูปบ้าง ดูโน่นนี่บ้าง แต่ทางไม่ง่ายเลย เพราะเดินแล้วเท้าจมเหมือนเดินบนทรายก้อนใหญ่ยังไงยังงั้น ทำให้ต้องออกแรงมากกว่าปกติ ดังนั้นเมื่อครึ่งชม.ผ่านไป อิฉันที่หน้าตาผ่องใสก็เริ่มเหงื่อซึม ผมหน้าม้าเปียกชุ่มแปะหน้าผาก จนต้องงัดเอายางมามัดจุกเป็นทรงชิสุโชว์เหม่ง และอยู่อย่างนั้นไปจนจบการเดินทาง

DSCF9207
จากฟูจิสเตชั่น 5 ไป 6
DSCF9219
จากฟูจิสเตชั่น 5 ไป 6


สเตชั่น 6 ไป 7: ทางหินภูเขาไฟ เดินเท่าไหร่ก็ไม่สิ้นสุด

หลังทางแยกขึ้นเขา…ก็เหลือแต่เราๆ ที่แบกเป้ใบใหญ่ มือถือไม้ค้ำถ่อพยุงร่าง ทางช่วงนี้เป็นบันไดขั้นใหญ่ สลับกับทางลาดขึ้นเขาแต่ยังไม่ชันมาก ลักษณะถนนพับหักศอกตลบไปมา บูบอก “หายใจช้าๆ ลึกๆ” เพื่อไม่ให้เหนื่อยมากเกินไป

ส่วนตัวรู้สึกว่าทางช่วงนี้เป็นเหมือน “อุโมงค์วาร์ป” ที่พาเราจากพื้นดิน ขึ้นสู่ยอดเขาฟูจิ เพราะต้องเดินท่ามกลางหมอกปกคลุมหนาแน่น คล้ายหนังเรื่อง Silent Hill แบบแทบไม่เห็นทางข้างหน้า (ตอนนั้นที่นึกอะกลัวนะ แต่มันเหนื่อยเกินกว่าจะมาคิดกลัว) ที่ตอนหลังรู้ว่ามันคือกลุ่มเมฆที่จับตัวกันบนยอดเขานั่นเอง

สภาพร่างกายตอนนี้ เหงื่อชุ่มจนต้องถอดเสื้อกันลมยัดกลับใส่เป้เหมือนเดิม ไม่งั้นเป็นลมแน่ตรู เส้นทางช่วงนี้ไม่มีฮัทให้พักขาใดๆ ทั้งสิ้น ใครเหนื่อยเดินไม่ไหวก็ให้หลีกหลบเข้าข้างทาง อย่านั่งขวางทางเดินของคนที่เร็วกว่า และอย่าพยายามเดินตามให้ทันใคร ไปตามจังหวะของเรานี่แหละ ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

เวลาเดินผ่านลุงป้า ก็มีทักทาย “คอนนิจิวะ” หรือ “เฮลโหล” หรือแค่ “ยิ้มแห้งๆ” เป็นระยะๆ ตามแต่พลังที่มี (เพราะบางทีเหนื่อยหอบจนพูดไม่ออก) การทักทายกันของคนเดินป่าถือเป็นมารยาทสากลอย่างหนึ่ง ไม่ว่าไปประเทศไหนก็ทำ เวลาเดินเขาในฮ่องกง เห็นเราเป็นเอเชียเขาจะทักด้วยคำว่า “โจ๋ซัน” (อรุณสวัสดิ์)

DSCF9238
ทางหินและกรวดภูเขาไฟ…เดินยากโพด! เดินไป 20 ซม. ต้องถอยหลังมาอีก 5 ซม.
DSCF9239
อุโมงค์วาร์ป หรือ Silent Hill?
DSCF9240
แทบมองไม่เห็นป้ายบอกทาง
DSCF9254
เด็กๆ ก็มาปีนนะคร้าบบบบบ เห็นครอบครัวนึง อุ้มลูกอ่อนมาปีนด้วย!!!!!! อยากกราบ เพราะอิฉันประคองตัวเองยังจะไม่รอด

DSCF9264

IMG_8373
คุณลุงนั่งรอนักปีน เตรียมสแตมป์สัญลักษณ์ประจำฮัทให้บนไม้ค้ำถ่อ

สเตชั่น 7 ไป 8: ปีนก้อนหิน…ไม่สิ้นสุด

จู่ๆ ฟ้าก็สว่างจ้า พอเราเงยขึ้นมาจากบันไดที่กำลังตะกายอยู่ ก็พบว่าตรงหน้าคือมวลหมู่เมฆปุยขาวใสไกลสุดลูกหูลูกตา…นี่เราเดินทะลุเมฆขึ้นมาแล้วเหรอ?? เรามันคนเหนือเมฆแล้วสินะ เย้!!!!! (จะดีใจทำไม้!)

