ก่อนไปไทเปไม่กี่วัน มีโอกาสคุยกับคุณเมย์ บก.หนังสือ Lovely London
ซึ่งแนะนำให้ไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติหยานหมิงซัน (Yangmingsan National Park)
นอกจากจะได้เห็นดอกไม้สวยๆ แล้ว ยังได้ยืดเส้นสายปีนเขาอันสูงใหญ่เห็นวิวสวยงามด้วย
เมื่อรวมกับความชอบปีนเขาของครอบครัวนี้เป็นทุนเดิม
เลยเพิ่ม “การปีนเขาหยางหมิงซัน” เข้าไปในโปรแกรมวันที่ 2 อย่างฉับไว
กระบวนการให้ตัวเองต้องเหนื่อยระหว่างการท่องเที่ยว ถือเป็นสิ่งที่คุณบูปลาบปลื้มเป็นที่ยิ่ง
ย้อนรอยอ่าน เที่ยวไทเป ตอน 1
ย้อนรอยอ่าน เที่ยวไทเป ตอน 2
การเดินทางไปอุทยานแห่งชาติหยางหมิงซัน
ตัวอุทยานอยู่นอกเมืองไปนิด แต่นั่งรถบัสสาย 260 ไปได้ง่ายๆ
เพราะสุดสายคืออุทยานฯ เราไม่ต้องคอยระแวงตลอดการเดินทางว่าจะต้องลงป้ายไหน
ป้ายรถ 260 อยู่ที่ Taipei Main Station exit Y6
รถมาทุกๆ 10 นาทีในช่วงหน้าไฮซีซั่น และใช้เวลาเดินทางราว 45 นาทีถึงจุดหมาย
(แต่ขากลับส่วนใหญ่จะเกิน เนื่องจากรถติด ให้กะเวลาเผื่อๆ ไว้ด้วย)


อุทยานแห่งชาติหยางหมิงซัน
หยางหมิงซัน ขึ้นชื่อเรื่อง บ่อน้ำพุร้อน ภูเขาไฟที่ดับแล้วแต่ยังมีไอร้อนพวยพุ่ง และซากุระ
ซึ่งซากุระที่นี่จะบานก่อนญี่ปุ่นเล็กน้อย (กพ.-มี.ค.) ต้นซากุระจำนวนมากจะผลิดอกปกคลุมทั่วภูเขาสวยงาม
ส่วนบ่อน้ำพุร้อนมีเป็นจุดๆ แต่ละจุดมีโรงแรม ซึ่งจะมีบ่อแช่น้ำแร่บริการในตัว
น่าเสียดาย…เราไปวันที่เหลือซากุระบานแค่ไม่กี่ต้นเอง (วันสุดท้ายของเทศกาลดูดอกไม้พอดี คนแน่นโฮก) T^T
สำหรับคนไปชมซากุระ แค่เดินจาก “ท่ารถ 260” ไปอีกไม่กี่ร้อยเมตร ก็จะถึงจุดชม
สำหรับผู้ที่ต้องการพิชิต “ยอดเขา 7 ดาว”
เมื่อรถ 260 ไปถึงจุดหมาย เราสามารถนั่งมินิบัสไปยังจุดต่างๆ ของอุทยานได้ในราคา 15NT
จากนั้นค่อยเดินต่ออีกทีจะช่วยทุ่นแรงอย่างมาก (ใช้บัตร Easy Card จ่ายค่ามินิบัสได้)
แต่ครอบครัวนี้แรงแยะ พลังเหลือ (หราา) เลยจะเดินตั้งแต่ท่ารถขึ้นไปจนถึงจุดสุงสุดเลยค่า (เหล่คุณบู 35 รอบ!)
