
เป็นการไปซัปโปโรครั้งแรก พัก Hotel Gracery ซึ่งอยู่ตรงข้ามสถานีซัปโปโรเลย บอกได้คำเดียวว่าสะดวกมากหลาย ลงรถไฟ ไปต่อรถบัสอะไรก็ง่ายแสนสาหัส ไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่ห้องหับเขาโอเคตามมาตรฐานญี่ปุ่นทั่วไป (เล็ก สะอาด มีของให้ครบ โลเคชั่นดีเด่น)
พอกลับมานั่งดูรูปกับไดอารี่ที่เขียนไว้ พบว่ามันสะเปะสะปะมาก คงเพราะตอนนั้นเหนื่อยกับการเก็บของย้ายบ้านข้ามประเทศ เลยตั้งใจเที่ยวสนุกมากกว่าจะจำ เลยเขียนเป็นท่อนๆ ไปตามรูปละกัน แต่ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องกิน โดยไม่ตั้งใจจีจีนะ
ตอนไปถึงหิวมาก เจอสิ่งนี้ที่สถานีซัปโปโร จึงจัดมา 1 ชิ้น
กินเสร็จไปซื้อเพิ่มอีก 1 ชิ้น เพราะอร่อยมาก! ร้อนๆ เบาๆ หวานน้อย หอมมัน ครีมมี่
ร้านชื่อ Kinotoya Bake น่าจะมีสาขาทั่วๆ ไปในญป. ชิ้นละ 183 เยน
ตลาดปลา Niji
แวะไปตลาดนี้ 2 รอบ เพราะชอบมากๆ ไม่ใช่ชอบดูปลาสดนอนแม้งอยู่บนน้ำแข็งนะ แต่ชอบร้านซูชิทั้งหลายที่อยู่รอบๆ มันแสนจะโลคัล คือร้านเล็ก คนแน่น บรรยากาศกรุ่น เมนูอังกฤษไม่ค่อยมี เราก็ดมๆ ด้อมๆ เอาพบว่าร้านนี้คนแยะก็มุดๆ เข้าไป ได้กลิ่นปลาย่างกรุ่นกำจายไปทั่วร้าน หอมชวนน้ำลายสอมาก แต่เสื้อตู…เหม็นปลาแน่นอน – -”



ยังอยู่ที่ตลาดปลา…กินเสร็จเราเคลื่อนขบวน ออกไปดูพวกของทะเลสดแห้งที่วางขาย พอเดินผ่านหน้าร้านที่เหมือนขายอาหารทะเลสด พบว่าด้านในเขามีโต๊ะให้นั่งกิน ร้านรับปิ้งย่าง แกะเปลือกอะไรให้ด้วย คุณบูที่เพิ่งกินไข่ปลาแซลมอนกับอุนิจากร้านเมื่อกี๊มา อยากทดลองกินอุนิสดเป็นๆ เพราะยังไม่เคยลอง…เราเองก็ไม่ชอบไข่หอยเม่นหรอก แต่ๆๆๆๆๆๆ ไข่หอยเม่นสดนี่มันแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเลยนะ ต้องลอง มันหวานเชี้ยบมาก ได้กลิ่นทะเลแบบกำลังดีๆ โอย พิมพ์ไปน้ำลายสอไป
หน้าร้านปู-ไข่หอยเม่น ที่เราชอบมากกกกก
ไป 2 ครั้งรวด! แนะนำฝุด! พอเดินเข้าไปด้านในจะเห็นโต๊ะนั่ง


ดังนั้นพอกลับไปร้านนี้อีกครั้ง เราเลยสั่งปูนึ่ง ซึ่งใช้เวลารอค่อนข้างนาน แต่เนื้อฉ่ำอร่อยกว่า แคะเนื้อกินกับข้าวสวยร้อนๆ คลุกสมองปูเข้าไปหน่อยนะ หื้มมมมม….ไม่ต้องมีน้ำปลาพริกฉันก็ฟินได้
ตอนแรกปูมาเป็นตัวๆ คุณลุงเค้าเอากรรไกรมานั่งแงะนั่งตัดให้เห็นกันจะจะ แล้วเรียงเป็นระเบียบสวยงาม ไม่ต่างจากร้านหรูเลย เราสองคนมองตาปริบๆ น้ำลายเริ่มฟอด แต่การจะแงะเนื้อปูมาโปะหน้าข้าวก็ใช้เวลาเหมือนกันนะ ถือซะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของความสนุกละกัน


ชาบูเนื้อวากิว ที่รร. Mercure ร้าน Sukuyaki Sankoshiya
ไหนๆ พูดเรื่องกินแล้วก็ต่อเนื่อง ร้านนี้คุณบูไปอ่านจากไหนมาสักอย่างบอกว่าเป็นชาบูแบบเทรดิชันนัลมากๆ เขามีเนื้อให้เลือก 3 ระดับตามคุณภาพ เข้าใจว่าเราน่าจะเลือกแบบกลางๆ (19,000 เยน) ข้อเสียคือร้านนี้ไม่มีเมนูอังกฤษ และคุณป้าแทบจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ความตั้งใจให้บริการเกิน 100 เราเลยงูๆปลาๆ ใช้ภาษามือกันไป
พอป้าเอาจานเนื้อมาวาง…ตาแทบถลน คือรู้สึกมันน้อยอ่ะ กลัวไม่อิ่ม ฮ่าๆๆๆ ถึงขนาดของเนื้อแต่ละแผ่นจะเท่าจาน มีมันแทรกเป็นลายหินอ่อนงดงามอร่ามตา แต่มันมาไม่ไม่กี่ชิ้นเอง จะไหวไหมลูกพี่!!! แต่ปรากฏกินเสร็จมื้อนั้น จุกจนตัวลอย หนังตาหย่อนคล้อยแทบจะหลับคาที่ รอดไป
น้ำซุปชาบูจะผสมมิโซแดงเก่าแก่ (เข้าใจว่าเป็นระดับพรีเมี่ยม) ทำให้ได้กลิ่นรสที่แตกต่างไปจากเดิม สารภาพว่าเราไม่ค่อยชอบมิโซขาว แต่แดงนี่ได้อ่ะ คืออร่อยมากๆ ระหว่างมื้อป้าจะเข้ามาช่วยจัดแจงเอาเนื้อผ่านน้ำร้อนให้เรากินกันไปด้วย ก็เป็นอะไรที่เอนเตอร์เทนดี
เนื้อมีแค่นี้เอง แต่สอยเราจนจุกกลับบ้านได้ ลวกแล้วกินกับไข่ดิบอร่อยโฮก
สกอร์ เนื้อ 1 – เรา 0
ร้านยากิโทริ Kushidori
อีกหนึ่งไอเดียของอาหารค่ำในซัปโปโร ก็คือยากิโทริแสนอร่อยร้านนี้ ที่่อาจต้องต่อคิวสัก 10-15 นาที แต่คุ้ม ที่นี่คือ “ร้านยากิโทริแบบสาขา ที่ป๊อบที่สุดในซัปโปโร” เขาเด็ดตรงอร่อยมาก คือสั่งเมนูอะไรก็อร่อย ยังงงว่ากะไอการปิ้งย่างเนี่ย มันทำให้ต่างกันได้มากขนาดนี้เลยเหรอ อีกอย่างเค้ามียากิโทริแปลกๆ ที่ไม่เคยเจอที่อื่น เช่นเห็ดแปลกๆ ย่าง ตับหมูหั่นเต๋ากินกับหัวหอม (จำไม่ได้เพราะถ่ายมาไม่หมดทุกสิ่ง) สาวๆ น่าจะชอบ Soshu ซึ่งเป็นโซจูผสมน้ำหวานรสต่างๆ กินคล่องคอมากจนน่าตกใจเพราะแทบไม่รู้สึกถึงรสโซจูเลย มื้อนั้นกินกันไปหลายสิบไม้ บวกสาเกด้วย คิดตังออกมา 3400 เยนเองอะ
ที่ซัปโปโรมีราว 5 สาขา ลองเอาชื่อร้านไปเสิร์ชใน google แล้วมองหาสาขาที่ใกล้ๆ
ร้าน Easy Corner
เป็นแหล่งอาหารเช้าหลักของเรา เพราะถูก อาหาร+กาแฟโอเค มีที่นั่งเป็นกิจจะ เปิด 8 โมงที่สำคัญใกล้คืออยู่ตรงสถานีซัปโปโรเลย ดังนั้นเวลาจะนั่งรถไฟหรือบัสไปเที่ยวไหน ก็แวะมากินกันก่อนได้สบายๆ ทางเลือกอื่นใกล้ๆ คือ Paul บนชั้นเดียวกับถนน และ Starbucks ก็มีเช่นกัน
จริงๆ แล้วที่สถานี มีคาเฟ่เปิดเช้าอีก 2-3 ที่ แต่บางทีเขาก็อนุญาตให้คนสูบบุหรี่ในร้านล่ะ ร้านนี้ไม่มีนะ
จากสถานีให้ลงมาใต้ดิน จะเจอทางเข้าแบบนี้ ให้เดินเข้าไป
กาแฟก็พอไหวอยู่ ที่นี่มีกาแฟ Cold Drip ใส่ขวดขายด้วย
อาหารเช้าแบบทั่วไป กินได้ไม่แย่
กินขนมที่ร้าน Afternoon Tea Tearoom
ที่ซัปโปโรมีอยู่หลายแห่งเหมือนกัน สาขาที่เราไปอยู่สถานีรถไฟใต้ห้าง Daimaru คนขวักไขว่มาก แต่เราก็สามารถเบียดร่างเข้าไปนั่งจิบชากับขนมเซ็ตของเขาได้ โฮ่ๆๆ (จะภูมิใจไปใย)