ช่วงนี้เส้นทางเน้นความชันขั้นเทพ ความเหนื่อยสาหัสไม่ต้องพูดถึง เป็นช่วงของการเดินทางที่…ยาวนานและวัดใจที่สุดแล้วจริงๆ แต่ข้อดีคือมีฮัททุกๆ เกือบ 2-300 เมตร ไม่ใช่ให้เราพักขาอย่างเดียว แต่เพื่อให้ “ร่างกายได้หยุดปรับตัวให้เข้ากับความสูง” (แถวๆ นี้ก็ 3000 กว่าม.เหนือระดับน้ำทะเลแล้ว) ดังนั้นเจอฮัทเมื่อไร เราจะหยุดนั่งพักสัก 5-10 นาที กินน้ำกินหนมให้ร่างกายไม่ขาดน้ำตาล และให้ร่างกายชินกับอากาศที่อ็อกซิเจนเบาบางลงเรื่อยๆ

ใครไม่มีจะซื้อหาที่ฮัทเขาก็มีขาย แต่เราเข้าไปนั่งในฮัทไม่ได้นะ เพราะมันอุ่น เราต้องจ่ายเงินให้กับค่าอุ่นนั้น และถ้าใครซื้อไม้สนค้ำถ่อมา ตามฮัทพวกนี้แหละจะมีบริการประทับตราร้อนลงบนไม้ ไปบอกหนุ่มๆ (บางอัทอาจเป็นคุณลุง) ประจำฮัทได้เลย

ช่วงนี้บอกเลยว่า “หินสาดดดด” เหนื่อยแทบขาดใจ เห็นๆ อยู่ว่าขึ้นบันไดอีก 2 ขั้นแล้วจะได้นั่ง สมองสั่งให้ลุยเลยหนู แต่ขาดิ…ไม่ยอมขยับเลยอะ ได้แต่สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ใช้ไม้ยันตัวไปเรื่อยๆ (จุดนี้ขาดไม้แล้วเธอจะรู้สึก) พอแหงนมองขึ้นสูงก็ทดท้อใจ เพราะถนนมันยังตลบพับไปมาไม่สิ้นสุด แต่เมื่อก้มหน้าลงมองเส้นทางที่เราจากมา…ก็ภูมิใจวะ อย่างน้อยเดินมาไกลขนาดนี้แล้ว

อยู่ๆ บูก็ประกาศขึ้นมาว่า… “ถึงฮัทที่เราจะพักแล้ว”
อ้าว จริงดิ…ถึงแล้วเหรอ…เฮ้ยจริงอะ เย้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก
“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถึงแล้ว” บูว่าซะงั้น

DSCF9247
ระหว่างสเตลั่น 7 ไป 8 มีฮัทแบบนี้ให้พักแข้งขาตลอดทาง ในฮัทขายอาหารง่ายๆ สแตมป์ร้อนบนไม้ค้ำถ่อ และห้องอุ่นๆ ให้หากเราจ่ายสตางค์
DSCF9258
ฮัทระหว่างสเตลั่น 7 ไป 8 ราคาอาหารก็ไม่ได้โหดร้ายจนเกินไปนัก
DSCF9259
ฮัทระหว่างสเตลั่น 7 ไป 8
DSCF9268
ระหว่างทางสเตชั่น 7 ไป 8 เริ่มหลุดจากอุโมงค์วาร์ป มาเจอพรมเมฆไกลสุดลูกหูลูกตา
DSCF9273
ระหว่างทางสเตชั่น 7 ไป 8 เริ่มหลุดจากอุโมงค์วาร์ป มาเจอพรมเมฆไกลสุดลูกหูลูกตา
DSCF9275
ระหว่างทางสเตชั่น 7 ไป 8 วิวแบบนี้สวยจนไม่อยากนึกถึงความเหนื่อย
DSCF9282
ระหว่างทางสเตชั่น 7 ไป 8
DSCF9304
ระหว่างทางสเตชั่น 7 ไป 8 พอก้มหน้ามองลง ก็จะพบว่าเรามาได้ไกลแล้วนะ ฮึกเหิมขึ้นมาอีกหน
DSCF9306
ฮัทระหว่างทางสเตชั่น 7 ไป 8 คุณลุงใส่แว่นน่ารักมาก มีการเชียร์ว่าอดทนไว้นะ
DSCF9312
ระหว่างทางสเตชั่น 7 ไป 8
DSCF9317
ระหว่างทางสเตชั่น 7 ไป 8 สมัยก่อนเคยคิดว่าโซ่พวกนี้มีไว้ให้จับ แต่ความจริงคือ…มีไว้แต่ไม่ให้จับ เอาไว้แค่กั้นให้รู้ว่าห้ามเดินเกินอาณาเขตนี้ไป
DSCF9327
ระหว่างทางสเตชั่น 7 ไป 8
DSCF9331
ระหว่างทางสเตชั่น 7 ไป 8
DSCF9340
ระหว่างทางสเตชั่น 7 ไป 8 ทุกครั้งที่เจอฮัท ก็จะนั่งให้ร่างกายได้ปรับตัว มองวิวสวยๆ ไป จิบน้ำกับขนมที่ติดตัวมาไปพลาง
DSCF9345
ระหว่างทางสเตชั่น 7 ไป 8
DSCF9347
ระหว่างทางสเตชั่น 7 ไป 8
DSCF9358
ระหว่างทางสเตชั่น 7 ไป 8
DSCF9359
ระหว่างทางสเตชั่น 7 ไป 8

ฮัทที่สเตชั่น 8
หลังจากจ่ายสตางค์ (ค่าฮัท+อาหารเย็น+อาหารเช้า สำหรับ 2 คน = 17800 เยน)
อาหารเช้าสำหรับ 2 คนก็ถูกยัดใส่มือ…

เฮ้ย! อาหารเย็นยังไม่ได้กิน ส่งอาหารเช้ามาให้เลยเรอะ!
แต่ตอนหลังถึงเข้าใจว่าทำไมเขาต้องทำแบบนั้น เราเปิดๆ ดูพบว่าอาหารเช้าคือข้าวสวยโรยด้วยผักดอง มีซองอาหารแค้มป์ ผงโรยข้าว ตะเกียบและชาเขียวให้กล่องนึง