เราแบ่งลักษณะการเดินอุทยานฯ หยางหมิงซันเป็น 2 ท่อน
1. การเดินจาก “ท่ารถ 260” ไปยัง “ทางขึ้นเขา 7 ดาว”
ใช้เวลาราว 2-3 ชม. เป็นการเดินเขาที่โอบล้อมด้วยป่าและต้นไม้สูงใหญ่มีร่มเงาเย็นเฉียบ
2. การเดินจาก “ทางขึ้นเขา 7 ดาว” ซึ่งสูง 1220 ม. ไปจนจบเทรลแบบไม่ย้อนกลับที่เดิม
ใช้เวลาราว 1-2 ชม.เป็นการเดินเขาที่ปกคลุมด้วยต้นหญ้า ไม่มีร่มเงาแต่ได้ทิวทัศน์จากมุมสูง
เมื่อเดินจบเทรลแล้ว จะมีป้ายรถมินิบัสให้เรานั่งกลับมาที่ “ท่ารถ 260” เพื่อกลับเข้าเมืองได้
ศิริรวมระยะทางทั้งหมด 10 กว่าโล ช่วงแรกทางจะเป็นการขึ้นเขาสลับที่ราบ เลาะถนนและตัดข้ามถนนเป็นระยะๆ
คนส่วนใหญ่เขาจะเลือกนั่งมินิบัสไปตรง “ทางขึ้นเขา 7 ดาว” แล้วค่อยเอาพลังทั้งหมดในการเดินขึ้นเขาไป
ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากเหนื่อยเกินจำเป็น ให้นั่งมินิบัสไปเลยก็ดี


การเดินเขาตั้งแต่ท่ารถไปยังทางขึ้นเขา 7 ดาว ( Seven Stars)
เป็นอะไรที่เหนื่อยพอดู (ใช้เวลาราว 1.5-2 ชม. ถึงจะเดินจบเทรล)
แถมมีป้ายเตือนงูหรือสัตว์มีพิษที่อาจซุกซ่อนอยู่ใต้กิ่งไม้ และใบไม้ที่ร่วงทับถมกันบนพื้น
แต่ข้อดีคือเส้นทางนี้ร่มรื่นเย็นฉ่ำ มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาตลอดทาง บ้างก็เป็นป่าสน หรือต้นไม้รูปร่างแปลก
บางแห่งเฟิร์นขึ้นฟูเขียว ถึงขนาดไม่สามารถเดินบนแผ่นหินที่ปูไว้ได้
เนื่องจากจะทำให้เราลื่น และคุณบูก็ก้นจ้ำเบ้าไป 1 รอบจริงๆ ส่วนเราเหยียบวืดเสียหลักหลายหน (ก็มันท้าทาย!!)
บางจุดมีคุณกระรอกตัวอวบ หางสวยฟู นั่งแทะลูกไม้ห่างออกไปไม่ถึง 2 เมตร แถมไม่กลัวนักท่องเที่ยวด้วยนะ
บางแห่งมีดอกไม้สวยๆ บานสะพรั่ง บางจุดถนนก็พาเราไปอยู่กลางหุบเขาที่โอบล้อมด้วยเทือกเขาสูงใหญ่
การที่เราไปช่วงที่อากาศกำลังเย็น เลยยิ่งเดินสบาย ไม่หงุดหงิดอากาศ











การเดินขึ้น “ยอดเขา 7 ดาว”
เป็นเส้นทางที่ค่อนข้างโหดเอาเรื่อง คือต้องเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ (อารมณ์ step machine แบบต่อเนื่อง)
ก่อนไต่บันไดลงมาที่ท่ารถ … ขนาดเราที่เดินเขาบ่อยยังคิดว่ายากและเหนื่อยพอควร แต่…
ครอบครัวชาวไต้หวัน พาลูกหลานเด็กแดง อายุ 4-5 ขวบมาเดินเพียบ ยังก้ะที่นี่เป็นสวนสาธารณะ!
ทั้งที่สภาพความจริงคือ ทั้งชัน ท ั้งสูง ทั้งเหนื่อย!