ที่ท่องเที่ยวในเมืองซัปโปโร
ไปๆ มาๆ กลายเป็นทริปที่เน้นกินอย่างแรงมาก แต่ๆๆๆ ระหว่างเดินไปร้านอาหาร ก็มีแลนด์มาร์กหลายจุดนะ อย่างอันแรกก็คือหอนาฬิกาเก่าแก่











ร้านไลฟ์สไตล์ เจอตึกด้านล่างนี้เข้า เลยเดินเข้าไปพบว่ามีร้านเครื่องใช้ ไลฟ์สไตล์เก๋กู้ดอยู่ร้านนึง เดินสนุกดี จำชื่อร้านไม่ได้ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าเห็นตึกลักษณะนี้แล้ว ก็ลองส่องๆ เข้าไปดูว่าใช่หรือไม่
พิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโร
คือน่าจะขาดไม่ได้นะ อุตส่าห์มาถึงเมืองต้นกำเนิดของเบียร์ที่คนชอบกินกัน แต่ๆๆๆๆ…เราไปวันที่เขาปิดพอดี (เริดดดดดดด!) เลยไม่ได้เข้าไปด้านใน ซึ่งตอนแรกเราสับสนกับที่นึงชื่อว่า “Sapporo Factory” ซึ่งเขาปรับปรุงโรงงานเก่า ของเบียร์ซัปโปโร มาเป็นแหล่งรวมร้าน Zakka ของทำมือ ฯลฯ ซึ่งเดินสนุกมาก ได้ของจากตึกนั้นมามากมายตุงเป้เลย ส่วนใหญ่เป็นแก้วไหสาเกอะไรต่างๆ พอช็อปเสร็จเริ่มหิว ก็มากิน “เนื้อย่างเจงกิสข่าน” ของขึ้นชื่อที่ร้านอาหารในบริเวณมิวเซียมเบียร์กัน
จริงๆ เค้ามี 3 ร้าน ร้านที่เรากินชื่อ Lilac ซึ่งมีบุฟเฟต์คนละ 3 พันกว่าเยน แต่เราคงไม่บังอาจ เลยสั่งแบบเซ็ตแค่พันเยนต้นๆ นี่คือลักษณะการกินเนื้อย่างอีกรูปแบบนึงที่เพิ่งเคยสัมผัส และมีความคล้ายบ้านเราสูง มันคือเนื้อแกะซึ่งอร่อยดี ไม่เหม็น เค้าเอาเนื้อหมักแล้วใส่ในไหเล็กๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเราเป็นหมีพูห์ (เหรอ!!?) และเป็นอีกครั้งที่เห็นเนื้อมาน้อยแล้วแอบหวั่นใจกลัวไม่อิ่ม ปรากฎ…อืด >__< เพราะมีทั้งผัก โครเกตต์ ข้าวร้อนๆ มาเสริมทัพ แซบมากบอกเลย
ข้อเสียคือ…ตัวเหม็นกลับบ้าน 100%


อา…ส่วนใหญ่เน้นกินจริงๆ ด้วยอะ หวังว่าคนที่เข้ามาอ่าน จะได้ประโยชน์และข้อมูลอะไรกลับไปบ้างนะ ^^”