“กินข้าวเย็นเลยนะ เดี๋ยวคนจะเยอะ” หนุ่มน้อยหน้าหยกบอกทันทีที่จ่ายตังเสร็จ ณ เวลานั้นคือบ่าย 4 โมง ร่างกายยังไม่ทันปรับตัวปรับใจอะไรทั้งนั้น ความเบลอเริ่มครอบงำเพราะเหนื่อย แถมเริ่มรู้สึกปวดหัวนิดๆ ด้วยดิ…แต่เอาวะกินก็กิน

อาหารเย็นคือแกงกะหรี่กับแฮมเบิร์ก และไส้กรอก บูบอก “ทุกฮัททำแกงกะหรี่เหมือนกันหมด คงเพราะมันเก็บง่าย อุ่นได้นาน ไม่มีของเสีย” จะบอกว่ารสชาติดีกว่าที่คิดมาก คือข้าวนุ่มหอม แฮมเบิร์กมีซอสรูป Smiley มาให้ด้วย รสชาติไม่แปลกปลอมอย่างที่คิด ส่วนไส้กรอกนั่น…ปลอมแน่ๆ

บูจัดการอาหารจนเกลี้ยง ขณะที่เราแตะแค่แฮมเบิร์กไปครึ่งก้อน แกงกะหรี่ไม่ใช่ของโปรดอยู่แล้วเลยผ่าน ที่เหลือบูโฮกลงคอด้วยดวงตาอินโนเซนส์

กินเสร็จมีหนุ่มอีกคนยื่นถุงใส่รองเท้าให้ พร้อมบอวก่า “ถอดเก็บไว้ในนี้ แล้วหิ้วขึ้นไปไว้ปลายถุงนอน ไม่ให้ใส่รองเท้าขึ้นข้างบน” แต่ถ้าใครจะลงมาเข้าห้องน้ำ เขาก็เตรียมรองเท้าแตะให้ใส่พร้อมสรรพ ดีจังคิดรอบคอบ เพราะถ้าให้ถือรองเท้าปีนเขามาใส่ๆ ถอดๆ ฉันคงอยากจะกรี๊ด มันง่ายซะที่ไหน

อากาศข้างนอกเย็นเยือกแล้ว แต่ในฮัทอุ๊นอุ่นเพราะมีฮีทเตอร์ ที่นอนอยู่บนชั้น 2และ3 คนมาพักฮัทนี้กันเป็นหลักร้อยคนทีเดียว ลักษณะที่นอนเป็นถุงแด้พร้อมผ้าห่มฟลีซหนาอุ่น หมอนนุ่ม 1 ใบ และขอเกี่ยวเป้ตรงหัวนอนซึ่งมีป้ายบอกเลขล็อกแด้ของเราด้วย เนื่องจากเขาปูแด้ติดกันเป็นพรืด เลยจัดให้คนมาเป็นคู่อยู่ชั้นล่าง คนมาเดี่ยวๆ หรือกลุ่มอยู่ชั้น 2 (คล้ายเตียง 2 ชั้น) แล้วจัดให้หญิงนอนข้างหญิง ชายนอนข้างชาย…ช่างเป็นอะไรที่รอบคอบ สมความเป็นญี่ปุ่นจริงๆ อยากไหว้นะจุดนี้

แต่การ “ซุกแด้” เป็นการนอนที่…ทรมานประการหนึ่งเลย คือที่มันแคบ กางแขนขาไม่ได้ พลิกตัวทีก็ชนคนอื่น นอนชิดจนแทบจะหายใจรดต้นคอกัน กระนั้น…พอนึกไปนึกมาว่าดีกว่านอนเต็นท์กลางดินกินกลางทราย ก็ดีกว่าหลายเท่าล่ะวะ

เรามาเป็นกลุ่มแรกๆ มีคนเข้าแด้แล้วราวๆ 10 คน หลังจากรื้อเป้หาเสื้อฟลีซมาสวมเพราะอากาศเริ่มหนาวขึ้น บูก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชื้นเหงื่อออกมาใส่ชุดใหม่ (ชิ…เขามีชุดใหม่ใส่ เราบ่มี) ถือแปรงสีฟันลงไปเข้าห้องน้ำแปรงฟัน (ค่าบริการคนละ 200 เยน/ครั้ง) แล้วกลับมา “ซุกแด้” นอนหลับตั้งแต่ 5 โมง!!! อยากบอกว่า…เหมือนจะเป็นไปไม่ได้แต่มีคนนอนแล้วหลายคนมาก รวมถึงคู่เราด้วย คร่อกกกกกกกก

ตื่นมาอีกทีตอนเกือบทุ่ม เราลุกจากแด้พร้อมอาการปวดหัวจี๊ดทั้ง 2 ข้าง คิดในใจว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่หายจะไหวไหมตู ไม่แน่ใจว่านี่เป็นอาหารของอ็อกซิเจนน้อย นอนน้อย หรือกินน้ำน้อยกันแน่ ยันตัวเองลงไปเข้าห้องน้ำ (ควานหาเหรียญ 100 เยนจากเป๋ากางเกงบูในความมืด) แล้วกลับขึ้นมากินน้ำเพิ่มเข้าร่าง ยอมฉี่บ่อยดีกว่าปล่อยให้ปวดหัวแบบนี้ต่อไป