สารภาพเลยอ่ะว่านับถือมาก แล้วเด็กๆ ก็เดินกันเองด้วยนะ เหนื่อยแค่ไหนก็ไม่มีใครร้องขอให้พ่อแม่อุ้ม
มองเห็นอนาคตเลย ว่าถ้าฉันมีลูก ลูกฉันก็ต้องโดนแบบนี้เหมือนกัน หึหึหึ (คุณบูส่งสายตา evil)
สิ่งที่ได้จากการเดินขึ้นเขา 7 ดาว คือวิวทิวทัศน์สวยงามจากมุมสูง ไม่มีต้นไม้มาบดบังทัศนียภาพเหมือนช่วงแรก
ภูเขาปกคลุมด้วย Silver glass มองไกลๆ สวยเหมือนมีพรมนุ่มๆ ปกคลุมไปทั้งเทือกเขา
แถมได้เดินผ่านจุดที่ไอร้อนซึมผ่านแผ่นดินคุกรุ่นไปทั่วบริเวณเป็นระยะ แปลกหูแปลกตาดี
นักท่องเที่ยวบางคน เอามือไปจับเถ้าที่ควันซึมออกมาด้วยอ่ะ แปลว่ามันไม่ร้อนสินะ (แต่ฉันไม่จับหรอก)
พอจบเทรล ก็มีบ่อน้ำร้อนเล็กๆ ที่เอาเท้าลงไปแช่คลายปวดได้ด้วย
โดยส่วนตัวเราว่ามันไม่ค่อยอุ่นเท่าไร แต่วินาทีนั้นที่ฝ่าเท้าร้องแปลบปลาบโป๊งฉึ่ง ก็ดีกว่าไม่มีอะไรให้แช่เลย
แต่สิ่งหนึ่งที่เราพลาด คือ…ไม่ได้เตรียมเสบียงมามากนัก
ดังนั้นวันทั้งวัน เราสองคนเลยยาไส้ด้วย เบเกิล 2 ชิ้น กะขนมเปี๊ยะ 2 ก้อนเล็กที่ซื้อติดตัวมาจากเมื่อคืนวาน
แถมประมาทไปด้วย คิดว่าการเดินแค่ 10 โลไม่น่านานมาก เดินกันมาบ่อยแล้ว (บทเรียนอันรวดร้าว)
ดังนั้นใครจะมา อย่าลืมติดอาหารทนๆ พวกขนมปัง ขนมเปี๊ยะ มาให้เพียงพอไว้ก่อนนะคะ เหลือกลับดีกว่าขาดแคลน (จ๊อกกกก)













Afternoon Tea ที่ Sogo
สารภาพว่าเดินเสร็จแล้วหิวมากกกกกกกกกกกกก! อย่างที่บอกว่าติดเบเกิลไปแค่ 2 ชิ้นกะขนมเปี๊ยะจิ๋วๆ 2 ก้อน
แล้วขากลับจากเขาหยางหมิงซันรถติดและรถบัสแน่นมาก (ใช้เวลาราวชม. นิดๆ)
เราถึงขนาดทรุดตัวลงนั่งบนพื้นรถบัสเป็นครั้งแรกในชีวิต (ไม่แคร์สื่ออีกต่อไป)
หนึ่งเพราะเมื่อยขาสุดๆ สองเพราะพลังหมดไปตั้งนานแล้ว
และสามเพราะมีปจด.วันแรกด้วย พอมานั่งนึกๆ ดูแล้วก็พบว่า ฉันนี่ก็ถึกน่าดูเหมือนกัน – -”
กลับเข้าเมืองได้ เวลามันพิกลมาก คือราวๆ 5 โมงที่จะกินอาหารเย็นเลย (night market ยังไม่เปิดด้วย)
คุณบูเลยพาไป Afternoon Tea ที่ Sogo เพราะอยากแวะไปดูของจุกจิกของเค้าอยู่แล้ว
(ที่ไทเปมีสาขา Afternoon Tea อยู่หลายที่เลยอ่ะ อิจฉาคนที่นี่จัง)
ระหว่างเราเดินดูของ คุณบูก็เข้าคิวคาเฟ่ ดูเสร็จก็ได้โต๊ะพอดี (แอ๊ะ ก็ต้องช็อปปิ้งนิดหน่อยอยู่แล้ว มันอดไม่ได้จริงๆ ร้านนี้)
ที่คาเฟ่เค้าให้เวลาเรานั่งได้รอบละ 2 ชม. ระหว่างนั้นคุณจะทำอะไรก็ได้ จะสั่งเท่าไรก็ได้ไม่มีขั้นต่ำ
ตอนนั้นใจเราอยากสั่งทุกสิ่ง เพราะหิว!!!!! โชคดีคุณบูเบรกไว้ว่าเดี๋ยวจะไปกินข้าวเย็นกันละ
เลยชิงสั่งแค่ Roibos with berries มาให้เรา เป็นชารอยบอส(ไม่มีคาเฟอีน) ใส่เบอร์รี่สดหลายๆ ชนิดลงไป
รสออกเปรี้ยวนิดหวานหน่อย จิบแล้วชื่นใจสุดๆ ชอบมากจนเอากลับมาลองทำเองที่บ้านด้วย
ส่วนคุณบูสั่ง Chai Tea เป็นชานมใส่เครื่องเทศนิดๆ เอามาทานกับ Lemon Berries Pie
ซึ่งขอบอกว่าวินาทีนั้นอะไรก็อร่อย…และเมื่อกินหมด เราสองคนที่อยู่ในสภาพหมาแมวหิวโซตั้งกะลงจากเขา
ก็คืนร่างกลับเป็นคนอีกครั้ง แฮ่…