จุดนั้นปวดหัวจนรู้สึกว่า…อยากยอมจ่ายสตางค์ซื้อออกซิเจนกระป๋องมาฉีดปู้ดเข้าตะหมูกสัก 2-3 ฟอด (แม้ราคาจะพรวดจาก 600 มา 1500 เยน) เผื่อมันจะหายปวดได้บ้าง แต่พอหยั่งเสียงบูว่าซื้อดีไหม (โดยอุบอิบไม่บอกว่าเราปวดหัวมาก เพราะกลัวเค้าห่วง) บูทำหน้าบอกให้รู้ว่า “มันมีประโยชน์ด้วยเหรอ”…เราเลยมองหาแนวทางใหม่ด้วยการหันไปสวดมนต์อ้อนวอนเจ้าพ่อที่คุ้มครองดูแลขุนเขาฟูจิ และเทวดาที่คุ้มครองขะเจ้าแทน ว่าอย่าให้ลูกมีอาการใดๆ ผิดปกติกับร่างกาย ขอให้การเดินทางครั้งนี้ปลอดภัยและเป็นไปโดยสวัสดิภาพ สาธู้!  แต่ช่วง 1-4 ทุ่มนอนไม่ค่อยหลับเท่าไร เพราะคนเริ่มเข้ามานอนกันเยอะ เสียงดังเข้าหู แม้ทุกคนจะพยายามไม่พูดดังมากก็ตาม

ตื่นอีกทีตอนเกือบ 4 ทุ่ม ลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำอีกรอบ กินน้ำเพิ่มเข้าไป คลานกลับเข้ามาในแด้ ตอนนี้ทุกอย่างเงียบกริบ ในห้องนั้นมีคนนอนร่วมร้อยคนแต่แทบไม่มีใครส่งเสียง แต่ก็รู้ว่าคนนอนไม่ค่อยหลับกัน ไม่งั้นเสียงกรน เสียงหายใจแบบคนนอนหลับก็ต้องลอยมาเข้าหูบ้างแล้ว บางคนขี้เกียจทนซุกแด้ก็ออกมานั่งจิ้มมือถืออยู่ตรงห้องอาหาร พนักงานหนุ่มๆ ทั้งหลายก็ไม่นอนแฮะ เขาจับกลุ่มคุยกันงุ้งงิ้ง สงสัยจะอยู่รอปลุกทุกคนตอนราวๆ ตี 2 แล้วค่อยเข้านอน

จากตอนเย็นที่อากาศหนาวจัดต้องห่มผ้าพอกตัว บัดนี้ body heat ของทุกคนมันระอุขึ้นมาไออวลอยู่ในห้องเล็กๆ ทำให้อากาศร้อนขึ้นมาก—มากจนทนนอนไม่ไหว ต้องลุกมาถอดเปลือกออกทุกชั้น (ฟลีซ, เสื้อเชิ้ต, heattech แล้วหมกไว้ที่หัวนอนนั่นแหละ) จนเหลือแต่เสื้อกล้ามตัวเดียว ไม่งั้นเป็นลมตายคาที่นอนแน่

ปัญหาของการนอนบนภูเขาสูงคือ “ลมขยาย” บอกตรงๆ ว่าปวดปุ๋งมาก ไม่ได้ตั้งใจนะแต่ท้องไส้มันปั่นป่วนของมันเอง กินก็น้อยจะตาย เลยรมควันผู้หญิงที่นอนข้างๆ กับคุณบูเป็นระยะๆ แต่ก็แน่ใจว่าเราเองก็คงโดนคนอื่นรมควันเช่นกัน (บูก็เป็นหนึ่งในนั้น นางเพิ่งมาสารภาพตอนหลัง)

DSCF9361
ส่วนทานข้าว ของฮัทที่เราไปพักบนสเตชั่น 8
DSCF9362
ฮัทที่สเตชั่น 8 : ตอนเราไปถึง ยังมีคนมาแค่ไม่กี่คนเอง
DSCF9367
อาหารเช้าถูกยัดใส่มือ (กล่องขาวฟ้าด้านบน) พอหย่อนก้นนั่งได้ อาหารเย็นก็ตามพรวดมา คือข้าวแกงกะหรี่ร้อนๆ กับแฮมเบิร์กและไส้กรอกและผักดอง (มี smiley มาด้วย! ส่วนอีกอันบูบอกว่าเค้าน่าจะทำเป็นรูปฟูจิ…เอิ่ม เพิ่งรู้ว่าสามีดั๊นก็ต่อมมโนเพริดแพร้าวไม่แพ้กัน)
DSCF9372
ลักษณะที่นอน “ถุงแด้” ที่เรียงติดกันเป็นพรืดไปตามความยาวของห้อง ที่นอนไม่มีกลิ่นอับใดๆ เลย ไม่แหยด้วย
DSCF9374
ห้องนอน จะทำเป็นเตียง 2 ชั้น มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ 1 ห้อง

ตี 1 ครึ่ง:   ถึงเวลาเดินทางต่อ

ใจอยากนอนจนตี 2 นะ แต่คนพากันลุกพรึ่บพั่บเสียงดังจนนอนต่อไม่ไหว ยันตัวขึ้นมาแคะขี้ตา (แว้ก แยะมาก) ใส่เปลือกที่ถอดพอกไว้บนหัวนอนเข้าร่างอีกครั้ง เอาผ้าเปียกมาเช็ดมือแล้วใส่คอนแทคเลนส์แบบไม่มีกระจกเงา (กลัวร่วงลงพื้นสุดๆ ถ้าเช่นนั้นอิฉันคงตาบอดไปตลอดทริป) ก่อนรวบทุกสิ่งใส่กระเป๋าเป้ หิ้วลงมาที่ห้องอาหารอีกครั้ง

โต๊ะทั้งหลายถูกเลื่อนชิดผนัง เหลือแต่เก้าอี้ให้คนนั่งใส่รองเท้าเตรียมตัวเดินทางต่อ หนุ่มน้อยที่เช็คอินเราเมื่อวานหัวตั้ง บอกให้รู้ว่านางนอนหลับไป สภาพคนอื่นเหมือนซอมบี้ที่ถูกฉุดกระชากออกจากที่นอน ตาเหม่อลอย หน้าเบลอ บางคนก็นั่งเฉยๆ นั่งคุยกัน บางคนก็กินอาหารเช้า (เหอ…กินลงได้ไง!) จุดนี้ถึงเข้าใจว่าทำไมเขาแจกอาหารเช้าเลย…เพราะรู้ว่าเอ็งคงไม่คิดจะกินที่นี่หรอก ประคองสติให้รอดก่อนเถอะ เราซื้อน้ำเติม camel bag อีกคนละ 0.5 ลิตร แล้วออกเดินต่อ

อากาศหนาวกระทบหน้าทันทีที่ออกจากฮัท เมื่อก้มลงมองด้านล่างเห็นแสงไฟจาก headlamp เป็นสายไต่ขึ้นมาตามถนน แปลว่าคนเริ่มขึ้นมาจนถึงนี่แล้ว ขณะเดียวกันพอเงยหน้ามองบนยอด ก็เห็นแสงไฟแบบเดียวกันเรียงตัวเป็นแนวตลบไปมาเป็นเส้นแทยงมุมแบบสุดลูกหูลูกตา…

อา…คนเยอะชิบเป๋ง มีงานประเพณีอะไรหรือเปล่านะ หรือข้างบนเขาแจกข้าวต้มกระดูกหมูอุ่นๆ โรยผักชีและกระเทียมเจียวให้ฟรี คนจึงคับคั่งเช่นนี้

เราร่วมขบวนต่อแถว ค่อยๆ ไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ สภาพการจราจรติดขัดทำให้เดินได้ไม่เร็วนัก บางจุดหยุดนานจนร่างกายเริ่มเย็น จะแซงก็ไม่ได้เพราะเทอร์เรนช่วงนี้เป็นหินสูงชัน แถมกำลังวังชาก็ไม่ใคร่จะมี การเดินบนยอดเขาแบบนี้เราจะเหนื่อยเร็วมากแบบไม่น่าเชื่อ แค่ยืนเฉยๆ หัวใจก็เต้นแรงกว่าปกติแล้ว ดังนั้นถ้าแซงแล้วสุดท้ายเหนื่อยหอบจนเป็นลมจะอายเขาเปล่าๆ ระหว่างทางเห็นคนหน้าซีดหน้าเซียว นั่งหลบมุมพักเอาแรงกันเป็นแถวทีเดียว

ช่วงที่ยืนนิ่งๆ เพราะการจราจรติด เงยหน้ามองบนฟ้าเห็นดาวชัดเลย ปกติดาวมักจะอยู่บนหัวเรา แต่นี่เหมือน…ดาวมาอยู่ด้านข้าง ใกล้มากจนเหมือนมือจะเอื้อมคว้ามันได้่

พูดถึงอาการปวดหัว…โชคดีที่ตื่นมาไม่ปวดหัวแล้ว (ขอบคุณเจ้าพ่อแห่งขุนเขาฟูจิมา ณ ที่นี้ค่ะ) แต่ถ้าขยับตัวเร็วไป จะปวดหัวจี๊ดขึ้นมาเป็นพักๆ ตอนเริ่มเดินขึ้นแอบมีอาการปวดหูจี๊ดเหมือนตอนเครื่องบินจะแลนด์ แต่เดินสักพักก็หาย สรุปว่าสภาพร่างกายโอเค คงเพราะได้พักให้มันปรับตัวเข้ากับอากาศแบบนี้ อาการง่วงงุนก็ไม่ค่อยมีมากเท่าไร แค่เหนื่อยง่ายกว่าปกติ

ช่วงนี้เราจะเดินปะปนกับกลุ่มทัวร์ชาวญี่ปุ่น กรุ๊ปทัวร์มักเดินช้ากว่าปกติ เพราะสภาพร่างกายแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่เขาให้เดินไปพร้อมกัน และมักหยุดพักพร้อมกันเป็นระยะๆ หัวหน้าทัวร์จะคอยส่งเสียงเชียร์ลูกทัวร์ตลอดการเดินทาง ฟังไม่เข้าใจหรอก แต่น่าจะเป็น “อีกนิดเดียวนะ” “ใกล้แล้วๆ” “อดทนไว้” และ “ใครช้าให้ชิดซ้าย เปิดทางให้คนแซงไป” พอได้ยินเราก็รู้สึกฮึกเหิมตามไปด้วย บางจุดใครช้ามากก็ฉวยโอกาสแซงไปบ้าง แต่สุดท้ายก็กลับไปต่อคิวเค้าอยู่ดีแหละ

DSCF9382
นี่คือส่วนทานอาหารในตอนเช้ามืด (ราวตี 1 ครึ่ง) โต๊ะถูกยกออกไป ให้คนได้นั่งเก้าอี้ใส่รองเท้ากัน คนส่วนใหญ่หน้าตามึนเบลอมาก (แน่นอนว่า…เราด้วย)
DSCF9383
บางคนก็ออกมาเตรียมตัวเตรียมใจอยู่ด้านนอกฮัท

ยอดเขาฟูจิ

2 ชม.ต่อมา เราก็ถึงยอดเขาจนได้ ทั้งที่ระยะทางไม่ถึง 1 กม.เลยด้วยซ้ำ จุดนี้…ลมโกรกกริ้วพลิ้วแรงมาก อากาศหนาวจนอุณหภูมิน่าจะเข้าใกล้เลขศูนย์ หมอกหนาจัดจนเห็นหยดน้ำในอากาศได้ด้วยตาเปล่า ใครไม่ใส่หมวกจะเห็นหยดน้ำเกาะผมเขาเป็นหยดๆ เลย จะเป็นหวัดไหมนั่น

สภาพร่างกายตอนนี้คือมือ-เท้าแข็งมาก ตอนซื้อถุงมือ-ถุงเท้า ได้แต่บ่นกับตัวเองว่าหนาไปใส่แล้วอึดอัด…แต่ตอนนี้อยากได้หนากว่านั้นอีก 3 เท่าเลอ…คือแบบตัว+ขานี่อุ่นพอนะ หัวก็ใส่หมวกคลุมด้วยฮู้ดหยดน้ำไม่เกาะแน่ๆ แต่ปลายนิ้วทั้ง 20 นี่…เส้นประสาทเกือบอักเสบแล้วอะ บอกเลยว่าอย่าประมาทนะ เพราะเราเคยหนาวแต่ไม่ได้พกถุงมือไป ปรากฏปลายประสาทอักเสบมือชาไปอีกติดต่อกันหลายเดือน ถึงกะต้องเสียตังไปหาหมอ (เพื่อได้วิตามิน B รวมมาบำรุงเส้นประสาท ฮือออ T^T)

ฮัทขายของเริ่มเปิดราวๆ ตี 4 กว่า คนต่อแถวกันเอาไม้ไปประทับตรา ซื้อของที่ระลึกซึ่งมีขายเฉพาะบนนี้เท่านั้น (แต่เราหนาวจนไม่นึกอยากซื้ออะไรเลยสักอย่างเดียว มานึกอีกทีก็ยังเสียดาย) บางคนก็จ่ายสตางค์เข้าไปนั่งอุ่นๆ รอข้างใน…ฉันก็ยอมจ่ายนะ สตางค์น่ะมีเฟร้ย!! แต่…ไม่มีที่ให้หย่อนตูดแล้ว เข้าไปไม่ได้…หนาวต่อไป T^T

นอกจากบันไดฮัทแล้ว เค้ามีม้านั่งให้รอดูอาทิตย์ขึ้นด้วย แต่มันเปียกโชกเพราะหมอกจัด คนที่เดินแบบ bullet climbing พากันหามุมอุ่น (ซึ่งไม่ค่อยมีหรอก) นั่งคอหักหลับกันตรงนั้นตรงนี้ บางคนก็กอดเป้ไปด้วย บางคนก็เตรียมผ้าผืนใหญ่มาห่มตัว บางคนเอากระดาษฟอยล์แผ่นใหญ่มาคลุมกันลม เป็นไอเดียที่แจ่มมาก

ขณะที่คนที่ค้างคืนตามฮัทสเตชั่น 8 พากันเดินพล่านหามุมเหมาะๆ เตรียมรอดูพระอาทิตย์ขึ้น เราเองก็พยายามหานะ แต่…หาไม่เจอ เพราะที่เหมาะๆ ก็ลมแรงเกิ๊น ที่หลบมุมอุ่นขึ้นหน่อย…ก็ดันมองไรไม่เห็น แล้วไม่แน่ใจด้วยหมอกหนาแบบนี้ จะเห็นอาทิตย์ขึ้นได้จริงเหรอ

สักพักแสงแรกก็เริ่มปรากฏ คนฮือฮากันทั้งบาง (ก็มานั่งเฝ้ารอมันนี่เนาะ) ทั้งที่อาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลยนะ เราพยายามกดชัตเตอร์เก็บภาพ…แต่ทุกครั้งที่กด มือเหมือนจะขาดรอนๆ หนาวมากกกกกกกกกกก โอย..นี่เราจะทนไหวจนถึงพระอาทิตย์ขึ้นไหมเนี่ย ทำไมไม่เกิดเป็นหมีขาวนะ จะได้ไม่เดือดร้อนเรื่องแบบนี้ ทำไมฉันต้องเป็นคนเมืองร้อนด้วย ฮือๆๆๆ

“ลงกันเลยมะ” เสียงบูลอยเข้าหู ห๊ะ! บูเนี่ยนะชวนลงก่อน?? เพราะปกติบูเป็นคนทนหนาวได้ดียิ่ง

“บูจะไม่เดินเล่นรอบเครเตอร์เหรอ” ก็ปากปล่องภูเขาไฟไง อุตส่าห์มา
“อากาศแบบนี้ เดินไปเดี๋ยวกลายเป็นไอติมหรอก มันตั้ง 2 ชม.เลยนะ ถึงจะรอบ”

โห…งั้นลงก็ลงฟระ เพราะสิ่งที่เห็นด้วยสองตาตอนนี้ ก็รู้สึกว่าสวยจนเหมือนอยู่บนสวรรค์แล้ว

DSCF9388
ณ เวลาตี 2 คนเดินฝ่ากลุ่มเมฆขึ้นยอดเขาฟูจิ เป็นแนวยาววววววววววว จนสภาพการจราจรติดขัด
DSCF9393
พอขึ้นถึงยอด…ก็พบหมอกเมฆปกคลุมจนแทบมองอะไรไม่เห็น เวลาฟ้าเปิดที คนก็เฮโลกันที เป็นที่หนุกหนานและลุ้น
DSCF9395
ยอดเขาฟูจิ
DSCF9396
คือว่า…ยืนมองเฉยๆ ก็ฟินแล้ว (เพราะควักกล้องออกมากดทีไร มันเจ็บนิ้วเหลือเกิ๊นนนแม่เอ้ย)
DSCF9413
ยอดเขาฟูจิ
DSCF9418
ยอดเขาฟูจิ

ว่าแล้วก็เดินลง

ขณะที่คนปักหลักอยู่บนยอดเขา เรากับกลุ่มทัวร์ 2-3 กลุ่มพากันเดินลง สักพักถึงหายสงสัยว่าทำไม เพราะถ้าเดินลงมาอีกแค่นิดเดียว คุณก็สามารถนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นจากปุยเมฆได้สวยไม่แพ้กัน ในสภาพที่อุ่นกว่า ลมไม่พัดแรงเท่า และไม่ต้องมีหัวใครมาบังทางกล้องอีกด้วย!…เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ คุณบู

DSCF9430
อ๊ะๆ เริ่มโผล่มาแล้วว

DSCF9433

DSCF9438

เดินขึ้นว่าเหนื่อยแล้ว เดินลงเนี่ย…ไม่หมูนะ
หนึ่งคือร่างกายมันล้าแล้ว ข้าแข้งถูกใช้งานมาคนละ 8-10 ชม.ต่อเนื่อง พอมาเจอกับสภาพถนนที่เป็นลูกรังภูเขาไฟ เดินไปเท้าจมๆ พอเหยียบบนก้อนหินก็ไถลลื่นปรื้ดปร้าด ทำให้ต้องเกร็งขามากกว่า บางคนไม่ชินก็จิกปลายเท้าลงกับพื้น เจ็บปวดเข้าไปอีก หินหรือก็ชอบสอดตัวเข้ามาในรองเท้า ถอดออกมาเคาะ 3 รอบแล้วก็ยังกองกันเต็ม…สุดท้ายก็ปล่อยให้หินทิ่มหัวแม่เท้าไปงั้นแหละ คร้านจะถอดมาเคาะแล้วจริงๆ

เราเป็นคนโชคดีอย่างนึงคือมีบาลานซ์ดี  ดังนั้นพอได้ยินเสียงของหนักไถพื้น ฉันล่ะเสียวแทนคุณบูจริงๆ กลัวข้อเท้าจะพลิกก้นจ้ำเบ้า และก็ต้องขอบคุณเจ้าพ่อขุนเขาฟูจิอีกครั้ง ที่ดูแลให้พวกเราปลอดภัยลงมา.

DSCF9453
ทางลงจากยอดเขาฟูจิ
DSCF9456
ทางลงจากยอดเขาฟูจิ ฟ้าใสมากกกก เพราะเมฆอยู่ข้างล่างหมดเลย
DSCF9460
ทางลงจากยอดเขาฟูจิ
DSCF9468
ทางลงจากยอดเขาฟูจิ
DSCF9467
ฝ่าเท้าฝรั่งคนนี้ต้องพังบ้างล่ะ เพราะนางใส่ Keds มาเดิน!!! (ไม่แน่ใจยี่ห้อ แต่รองเท้าแนวๆ นั้น)

อาหารเช้า

พวกเราลงมาได้ครึ่งทาง ก็พักกินอาหารเช้าที่ทางฮัทแจก บูนั่งหน้าซีดจางขณะเราแกะกล่องอาหาร ฉีกซองเทให้ เนื่องจากเขาแบกเป้หนักกว่าเรา น้ำหนักตัวเขาก็หนักกว่าเรา การจะทรงตัวเดินลงเขาในสภาพถนนแบบนี้มันหินมาก เลยใช้พลังเยอะ ตอนแรกไม่แน่ใจว่าอาหารแค้มป์ในซองคืออะไร แต่สักพักคุณบูก็บอกเปรยๆ “เนื้อปลาวาฬ”

หา…พูดเล่นป้ะ…

“เนื้อปลาวาฬมันถูก และเป็นอาหารฮิตของแค้มป์”

ไอ้เราที่ไม่ค่อยเจริญอาหารอยู่แล้ว พอได้ยินต่อมหิวก็ยิ่งหด เลยกินไปไม่ถึงครึ่ง แล้วเอาถุงขยะมาผูกติดกับเป้ของเราเอง จะได้ถ่ายน้ำหนักมาจากเป้บูบ้าง

ทางลงจากยอดฟูจิ มีฮัทให้พักระหว่างทาง 1 ฮัท (แถวๆ Fuji Hotel) และห้องน้ำใกล้ๆ สเตชั่น 6 อีก 1 หน่วย แต่ฮัทไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะไหล่ทางกว้างขวาง แหมะตูดลงนั่งได้เสมอ พอเจอห้องน้ำก็แวะเข้าเสียหน่อย เลยรู้ว่าเค้าใช้น้ำหมักแบคทีเรียในการชักโครกของเสียลงไป สีของมันคือน้ำตาลเข้มกลิ่นตุๆ หน่อย (ไม่อยากบอกว่า…คล้ายกลิ่นน้ำผสมอุนจิมนุษย์ ทำเอาแหยงในแวบแรกที่เห็น) เราเองก็เพิ่งเห็นเพราะห้องน้ำบนสเตชั่น 8 ไม่มีน้ำให้เห็น ส่วนน้ำจากปืนฉีดก็เป็นใสๆ ธรรมดา

DSCF9448

กลับมาสเตชั่น 6 แล้ว!

เรากับคุณบูยกมือไฮไฟว์ทันทีที่เห็นป่าสนสูงใหญ่สองข้างทาง เพราะนั่นเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า อีกไม่เกินชม.เราก็จะได้พักร่างและขาในห้องอุ่นๆ กินอาหารอุ่นๆ และเมื่อเข้าเมืองไป ก็จะได้แช่ร่างอันแหลกสลายร้าวรานในบ่อออนเซ็นอุ่นๆ ของเรียวกัง…อะไรมันจะแจ่มไปกว่านี้อีกเล่า

ขอแค่…เราไปให้ถึงเรียวกังเหอะ

DSCF9475
นี่คือรถไต่เขา ที่ใช้ขนของจากสเตชั่น 5 ไปยังฮัทต่างๆ บนยอดเขาฟุจิล่ะ เค้ามีถนนพิเศษให้กับรถนี้เลย เป็นถนนที่ชันมากๆ


DSCF9472

DSCF9473

DSCF9480

DSCF9482

DSCF9487


สเตชั่น 5 ตอน 9 โมงเช้าของวันถัดมา

คนยังไม่หนาแน่นเหมือนเมื่อวาน ตอนนี้ขาและเท้ายังไม่กระเผลกเท่าที่คิด แต่ไม่รู้ทำไม พอเข้าไปสั่งอาหารที่แคนทีนเดิม นั่งกินเสร็จ เตรียมจะเข้าเมืองแล้วนั่นแหละ มัน…ลุกไม่ขึ้น

ร่างกายมันคงรู้ว่าไม่ต้องใช้พลังฮึดต่อสู้แล้ว มันเลยดื้อไม่ยอมปล่อยเรี่ยวแรงออกมาให้ใช้ (หรืออีกทีหมดก๊อกไปแล้วก็ไม่รู้) ดังนั้นเราเลยไม่มีอารมณ์แม้แต่จะเลือกของฝากฟูจิซังทั้งหลาย เดินผ่านสิ่งเหล่านั้นไปที่ท่ารถ ซื้อตั๋ว ยืนรอบัสพร้อมกลุ่มเด็กหนุ่มที่ทิ้งตัวลงนอนเขลงกันริมถนนอย่างไม่แคร์สื่อ…ถ้าฉันเอ๊าะกว่านี้อีกนิดก็คงทำเหมือนพวกเธอนี่แหละ

ขึ้นบัสเข้าเมือง Kawaguchiko เพื่อไปที่เรียวกังในเมืองนั่นแล ใช้เวลาเดินทางราว 45 นาที…เราไม่ได้นั่ง รถเต็มแน่นมาก

และเป็นครั้งแรกที่…เรายืนหลับบนรถเมล์!
ตอนแรกมีเด็กหนุ่มคนนึงยืนข้างหน้า หลับคอตกทั้งที่มือยังถือถุงของฝาก แต่เขาแน่ตรงหลับได้ทั้งที่ร่างกายไม่ทิ้งโครมลงพื้น ขณะที่เราตั้งใจจะยันหนังตาเปิดจนกว่าจะลงรถ…ปรากฏวืดหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ และ…เข่าอ่อนค่ะ…เกือบทรุดเข่ากระแทกบนพื้นรถเมล์ บูเห็นขำแทบแย่ ชิชะ เพลียมากๆ อ่าจุดนั้น

ทุกอย่างเหมือนจะผ่านพ้นไปด้วยดี เรารอดจากการนั่งรถบัส 45 นาทีมาจนถึงเมืองได้ในที่สุด แต่!…เรียวกังให้เช็คอินได้ตอนบ่าย 3 ซึ่งขณะนั้นมัน…ไม่ถึงเที่ยงวันดี (อยากปล่อยโฮ ออกมาเป็นภาษาตุรกี)

เลยแวะไปรถขายน้ำผลไม้ปั่นโลคัล (แต่ฝรั่งเป็นเจ้าของ) ซื้อพีชมาลูกนึง ซื้อน้ำพีชปั่นกะน้ำบ๊วยปั่นมาอย่างละแก้ว แล้วนั่งหมดแรงกันอยู่หน้าสถานี ปรึกษาหารือกันว่าจะทำยังไงต่อไป สุดท้ายก็เลยได้ไอเดียว่า จะเอาของไปเก็บที่เรียวกัง เปลี่ยนรองเท้า หาอะไรโลคัลๆ ทาน แล้วเดินเล่นจนกว่าจะบ่าย 3 แล้วกัน

ปิดท้ายด้วยวิดีโอจากการปีนฟูจิครั้งนี้ มีคุณบูเป็นมาสคอตแยะหน่อย แต่ก็ได้เห็นบรรยากาศตอนปีนดีนะ : )

More about me:
http://www.facebook.com/adaytripdiary
IG: aenoi_adaytrip

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s